+ + = = = + + พระอรหันต์แตกต่างจากพระปัจเจกพระพุทธเจ้าอย่างไร + + = = = + +
สวัสดีค่ะ
หลังจากที่ได้เปิดประเดิมบล็อกธรรมะไปกับ การบวชเนกขัมนารี (คลิกเพื่ออ่าน)ไปแล้ว
บอกเล่าเรื่องบุญกิริยาวัตถุ 10 พร้อมทั้งคลิปของท่านว.วชิรเมธี (คลิกเพื่ออ่าน)ไปแล้ว
อกุศลกรรมบถ 10 คิดผิด พูดผิด ทำผิดนิดเดียว ก็ผิดแล้ว(คลิกเพื่ออ่าน)
ตามด้วยการพูดถึงกรรมที่ให้ผลตามความหนัก-เบาไปแล้ว(คลิกเพื่ออ่าน)
กรรมที่ให้ผลตามลำดับเวลา (คลิกเพื่ออ่าน)
กรรมที่ให้ผลตามหน้าที่ (คลิกเพื่ออ่าน)
กรรมที่เห็นผลทันตา (คลิกเพื่ออ่าน)
และได้เขียนเอนทรี่ (อ้างอิงจากหนังสือของพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญวิเวก เชียงใหม่) เกี่ยวกับการถวายสิ่งของที่ญาติโยมควรปฏิบัติไปแล้วที่ ลิงก์นี้ (คลิกเพื่ออ่าน) (ที่เอามาแปะเป็นตอนจบ (ตอนที่ 6) นะคะ แต่จะมีลิงก์ของตอนอื่นๆ ให้อ่านด้วย เชิญคลิกไปอ่านตามอัธยาศัยค่ะ
วันนี้จะมาบอกเล่า แบ่งปันความรู้อีกเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนานะคะ
นั่นก็คือความแตกต่างระหว่างพระอรหันต์กับพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเองงง
ซึ่งต้องขอเล่าความเป็นมาของตัวเองก่อนว่า คำว่าพระอรหันต์นี่เคยได้ยินตั้งแต่เด็กแล้วหละค่ะ แต่คำว่าพระปัจเจกพุทธเจ้านี่เราได้ยินครั้งแรกตอนไปวัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี คือ ไปเจอมัคนายกท่านหนึ่ง แล้วก็เล่าพุทธประวัติเยอะมาก (รู้เรื่องภัทรกัปป์ - พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ก็ที่นี่แหละค่ะ) ประโยคหนึ่งที่จำได้ก็คือ รู้ใช่มั้ยว่าพระพุทธเจ้านั้น มีมากยิ่งกว่าเม็ดทรายในทะเลเสียอีก (ซึ่งขอตอบว่า ตอนนั้นตัวเองไม่รู้ค่ะ แต่ทำเนียนนิ่งๆ ไป ) แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ทว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ซึ่งสามารถสอนผู้อื่นได้) นั้นจะมีน้อยยิ่งกว่า อย่างในภัทรกัปป์นี่ก็มีเพียง 5 พระองค์เท่านั้น องค์ ณ ขณะนี้คือ พระสมณโคดม ขณะที่องค์ต่อไปคือพระศรีอริยเมตไตรย์
ซึ่งขอบอกว่าตอนนั้นฟังด้วยความตื่นตาตื่นใจมาก เพราะเป็นสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ แล้วก็จำมาตลอดว่า พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น สอนคนอื่นไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นสอนผู้อื่นได้
จนเืมื่อไม่นานมานี้เอง (เข้าโหมดศึกษาธรรมอย่างจริงจังอีกครั้ง) รวมถึงการทำวัตรเช้า-เย็น และอุทิศส่วนกุศล มีบทหนึ่งบอกว่า ถ้าไม่ได้เกิดในสมัยที่มีพระพุทธเจ้า ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้บรรลุเป็นเครื่องรู้สูงสุดเฉพาะตน (ประมาณว่าพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นแหละค่ะ) แล้วก็เลยเกิดความสงสัยว่า เอ...แล้วพระอรหันต์ (ซึ่งหมดกิเลสโดยสิ้นเชิง) กับพระปัจเจกพุทธเจ้า (ซึ่งแน่หละว่าหมดกิเลสโดยสิ้นเชิงเช่นกัน) ต่างกันยังไงอ้ะ
