รีวิวเที่ยวพิษณุโลก-เพชรบูรณ์กับพี่จิบ-มาเรียฯ วันแรก - นั่งรถราง/หัตถาแลนด์/AVA Cafe/โรงแรม Dragon
สวัสดีฮ้าบบบบบบบ (กราบรอบทิศ)
เอารีวิวที่ไปมาตั้งแต่ปลายกุมภา 59 มาแปะนะคะ ที่จริงได้รีวิวลงห้องบลูพลาเน็ตไปแล้วที่ลิงก์นี้ แต่ขอเอามาแปะในบล็อกด้วยแล้วกันนะฮับบบบบ
ซึ่งทริปที่จะมารีวิวนี้เป็นทริปที่เราได้ไปฟรีอันเนื่องมาจากทางเฟซบุ๊คแฟนเพจของพี่จิบ - มาเรีย ณ ไกลบ้าน มีการร่วมสนุกกับบรรดาแฟนเพจทั้งหลาย และคัดเลือกสาว (บ้าง ไม่) สาว (บ้าง) ไปร่วมทริปกับพี่จิบค่ะ โดยเป็นการร่วมโครงการกันระหว่างพี่จิบและททท.พิษณุโลกนั่นเอง โดยทางพี่จิบเลือกแฟนเพจที่เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น 6 ท่านนะคะ และเราก็เป็น 1 ใน 6 นั่นเองหละค่ะ (ตอนประกาศผลโคตรดีใจ ในชีวิตไม่เคยมีโชคอะไรด้านนี้กับเค้าเลยยยยยย )
ซึ่งที่จริงทั้งพี่จิบและททท.เองก็ไม่ได้บอกให้มารีวิวหรอกค่ะ แต่เราเองแหละอยากมารีวิว เพราะ..มีหลายที่และหลายร้านเลยค่ะที่เรายังไม่เคยไปเลย คิดว่าเอามาทำรีวิวไว้ หลายคนก็น่าจะได้ประโยชน์หละมั้งนะ แฮ่...
เปิดภาพรีวิวด้วยภาพนี้แล้วกันนะคะ เป็นภาพหมู่ของผู้โชคดีพร้อมพี่จิบนั่นเองฮับบ (รีวิวเราอย่าหวังภาพสวยนะฮะ 555 ภาพสวยเทพเชิญที่แฟนเพจพี่จิบเลยค่าา)
เอาหละค่ะ มาเริ่มรีวิวกันดีกว่าเนาะ เริ่มต้น ณ เช้าวันที่ 28 ก.พ. พวกเราก็ไปเจอพี่จิบที่หน้าททท.สำนักงานใหญ่ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่นะคะ จากนั้นก็ขึ้นรถตู้กันไป ขึ้นปุ๊บ พี่จิบก็บรีฟเรื่องการเที่ยวของโครงการนี้ค่ะ รวมทั้งคำแนะนำดีๆ สำหรับการท่องเที่ยวคนเดียว เช่น การเตรียมพร้อมต่างๆ ข้อควรระวังกรณีเดินทางคนเดียว ความแตกต่างระหว่างการเที่ยววันธรรมดากับวันหยุด ฯลฯ ต่างๆ นานามากมายเลยค่ะ
จากนั้นก็....
....
....
