•  Bloggang.com
  • สิงหาคม 2557

     
     
     
     
     
    1
    2
    3
    4
    5
    6
    7
    8
    9
    10
    11
    12
    13
    14
    15
    16
    17
    18
    20
    21
    22
    24
    25
    26
    27
    28
    29
    30
    31
     
     
    ถือก็หนัก วางก็เบา โดยพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี
     พระบวชใหม่รูปหนึ่งกำลังเดินบิณฑบาต  ผ่านชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนจอแจ ขณะเดินสำรวมก้มหน้าแต่พอประมาณ
    เพื่อเดินผ่านชุมชนไปอย่างช้าๆนั้นเอง  จู่ ๆ ก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งใส่สูทผูกเนคไท สวมแว่นตาดำเดินเข้ามาหาท่าน
    พร้อมทั้งชี้หน้าด่าท่านอย่างสาดเสียเทเสีย

    พระรูปนั้นตกตะลึง รีบเดินหนี

    แต่แม้ท่านจะเดินหนีชายคนนั้นพ้นแล้ว แต่เสียงด่าของเขายังคงก้อง อยู่ในโสตประสาทของท่านอย่างชัดถ้อยชัดคำ

    เมื่อกลับถึงวัด พลันที่คิดถึงเหตุการณ์ ที่ตนถูกชี้หน้าด่ากลางฝูงชน พระหนุ่มก็รู้สึกโกรธจนหน้าแดงก่ำ ยิ่งคิดต่อไปว่าชายคนนั้นมาชี้หน้าด่าตน
    ซึ่งเป็นพระและตนเองก็จำได้ว่า ตั้งแต่บวชเข้ามาในพระธรรมวินัย ก็ยังไม่เคยทำอะไรผิด


    คิดมาถึงขั้นว่า ตนไม่ผิด แต่ทำไมตนต้องถูกด่า ยิ่งเจ็บ ยิ่งแค้น วันที่ท่านถูกด่ากลางชุมชนนั้นเป็นวันศุกร์ แต่ตกถึงเช้าวันจันทร์ท่านก็ยังไม่หายโกรธ
    เช้าวันจันทร์นั้น พระบวชใหม่ประคองบาตร เดินผ่านชุมชนนั้นเหมือนเดิม ท่านพยายามสอดส่ายสายตามองหาชายคนเดิม ตั้งใจว่าวันนี้จะต้องถามให้รู้เรื่อง
    ว่าเหตุจึงมาชี้หน้าด่าตนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ยิ่งพยายามค้นหา กลับยิ่งไม่พบ ท่านจึงเดินสำรวจรับอาหารบิณฑบาตต่อไป จนได้อาหารเต็มบาตรแล้วจึงเดินกลับวัด


    ระหว่างทางกลับวัด โดยไม่คาดฝัน พระหนุ่มทอดสายตาไปพบกับชายคนหนึ่งสวมสูท ผูกเทคไทใส่แว่นตาดำ ท่านอุทานในใจว่า

    “อ๋อ เจ้าคนนี้เองที่ด่าฉันเมื่อวันศุกร์”

    ภาพที่เห็นก็คือ ชายแต่งตัวดีคนนั้น นอนหลับหมดสติอยู่ข้างศาลเจ้าแห่งหนึ่ง ข้าง ๆ ตัวเขามีขวดเหล้าล้มกลิ้งอยู่
    พอท่านพยายามเดินเข้าไปมองใกล้ ๆ เขาจึงเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พอเห็นท่านเท่านั้นชายคนนั้นก็ร้องขึ้นมาว่า

    “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นกล้าฯ บัดนี้พระองค์ทรงกลับมาครองอยุธยาอีกครั้งหนึ่งแล้วกระนั้นหรือ...” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นรำเฉิบ ๆ

    พลันที่ท่านประเมินว่าชายแต่งตัวดี คนที่ชี้หน้าด่าท่านเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว เป็นคนบ้าที่มาในร่างของคนแต่งตัวดีเท่านั้นเอง
    ความโกรธที่ก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึน อยู่ในใจของท่านมานานถึงสามวัน ก็พลันอันตรธานไปอย่างง่ายดายชนิดไร้ร่องรอย
    ทำไมเราจึงปล่อยวางต่อคนบ้าได้ง่ายดายเหลือเกิน  แต่กับคนปกติทำไม เราจึงมีความรู้สึกว่าต้องเอาเรื่องราวให้ถึงที่สุด


    “สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ ใดใดในโลกอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น”


    ทำไมจึงไม่ควรยึดติดถือมั่น เพราะที่ใดมีความถือมั่น ที่นั่นก็มีความทุกข์ ความทุกข์ขยายตัวตามระดับความเข้มข้นของความยึดติด
    ยึดมาก ติดมาก จึงทุกข์มาก  ไม่ยึด ไม่ติด จึงไม่ทุกข์

    ความไม่ยึดติดถือมั่น กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า “ความปล่อยวาง”  ทำไมจึงต้องปล่อยวาง  เพราะทุกอย่าง “มีความว่าง” มาแต่เดิม
    คนที่หลงกอด “ความว่าง”  โดยคิดว่าเป็น “ความมี” ทำไมจะไม่ทุกข์



    Create Date : 23 สิงหาคม 2557
    Last Update : 23 สิงหาคม 2557 14:02:35 น.
    Counter : 19662 Pageviews.

    0 comments
    ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
    Comment :
     *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
     

    สมาชิกหมายเลข 1645554
    Location :
      

    [ดู Profile ทั้งหมด]
     ฝากข้อความหลังไมค์
     Rss Feed
     Smember
     ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]