ก็เลยลองมาเซิร์ชหาดูค่ะ ก็ได้ข้อมูลมาตามนี้นะคะ จากลิงก์นี้ (คลิกเพื่ออ่าน)
ท่านหนึ่งตอบไว้ว่า
พระปัจเจกพุทธเจ้า..พระองค์ทรงตรัสรู้ธรรมได้โดยพระองค์เองเช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านจะไม่ได้บำเพ็ญบารมีทางด้านสั่งสอนเหล่าสาวกมาเท่ากับพระพุทธองค์ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าท่านสั่งสอนไม่เป็น เพราะอย่างน้อยท่านก็บอกได้ว่าหนทางที่ท่านเดินมานั้น ท่านมาอย่างไร เพียงแต่ท่านจะสอนก็ต่อเมื่อเจอผู้ที่มีภูมิธรรมสมควรแก่ธรรมนั้นๆ
การอุบัติขึ้นของพระปัจเจกพุทธเจ้า จะอุบัติในระหว่างที่โลกว่างเว้นพระพุทธศาสนา นับว่าในระหว่างนั้นสัตว์โลกยังมีโชคอยู่ตรงที่พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมาสงเคราะห์สัตว์โลก ให้ตั้งอยู่ในทานในศีล
หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเคยเมตตาเล่าเรื่องพระปัจเจกพุทธเจ้าไว้ตอนหนึ่งว่า....."ในช่วงว่างก่อนจะถึงพระศรีอาริย์ ในช่วงนี้มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า สมัยพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเวลานี้ก็ไม่มีสาวก ก็มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ทั้งหมด เพราะปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้บรรลุเพียงองค์เดียวอย่างพระพุทธเจ้า ก็มีได้เป็นหมื่นเป็นแสน แต่พระพุทธเจ้าจะต้องมีองค์เดียว มีซ้อนไม่ได้"
สำหรับพระอรหันต์....แน่นอนค่ะว่าท่านเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่สามารถตรัสรู้ได้โดยตนเอง เพียงแต่ท่านดำเนินตามรอยธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนและแสดงให้เห็นแจ้งไว้
พระอาจารย์มั่นท่านเคยกล่าวถึงพระอรหันต์ไว้ว่า..."พระอรหันต์ทั้งหลายเบื่อหน่ายในรูปขันธ์ หรือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ เป็นภายนอก จึงได้สิ้นไปแห่งรูปราคะสังโยชน์ และท่านเบื่อในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และสมถหรือวิปัสสนาที่อาศัยขันธ์เกิดขึ้น เมื่อท่านสิ้นความยินดีในนามขันธ์แล้ว แม้ธรรมทั้งหลายอาศัยขันธ์เกิดขึ้นท่านก็ไม่ยินดี ได้ชื่อว่าละความยินดีในธัมมารมณ์ซึ่งคู่กับความยินร้าย เพราะความยินดียินร้ายในนามรูปหมดแล้ว ท่านจึงเป็นผู้พ้นแล้วจากความยินดียินร้ายในอารมณ์ 6 จึงถึงพร้อมด้วยคุณ คือ ฉฬังคุเบกขา"(ฉะ-ลัง-คุ-เบก-ขา หมายถึง เป็นอุเบกขาของพระอรหันต์ที่ท่านวางเฉยในอารมณ์ทั้งหก)
เมื่อพระอรหันต์ท่านเห็นแจ้งจริงถึงไตรลักษณ์ จนละรูปขันธ์ทั้งห้าซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดชาติภพได้จนสิ้นแล้ว การเกิดของท่านจึงไม่มีอีกต่อไป