นอน (กร๊ากกกกกกกกก) นอนจริงๆ ค่ะ เพราะก็ตื่นเช้าด้วยกันทุกคนน่ะนะคะ เลยงีบกันไป ก่อนจะไปแวะกินข้าวเช้าที่ร้านปราสาททอง แถวๆ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาค่ะ เป็นร้านในเครือเดียวกับเจ้าของบางกอกแอร์เวย์สนะคะ (เคยทราบข้อมูลนี้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ตอนนี้ยังเป็นเจ้าของเดิมหรือเปล่าไม่คอนเฟิร์มนะคะ)
มื้อนี้ยังไม่ได้รวมในส่วนของททท.ค่ะ แต่ขุ่นแม่ของเราก็เลี้ยงพวกเราด้วย มีบอกด้วยว่า "เดี๋ยวเอาพี่ไปด่า" ถถถถถ ใครจะกล้าาาาา พวกเรารักเจ๊ซะขนาดนี้น่อ อิอิ
ลักษณะก็จะมีทั้งข้าวแกงที่ทำสำเร็จไว้แล้วกับอาหารจานเดียวคือ ข้าวหน้าเป็ดกับบะหมี่น่ะนะคะ ราคาสูงกว่าร้านข้าวแกงทั่วไปนะคะ แต่รสชาติดีโอเคเลยค่ะ โดยเฉพาะเมนูเต้าหู้น้ำแดง อร่อยดีค่ะ (ช่วงที่เราไปนี่ เรายังกินมังสวิรัติอยู่นะฮับ เพราะฉะนั้นเมนูเนื้อสัตว์ทั้งหลาย อาศัยจากผู้ร่วมทริปเอานะคะ แหะๆ)
เอาตัวอย่างหน้าตาอาหารที่ขายที่นี่มาให้ดูค่า
เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วก็ตรงดิ่งไปที่ร้านอาหารกลางวัน ณ พิษณุโลกกันค่า โดยคุณไกด์ - น้องจี้กงของเราก็พาไปหม่ำกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาริมน่านค่ะ ซึ่งเป็นร้านหนึ่งที่มีเซเล็บฯ ไปกินกันเยอะ แล้วเราก็ไปกันเที่ยงวันอาทิตย์...ก็เลย...เจอ...คน...อย่าง...ที่...เห็น
ที่นั่งมีทั้งห้อยขาและไม่ห้อยขาตามภาพแหละนะคะ แหะๆ แต่การจัดการของร้านดีเลยค่ะ ขนาดคนเยอะแบบนี้ อาหารก็รอไม่นานนะคะ ที่อร่อยสุดพี่จิบเทคะแนนให้ก๋วยเตี๋ยวต้มยำแห้งค่ะ อิอิ ส่วนเรากินก๋วยเตี๋ยวต้มยำน้ำ ซึ่งรสชาติดีเลยนะคะ แทบไม่ต้องปรุงเลยค่ะ
อิ่มเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็เดินทางไปขึ้นรถรางเพื่อชมเมืองกันค่ะ ซึ่งรถรางนี้ดำเนินการโดยเอกชนนะคะ เราน่ะอยากสนับสนุนให้ไปใช้บริการกันมากๆ เลยค่ะ เสียค่าใช้จ่ายแค่คนละ 40 บาทเอง แต่ได้รับความรู้ต่างๆ มากมายเลยค่ะ หน้าตารถรางที่เราใช้บริการก็แบบนี้เลยนะฮับ
ขออนุญาตลงรูปหมู่อีกรูปค่ะ เป็นรูปที่มีผู้ร่วมเดินทางครบทุกท่านเลย รวมทั้งไกด์ - น้องจี้กงด้วยค่า
จากนั้นน้องคนนี้ก็ขึ้นมาบรรยายให้เราฟังค่ะ ชื่อ น้องโดมนะคะ ซึ่งที่จริงการเดินทางทั้งหมดมีรายละเอียดเยอะมากๆ แต่เราขออนุญาตตัดทอนมาเฉพาะบางตอนแล้วกันเนาะ แหะๆ
จุดแรกที่จะนำมาพูดถึงก็คือ อนุสาวรีย์จ่านกร้อง-จ่าการบุญที่ประดิษฐานอยู่ที่โรงเรียนจ่าการบุญค่ะ ซึ่งทั้งสองท่านนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับตำนานการสร้างเมืองพิษณุโลกด้วยนะคะ
จากนั้นจุดต่อไปที่จะนำมาพูดถึงก็คือ วัดราชบูรณะนะคะ ซึ่งที่นี่ก็มีกิจกรรมหลายๆ อย่างค่ะ ไม่ว่าจะเป็นปีนโบสถ์ใส่บาตร (แต่ยกเลิกไปแล้ว) ลอดใต้ท้องเรือ หรือที่ดังมากๆ เมื่อปีก่อนที่มีแจกไอโฟนน่ะค่ะ ^^" และก็มีกระดูกส่วนไหปลาร้าของพระพุทธเจ้าอยู่ที่นี่ด้วยค่ะ แต่ชอบพระเจดีย์องค์นี้หละค่ะ เป็นพระเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมซึ่งน้องโดมบอกว่าเป็นลักษณะการสร้างของสมัยสุโขทัยตอนปลายนะคะ