้ส่วนอีกท่านตอบไว้ดังนี้ค่ะ (ของท่านนี้ก็น่าสนใจ)
พระพุทธเจ้า , พระปัจเจกพุทธเจ้า สำเร็จด้วยตนเอง
พระอรหันต์ คือสาวกของพระพุทธเจ้า สำเร็จได้ ด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า
อีกแง่หนึ่งที่ง่ายๆอีก คือ
พระพุทธเจ้า ไม่ต้องมีครู (เป็นครูของตนเอง)
พระอรหันต์ต้องมีครู
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ในอนาคต ศาสนาของตถาคตจะถูกบิดเบือน
เธอจงอย่าเชื่อตำรา (คนเขียนอาจจะดัดแปลง) เธอจงอย่าเชื่อคำบอกเล่ากันมา (ข่าวลือ) เธอจงอย่าเชื่อคำที่ครูบาอาจารย์สอน (ผู้ไม่รู้จริง ย่อมนำเอาความคิดของตนเองที่ผิด มาสรุปสอน) แม้แต่ตถาคตกล่าวไปแล้ว เธอก็อย่าเพิ่งเชื่อ ให้นำเอาคำสอนนี้ไปพิจารณา รู้ด้วยตนเองเถิด
. ที่มา: หาความรู้ การปฏิบัติจิตเพื่อรู้ ที่เว็บนี้ครับ
//www.watpabankor.com/webboard/
และอีกท่านหนึ่งค่ะ ตอบไว้ดังนี้
เราขอเสริมข้อมูลที่ยังไม่มีใครกล่าวถึงนะคะ
1. ช่วงเวลาในการบำเพ็ญบารมีของพระอรหันต์กับพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นต่างกัน
พระปัจเจกนั้นใช้เวลาบำเพ็ญนานกันเป็นแสนกัปหลังจากได้รับพยากรจากพระพุทธเจ้า ส่วนพระอรหันต์นั้นจะใช้เวลาน้อยกว่ากันมาก ถ้าบำเพ็ญบารมียิ่งนานก็จะมีปัญญามากทั้งทางธรรมและอภิญญาก็มากตามค่ะ
2. ภูมิความรู้ต่างกัน
แม้ว่าพระปัจเจกไม่ก่อตั้งศาสนาเหมือนพระพุทธเจ้า แต่เนื่องด้วยท่านบำเพ็ญเพื่อตรัสรู้เอง บารมีจึงต้องบำเพ็ญมากกว่าและนานกว่า เมื่อตรัสรู้ก็มีผลให้ความรู้กว้างขวางกว่าและลึกล้ำกว่าสาวกภูมิทั้งหลายค่ะ เพียงแต่ว่าในสมัยที่ท่านตรัสรู้นั้นไม่มีคนมีวาสนาจะบรรลุธรรม หรือท่านมีกำลังใจน้อยในการแปลงธรรมอันลึกซึ้งในเข้าใจง่ายจึงไม่ก่อตั้งศาสนา
อย่างไรก็ตามเท่าที่เคยอ่านพระวัติพระป่าและบุคคลที่ปรารถนาเป็นปัจเจกพุทธเจ้า พบว่าท่านมีความกระหายในการรู้ธรรมให้กว้างขวางและอยากรู้ด้วยตนเอง ประกอบกับมีใจรักในการอยู่คนเดียวและพูดน้อยเป็นอย่างยิ่งค่ะ
และอีกหนึ่งท่าน ดังนี้ค่ะ
คำถามนี้ไม่ชัดเจน เพราะคำว่า "พระอรหันต์" มีความหมายกว้างมาก ในพจนานุกรมไทย หมายถึง พระพุทธเจ้า, พระอริยบุคคลชั้น 4 , ผู้บรรลุนิพพาน, ผู้สำเร็จพระอรหัต, ผู้ไกลจากกิเลส (มานิต มานิตเจริญ, พจนานุกรมไทย ฉบับสมบูรณ์-ทันสมัยที่สุด พิมพ์ครั้งที่ 23, กทม., วี.เจ.พริ้นติ้ง, 2550, หน้า 957)
เพราะฉะนั้น เพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ จึงขอเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างใน 2 ลักษณะ
1. คำว่า "พระอรหันต์" หมายถึง ผู้ที่บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคล โดยละกิเลสได้ทั้งหมด ได้แก่
1.1 พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า 1.2 พระอรหันตปัจเจกพุทธเจ้า 1.3 พระอรหันตสาวก
2. พระอรหันต์ทั้ง 3 นั้นแตกต่างกันอย่างไร?
2.1 พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ผู้ที่ตรัสรู้ด้วยตนเอง แล้วก็นำมาเผยแพร่ และมีสาวกด้วย 2.2 พระอรหันตปัจเจกพุทธเจ้า คือ ผู้ที่ตรัสรู้ด้วยตนเอง แต่ไม่ได้นำมาเผยแพร่ และไม่มีสาวก 2.3 พระอรหันตสาวก คือ ผู้ที่ปฎิบัติตามคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจนดับกิเลสได้ ที่มา: (มานิต มานิตเจริญ, พจนานุกรมไทย ฉบับสมบูรณ์-ทันสมัยที่สุด พิมพ์ครั้งที่ 23, กทม., วี.เจ.พริ้นติ้ง, 2550, หน้า 957)
ซึ่งจากข้างบนนี้จะเห็นว่า แต่ละคนก็มีให้คำตอบที่ต่างกันที่หลักๆ เลยก็คือ บางคนบอกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็สั่งสอนได้ ขณะที่บางท่านว่า ไม่สามารถสั่งสอนได้ค่ะ แต่ที่ค่อนข้างเหมือนกันก็คือ พระปัจเจกพระพุทธเจ้านั้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเป็นสมัยที่ว่างเว้นจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
แต่นอกจากนั้นก็ยังมีคนที่ตอบไว้ที่ห้องศาสนาไว้น่าสนใจดังนี้ค่ะ
จากกระทู้
อะไรคือความแตกต่างระหว่างปัจเจกพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ //www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11163121/Y11163121.html
พระปัจเจกพุทธเจ้า (บาลี: ปจฺเจกพุทฺธ, สันสกฤต: ปฺรตฺเยกพุทฺธ) เป็นพระพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง ได้บำเพ็ญบารมี 2 อสงไขยกำไรแสนกัป และตรัสรู้อริยสัจ 4 ด้วยพระองค์เองเช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่จะเสด็จมาตรัสรู้ในคราวที่โลกว่างเว้นพระพุทธศาสนา และมาตรัสรู้ได้หลายพระองค์ในสมัยเดียวกัน แต่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น มิได้ทรงประกาศพระศาสนาเกิดสาวกพุทธบริษัทเหมือนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระอรหันต์ คำว่า พระอรหันต์ เมื่อกล่าวทั่วไป ก็หมายถึง พระอรหันตสาวก ผู้ตรัสรู้ชอบ ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในยุคที่มีพระพุทธศาสนาตั้งอยู่
------------------------------------------------------------------
ส่วน "พระปัจเจกพุทธเจ้า" ก็คือ พระอรหันต์ที่ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แต่ไม่สามารถโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้ เพราะไม่ถึงพร้อมด้วยญาณทั้ง ๓ เหมือนกับ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ญาณทั้ง ๓ ที่ พระปัจเจกพุทธเจ้า ยังไม่มีสมบูรณ์เหมือน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แก่
- อาสยานุสยญาณ ญาณที่สามารถรู้อัธยาศัยของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย - อินทริยปโรปริยัตติญาณ ญาณที่รู้อินทรียของสัตว์ทั้งหลายว่ายิ่งหรือหย่อนเพียงใด - สัพพัญญุตญาณ ญาณที่สามารถรอบรู้สิ้นซึ่งปวงสังขตะและอสังขตธรรม
--------------------------------------------------------------------------
อีกประการหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่รู้บัญญัติที่จะแสดงสภาวธรรมให้แจ่มแจ้งได้อย่างสมบูรณ์เหมือนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