จุดต่อไปเป็นจุดที่เป็นอนุสาวรีย์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๑ ค่ะ ซึ่งเป็นจุดบริเวณที่แม่ทัพอะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกค่ะ ที่จริงน้องโดมมีบอกว่ามีอีกจุดที่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นจุดที่แท้จริง แต่สร้างไม่ได้ ก็เลยมาสร้าง ณ จุดนี้แทนค่ะ
จากนั้นรถรางก็พาเราไปวนที่หน้าสถานีรถไฟค่ะ จะมีหัวขบวนรถเก่าอยู่นะคะ น้องโดมบอกว่า เลข 181 คือมาที่พิษณุโลกค่ะ แต่ถ้าไปเชียงใหม่จะเป็น 304 ขณะที่อุตรดิตถ์จะเป็น 340 ค่ะ
จากนั้นก็มีแวะไปที่อาคารที่ประดิษฐานรูปหล่อของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนะคะ ซึ่งโดยรอบก็กำลังก่อสร้างพระราชวังจันทน์ค่ะ ซึ่งแต่เดิมบริเวณนี้เป็นร.ร.พิษณุโลกพิทยาคมซึ่งเป็นโรงเรียนชายล้วนค่ะ แล้วก็ย้ายไปเมื่อปี 2548 ค่ะ โดยรอบจะมีไก่ชนที่ชาวบ้านนำมาถวายท่านเต็มเลยค่ะ
ส่วนนี่ก็คือด้านในที่เป็นรูปหล่อของพระองค์ท่านนะคะ จะเป็นตอนที่พระองค์ท่านหลั่งน้ำทักษิโณทก (สะกดถูกมั้ยหละนี่) ค่ะ
จากนั้นรถรางก็กลับไปจอดส่งเราที่บริเวณใกล้ๆ กับวัดพระพุทธชินราชอีกครั้งนะคะ แล้วพวกเราก็เดินเท้าไปอีกหน่อยเพื่อจะไปกราบพระพุทธชินราชค่ะ ต้องถอดรองเท้าก่อนนะคะ และถ้าใครที่นุ่งสั้นมาก็มีผ้าให้ยืมใส่เข้าไปด้วยค่ะ
ด้านใน จะมีป้ายบอกว่าห้ามยืนถ่ายรูปนะคะ ก็ช่วยกันรักษากฎกติกาหน่อยแล้วกันเนาะ นอกจากให้ความเคารพกับพระพุทธชินราชแล้วก็ยังเป็นการไม่บังคนอื่นที่ต้องการมากราบและชมความงามด้วยค่ะ
ข้อมูลพระพุทธชินราช นำมาจากวิกิพีเดียนะคะ
พระพุทธชินราช ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารด้านตะวันตกในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1900 ตรงกับรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย พร้อมกับพระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา และพระเหลือ พระพุทธชินราชได้รับการยอมรับว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่งและยังเป็นพระพุทธรูปที่นิยมจำลองกันมากที่สุดในประเทศไทย
พระพุทธชินราช ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างในสมัยใด คงมีแต่พงศาวดารเหนือ ซึ่งเป็นเอกสารที่เล่าถึงตำนานเมืองเหนือเรื่องต่างๆ สมัยกรุงศรีอยุธยา ถูกเรียบเรียงขึ้นใหม่โดยพระวิเชียรปรีชา (น้อย) ในปี พ.ศ. 2350 ที่อ้างถึงกษัตริย์เชียงแสนพระนามพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเป็นผู้สร้าง พร้อมกับการสร้างเมืองพิษณุโลกและพระพุทธรูปอีก 2 องค์คือพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา
พ.ศ. 2409 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชนิพนธ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ในชื่อ "ตำนานพระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี และพระศรีศาสดา" ในหนังสือวชิรญาณวิเศษ โดยใช้พงศาวดารเหนือในการอ้างอิงจึงทำให้มีเนื้อหาหลักคล้ายคลึงกัน แต่เพิ่มเติมการสร้างพระเหลือเข้าไป และมีการระบุศักราชในการสร้างพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ไว้ดังนี้ พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาหล่อในปี พ.ศ. 1498 และพระพุทธชินราชหล่อขึ้นในปี พ.ศ. 1500 (หย่อนอยู่ 7 วัน)
อย่างไรก็ตามความเห็นที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด ณ ขณะนี้คือความเห็นในแนวทางเดียวกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่เชื่อว่าพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์นี้ถูกสร้างขึ้นในราว พ.ศ. 1900 ในรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย)
หมายเหตุ: ซุ้มเรือนแก้ว รูปหล่ออาฬวกยักษ์และท้าวเวสสุวัณเป็นประติมากรรมที่สร้างขึ้นคนละยุคกับองค์พระโดยเชื่อว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาโดยสังเกตจากลักษณะลวดลายและลักษณะทางสถาปัตยกรรม นอกจากนี้ยังมีการบูรณะพระพุทธชินราชโดยการเพิ่มอุณาโลมบริเวณพระนลาฏในสมัยหลัง (คาดว่าน่าจะทำขึ้นในสมัยอยุธยา เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานการบูรณะเพิ่มเติม)
หากท่านใดที่ต้องการน้ำมนต์ หันหน้าเข้าพระพุทธชินราช จะมีโต๊ะอยู่ทางขวามือนะคะ สามารถจะหย่อนเงินลงตู้แล้วนำน้ำมนต์กลับมาได้ค่ะ
จากนั้นเราก็ออกมานอกวิหาร หันหลังให้พระพุทธชินราช เลี้ยวไปทางขวามือ จะมีทางที่จะสามารถไปกราบพระพุทธชินสีห์ได้นะคะ
พ้นประตูไปก็จะเจอด้านข้างของวิหารพระพุทธชินราชก่อนค่ะ ส่วนเจดีย์ด้านหลังนี่ก็มีประวัติด้วยนะคะ สมัยเรียนบัตรไกด์อาจารย์เล่าให้ฟัง แต่หาสมุดจดเล่มนั้นไม่เจอแล้ว ขออภัยอย่างยิ่ง แหะๆ
จากนั้นก็เดินเยื้องไปทางซ้ายมือค่ะ จะเป็นทางเข้าวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธชินสีห์นะคะ หนึ่งในพระ 3 องค์ที่สร้างในเวลาใกล้ๆ กันค่ะ
ตัวองค์พระพุทธชินสีห์องค์นี้เป็นองค์จำลองนะคะ องค์จริงประดิษฐานอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหารค่ะ
ประวัติที่เกี่ยวข้อง นำมาจากวิกิพีเดียเช่นเคยค่ะ
พ.ศ. 2442 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการสถาปนาวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามขึ้นเป็นพระอารามหลวงประจำพระราชวังดุสิต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะอัญเชิญพระพุทธชินราชไปประดิษฐานเป็นพระประธาน ณ พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ดังข้อความในพระราชปรารภ "เห็นพระพุทธลักษณะแห่งพระพุทธชินราชว่างามหาพระพุทธรูปองค์ใดเปรียบมิได้ ครั้นเมื่อสร้างวัดเบญจมบพิตรขึ้น ได้พยายามหาพระพุทธรูปซึ่งจะเป็นพระประธาน ทั้งในกรุงแลหัวเมือง...ก็ไม่เป็นที่พอใจ จึงคิดเห็นว่าจะหาพระพุทธรูปองค์ใดให้สวยงามเสมอพระพุทธชินราชนั้นไม่มีแล้ว..."