--------------------------------------------------------------------------
พระปัจเจกพุทธเจ้า จะมาปรากฏอุบัติขึ้นก็ในระหว่างพุทธธันดร คือ กาลที่เป็นช่วงระหว่างการว่างเว้นจากพระพุทธศาสนา ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนและองค์ถัดไป
--------------------------------------------------------------------------
อีกประการหนึ่ง อยากจะกล่าวโดยอัตโนมัติว่า ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่สามารถโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้นั้น เป็นด้วยเหตุอีกอย่างหนึ่ง คือในยุคนั้นไม่มีผู้มีบารมีแก่กล้าพอที่จะเข้าถึงธรรมอันประเสริฐชั้นนั้นได้ เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้าบังเกิดมีได้เฉพาะในยุคที่ว่างพระพุทธศาสนาเท่านั้น
ก็ในกาลที่ว่างพระพุทธศาสนาเช่นนั้น บุคคลทั้งหลายย่อมปราศจากศีลธรรม ประกอบแต่กรรมอันเป็นอกุสล ใครเล่าจะสามารถสั่งสอนผู้ที่ไร้ศีลธรรมให้บรรลุถึงธรรมอันประเสริฐยิ่งปานนั้นได้ แม้แต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงพระมหากรุณาได้เฉพาะผู้ที่ทรงโปรดได้เท่านั้น ไม่ใช่โปรดได้ทั่วไปทั้งหมด
--------------------------------------------------------------------------
อีกประการหนึ่ง
พระปกติอรหันตสาวก ย่อมบำเพ็ญ บารมี ๑๐ ทัศ พระปัจเจกพุทธเจ้า ย่อมบำเพ็ญ บารมี ๒๐ ทัศ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมบำเพ็ญ บารมี ๓๐ ทัศ
--------------------------------------------------------------------------
อีกประการหนึ่ง
ปุพเพนิวาสานุสสติอภิญญา ที่เกิดแก่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมระลึกชาติย้อนกลับไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด พระปัจเจกพุทธเจ้า ย่อมระลึกชาติย้อนกลับไปได้ ๒ อสงไขย แสนมหากัปป์ พระมหาอัครสาวก ย่อมระลึกชาติ ย้อนกลับไปได้ ๑ อสงไขย แสนมหากัปป์ พระอสีติสาวก ย่อมระลึกชาติ ย้อนกลับไปได้ แสนกัปป์ ส่วนเดียรถีย์ ย่อมระลึกได้เพียง ๔๐ กัปเท่านั้น เลยจากนั้นไป ระลึกไม่ได้ (เพราะเว้นจากการกำหนดรูปนาม)
-------------------------------------------------------------------------------
(อ้างอิงจาก คู่มือ อภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๙ และ อรรถกถา สมันตปาสาทิกา)
ลิงก์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้นะคะ
//www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001180.htm
ก็หวังว่า สิ่งที่เอามาแบ่งปันนี้ คงพอจะทำให้แต่ละท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพุทธศาสนาเพิ่มมากขึ้นนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ
1,300,396+49313=1,349,709/7242/672
Create Date : 19 เมษายน 2555 |
Last Update : 19 เมษายน 2555 12:26:46 น. |
|
20 comments
|
Counter : 5452 Pageviews. |
|
|
|
คนขยันวุ่นกับงาน จะได้ความสงบใจ
พัฒนาความสงบที่ได้จากการทำงานให้เกิดปัญญาณ ตลอดไป...นะคะ