แต่ด้วยเหตุที่พระพุทธชินราชไม่เคยถูกอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ที่แห่งใดเลย และทรงเกรงว่าเมื่อราษฎรชาวพิษณุโลกทราบข่าวการอัญเชิญพระพุทธชินราชไปประดิษฐานยังกรุงเทพมหานครจะพากันเศร้าโศกเหมือนเมื่อครั้งที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพโปรดให้อัญเชิญพระพุทธชินสีห์ลงไปประดิษฐานยังกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. 2372 และในเวลาไล่เลี่ยกันมีพระสงฆ์รูปหนึ่งได้อัญเชิญพระศรีศาสดาลงไปประดิษฐานยังกรุงเทพมหานครเช่นเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำริที่จะหล่อพระพุทธชินราช (จำลอง) ขึ้นแทน ดังความในพระราชปรารภที่ว่า "ครั้นจะเชิญพระพุทธชินราชลงมาก็เห็นว่าเป็นหลักเป็นศิริของเมืองพิศณุโลก...จึงได้ปรารภที่จะคิดหล่อขึ้นใหม่ให้เหมือนพระพุทธชินราช..." ในปี พ.ศ. 2444 จึงได้มีการหล่อพระพุทธชินราช (จำลอง) ณ บริเวณเดิม (โพธิ์ 3 เส้า) ที่มีการหล่อพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา และอัญเชิญพระพุทธชินราช (จำลอง) ลงแพแล้วล่องลงมายังกรุงเทพมหานครต่อไป
พ.ศ. 2442 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการสถาปนาวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามขึ้นเป็นพระอารามหลวงประจำพระราชวังดุสิต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะอัญเชิญพระพุทธชินราชไปประดิษฐานเป็นพระประธาน ณ พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ดังข้อความในพระราชปรารภ "เห็นพระพุทธลักษณะแห่งพระพุทธชินราชว่างามหาพระพุทธรูปองค์ใดเปรียบมิได้ ครั้นเมื่อสร้างวัดเบญจมบพิตรขึ้น ได้พยายามหาพระพุทธรูปซึ่งจะเป็นพระประธาน ทั้งในกรุงแลหัวเมือง...ก็ไม่เป็นที่พอใจ จึงคิดเห็นว่าจะหาพระพุทธรูปองค์ใดให้สวยงามเสมอพระพุทธชินราชนั้นไม่มีแล้ว..."
แต่ด้วยเหตุที่พระพุทธชินราชไม่เคยถูกอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ที่แห่งใดเลย และทรงเกรงว่าเมื่อราษฎรชาวพิษณุโลกทราบข่าวการอัญเชิญพระพุทธชินราชไปประดิษฐานยังกรุงเทพมหานครจะพากันเศร้าโศกเหมือนเมื่อครั้งที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพโปรดให้อัญเชิญพระพุทธชินสีห์ลงไปประดิษฐานยังกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. 2372 และในเวลาไล่เลี่ยกันมีพระสงฆ์รูปหนึ่งได้อัญเชิญพระศรีศาสดาลงไปประดิษฐานยังกรุงเทพมหานครเช่นเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำริที่จะหล่อพระพุทธชินราช (จำลอง) ขึ้นแทน ดังความในพระราชปรารภที่ว่า "ครั้นจะเชิญพระพุทธชินราชลงมาก็เห็นว่าเป็นหลักเป็นศิริของเมืองพิศณุโลก...จึงได้ปรารภที่จะคิดหล่อขึ้นใหม่ให้เหมือนพระพุทธชินราช..." ในปี พ.ศ. 2444 จึงได้มีการหล่อพระพุทธชินราช (จำลอง) ณ บริเวณเดิม (โพธิ์ 3 เส้า) ที่มีการหล่อพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา และอัญเชิญพระพุทธชินราช (จำลอง) ลงแพแล้วล่องลงมายังกรุงเทพมหานครต่อไป
นอกจากนั้นสำหรับท่านใดที่ชอบกินกล้วยทอด (เอ่อ..ป้าคะ ป้าจะโปรโมตอย่างนี้จริงๆ เหรอคะป้า) ที่ด้านหน้าวิหาร มีการทำบุญร่วมถวายภัตตาหารเพลให้กับภิกษุสามเณร ซึ่งบริจาคแบบหยอดลงตู้ ก็จะได้รับกล้วยทอดคนละถุงค่ะ ซึ่งอร่อยเชียวค่ะ กรอบนอก นุ่มใน ร้อนๆ อร้อย อร่อย (แต่น้องจี้กงบอกว่า บางวันก็เป็นน้ำมะพร้าวนะคะ แล้วแต่วันค่ะ)
เราว่าก็เป็นกุศโลบายที่ดีนะคะ แฮ่...(ใช้ได้อย่างยิ่งกับคนเห็นแก่กินเยี่ยงเรา ฮา)
ป.ล.ส่วนพระพุทธรูปอีกองค์คือ พระศรีศาสดานั้นก็ประดิษฐานอยู่ที่วัดบวรฯ เช่นกันนะคะ
หลังจากนั้นก็เปลี่ยนการเดินทางเป็นรถตู้ ต่อไปยังอีกหนึ่งโปรแกรมนั่นก็คือที่หัตถาแลนด์นั่นเอง เดินทางไปจากวัดฯ ก็ราวๆ สิบกว่านาทีค่ะ ตามแผนที่นี้เลยนะฮับ
สำหรับที่นี่เรามากันก็เพื่อโปรแกรมนวดค่ะ ซึ่งเลือกได้ว่าจะนวดเท้าหรือนวดตัวค่ะ ที่นี่ถ้าเป็นวันธรรมดาจะมีหมอนวดอยู่ 11 ท่าน ถ้าเสาร์อาทิตย์ 15 ท่านค่ะ มีทั้งนวดเท้า นวดแผนไทย และนวดน้ำมันนะคะ แต่วันนั้นที่จัดกันไว้เป็นนวด 1 ชม.ค่ะ เราเลยเลือกนวดแผนไทย
รูปนี้เป็นบริเวณทางเข้านะคะ
ไปถึงปุ๊บ ต่อให้นวดตัว เค้าก็จะล้างเท้าก่อนนะคะ สองท่านนี้คือ พี่ตุ๊กกับน้องจุงโกะ สองในผู้ร่วมทริปของเราค่า
ถ่ายด้านนอกอาคารของที่นี่มาให้ดูค่ะ โดยสถานที่ก็ถือว่าสวยงามใช้ได้เลยนะคะ
หลังจากนวดตัวไปแล้ว สบายตัวพอสมควร (ที่จริงถ้าสองชั่วโมงจะฟินกว่านะคะ สำหรับการนวด แนะนำสำหรับท่านใดที่จะนวดค่ะ) ตอนมานั่งรอคนอื่นๆ ที่เคาน์เตอร์ ก็ชวนพนักงานคุย ปรากฏว่าที่นี่เป็นรีสอร์ทด้วยค่ะ มีห้องพักราคาตั้งแต่หลักร้อยจนถึงพันต้นๆ เลย ดีงามอยู่นะนั่น สำหรับราคาหลักร้อยนี่ไม่รวมอาหารเช้านะคะ แต่จะไปซื้ออาหารเช้าเพิ่มที่นั่นก็ได้ค่ะ
เอาตัวอย่างบ้านพักของที่นี่มาให้ชมกันนะคะ ทุกห้องจะมีสไตล์การวาดที่แตกต่างกันค่ะ เราชอบนะคะ โดยราคากับตัวห้อง เราว่าคุ้มค่าอยู่แหละ เพียงแต่คงต้องมีรถส่วนตัวค่ะถ้าจะพักที่นี่ เพราะค่อนข้างไกลตัวเมือง (แต่ใกล้สนามบินพิษณุโลกนะเอ้า)
ป.ล. ถ้าขยันและมีเวลาพอ จะทำรีวิวแบบเห็นห้องแทบครบทุกไทพ์ของที่นี่อีกทีนะคะ
หลังจากสบายตัวกันแล้วก็ได้เวลาหาที่เช็คอิน (ไม่ใช่แระ) หาที่กินและดื่มยามบ่ายกันค่ะ ซึ่งเราก็ไปยังร้าน AVA Cafe&Eatery กันค่ะ
นั่งรถไปราวสิบนาทีนิดหน่อยเช่นกันนะคะ
หน้าตาร้านค่าา สีสันสดใสน่าถ่ายรูปมากๆ อิอิ
ภายในร้านก็มีที่นั่งมากพอควรนะคะ กะสายตาคร่าวๆ น่าจะราวๆ สัก 20-30 ที่นั่งได้มั่ง
แต่ข่าวร้ายมากถึงมากที่สุด (ตีอกชกหัวร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือด #ดึงสติหน่อยค่ะป้าคะ) นั่นคือ ขนมส่วนใหญ่หมดค่ะ ขนมเหลือแค่เจ้าสองตัวเนี้ย ฮืออออออ เศร้า เราชอบบราวนี่เค้านะคะ แต่คนอื่นชอบ Velvet Cake ค่ะ
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางสู่ที่พักของเราในค่ำคืนนั้นค่ะ กับโรงแรม Dragon River ค่า อยู่ริมแม่น้ำน่านเลยนะคะ ตรงกันข้ามคนละฟากฝั่งแม่น้ำกับพระราชวังจันทน์ที่เรานั่งรถรางไปเที่ยวกันเมื่อช่วงบ่ายนั่นเอง
ด้านหน้ารร.มีจักรยานให้คนที่มาพักได้ใช้บริการด้วยนะคะ ซึ่งก็มีสองคนในคณะเราใช้บริการตอนเช้าวันรุ่งขึ้นด้วยค่ะ ปั่นไปวัดพระพุทธชินราชนั่นเองค่า
เดินเข้าไป ทางซ้ายมือที่อยู่ตรงข้ามกับล็อบบี้ (ซึ่งอยู่ทางขวามืออะนะคะ) ก็มีการจัดวางให้ถ่ายรูปกับเบ็ตตี้บู๊พส์ด้วยนะคะ
หลังจากได้รับกุญแจเรียบร้อยแล้ว (อ้อๆ ที่นี่มี wifi ให้ใช้ฟรีนะฮับ) ก็ไปดูห้องพักกันค่ะ ก็เป็นห้องสไตล์แบบในเมืองหละนะคะ มีเครื่องทำน้ำอุ่นและไดร์เป่าผมค่ะ
จากนั้นก็ได้เวลาปาร์ตี้ รับประทานอาหารเย็นกับการร้องคาราโอเกะค่ะ ซึ่งก็จัดให้ที่ห้องประชุมของโรงแรมนี้ค่ะ มีเอาลูกโป่งสีหวานให้สมกับความเป็นเลดี้เจอร์นี่มาตกแต่งด้วยนะคะ น่ารักอ้ะ
หน้าตาของอาหารเย็นวันนั้นค่ะ จัดเต็มมากๆ (มีทีมงานของททท.พิษณุโลกมาด้วยนะคะ ทั้งท่านผอ.ที่น่ารักมาก เป็นกันเองมาก และน้องอาร์มกับน้องหมวยค่ะ)
ท่านผอ.ททท.พิษณุโลกกล่าวต้อนรับพวกเราค่ะ ส่วนอีกรูปเป็นน้องอาร์ม ผู้ริเริ่มโครงการเลดี้เจอร์นี่ย์นั่นเอง
ที่จริงมีคลิปตอนร้องเกะกันอย่างเมามันด้วยค่ะ แต่พี่จิบไม่ให้ผ่านเซนเซอร์ 55555 เลยขอจบวันแรกแต่เพียงเท่านี้นะคะ ตอนหน้ามาดูวันที่สองกันค่ะว่าไปเที่ยวไหน กินอะไรกันบ้าง พร้อมคอนเสิร์ตของสุดที่รักรักที่สุดอย่างพี่ก้อง -สหรัถค่าา
ปฏิทินธรรม
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2559
1. งานอายุวัฒนมงคล 87 ปี ทายาทธรรมของท่านพ่อลี พระพุทธิสารเถร (หลวงปู่บุญกู้ อนุวฑฺฒโน)ณ ศาลาหลวงพ่อทรงธรรม วัดอโศการาม
https://www.facebook.com/bogboon/photos/a.335848433125466.75888.335629013147408/1147914245252210/?type=3&theater
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2559
1. ถวายภัตตาหารและจตุปัจจัย แด่พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ไม อินทสิริ วัดป่าหนองช้างคาว จ.อุดรธานี
ณ ชมรมพุทธศาสน์ กฟผ.อาคาร ท.102 ชั้น 3 การไฟฟ้าฝ่ายผลิต บางกรวย
https://www.facebook.com/bogboon/photos/a.335848433125466.75888.335629013147408/1158008237576144/?type=3&theater
วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2559
1. ทำบุญตักบาตร พระธุดงคกรรมฐาน สาย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จำนวน 10 รูป เวลา7.30 น.
ณ ลานด้านหน้าอาคารสำนักบริการทางวิชาการและทดสอบประเมินผลหรืออาคาร สวป. ราม ๑ (หัวหมาก) กทม.
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=311066152569514&set=gm.1130033927058817&type=3&theater
วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2559
1. สวดมนต์ถวาย ในหลวง พระราชินี จัดสวดตลอดปี 2558 รวม 12 ครั้ง
ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในเวลา 16.00น. ทุกวันที่ 5 ของทุกเดือน
https://www.facebook.com/bogboon/photos/a.572181122825528.1073741826.335629013147408/924827967560840/
2. ชมรมพุทธทีโอที ขอเชิญทุกท่านร่วมฟังการบรรยายธรรม โดยท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ วิ.(สุรศักดิ์ เขมรํสี) เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา
ณ ห้องชมรมพุทธ บมจ.ทีโอที อาคาร 5 ชั้น 3 สำนักงานใหญ่แจังวัฒนะ
https://www.facebook.com/kammatan.tot/photos/a.718127611543877.1073741829.718115048211800/1138513002838667/?type=3&theater
วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม 2559
1. ตักบาตรและฟังธรรมพระกัมมัฎฐาน (ทุกวันเสาร์ต้นเดือน)
ณ วัดพุทธบูชา เวลา 6.30 - 10.30 น.
https://www.facebook.com/bogboon/photos/a.479376905439284.105742.335629013147408/479378802105761/?type=1&relevant_count=1
วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม 2559 (ปกติกิจกรรมจัดทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน แต่เดือนมกราคม จะจัดวันปีใหม่) 1.ทำบุญกับพระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ณ มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ถ.จรัญสนิทวงศ์ซอย 37 เวลา 06.30-10.30 น. ดูรายละเอียดพระที่มารับบาตรและแผนที่ได้ที่ //www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=3447 2. งานไถ่ชีวิตโคกระบือ ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน ณ. วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เขตบางเขน กรุงเทพฯ
https://web.facebook.com/bogboon/photos/a.614964165213890.1073741836.335629013147408/540852169291757/
วันอาทิตย์ที่ 14 และ 28 สิงหาคม 2559 (กิจกรรมจัดทุกๆ วันอาทิตย์ที่ ๒ และ ๔ ของเดือน) 1. ทำบุญ ฟังธรรม จากครูบาอาจารย์พระป่าสายกัมมฐาน ณ ศาลาลุงชิน แจ้งวัฒนะ 14 กิจกรรมจะเริ่มจากการถวายภัตตาหารร่วมกันเวลา ๘:oo น. สำหรับท่านที่สนใจนำอาหารมาร่วมทำบุญ แนะนำให้มาก่อนเวลาเพื่อจัดเตรียมอาหารใส่ภาชนะ ซึ่งจะเริ่มลำเลียงถาดอาหารเพื่อเตรียมประเคนเวลาประมาณ ๗:๔๕ น. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/SalaLungChin?fref=ts
วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม 2559 (จัดทุกวันเสาร์ที่สี่ของเดือน)
1. เชิญทุกท่านร่วมทำบุญตักบาตร สดับธรรม พระเถระวัดป่ากรรมฐาน เมตตารับบาตร โดย ณ ลานเปรมปรีดิ์ มูลนิธิบ้านอารีย์
เว็บไซต์บ้านอารีย์ //www.baanaree.net
2. ขอเชิญร่วมเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตภาวนา เพื่อถวายเป็นอาจริยบูชาแด่ พระราชญาณวิสุทธิโสภณ (หลวงปู่ท่อน ญาณธโร) เวลา 19.00น.
ณ วัดป่ามณีกาญจน์ ต.ศาลากลาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
//www.watpamaneekarn.com/
วันเสาร์และอาทิตย์ที่ 27 - 28 สิงหาคม 2559
1. งานบุญประจำเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ทำบุญบำรุงรักษาสวนแสงธรรม และถวายปัจจัยร่วมสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ณ วัดป่าบ้านตาด
ณ สวนแสงธรรม พุทธมณฑล สาย 3 แขวงบางไผ่ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร
https://www.facebook.com/bogboon/photos/a.479376905439284.105742.335629013147408/701496553227317/?type=1&theater
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ1,469,696+3550294 =5019990/12314/1190
Create Date : 08 สิงหาคม 2559
Last Update : 8 สิงหาคม 2559 0:18:29 น.
47 comments
Counter : 3888 Pageviews.
พระพุทธชินราชงามสง่า น่ากราบไหว้
บ้านพักก็น่าพักจังค่ะ..