บทที่ 1 ตื่นจากฝัน

“ช่างชั่วร้ายนัก!” เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น

“ข้าว่าน่าชื่นชมมากกว่า” เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งกลับว่า

“เจ้าเสียสติหรือไง จมปลักในแค้น จุดจบสังหารตัวตาย นี่หรือเรียกว่าน่าชื่นชม” คราวนี้เสียงแรกต่อว่า

“เจ้าต่างหากมองด้วยอคติ สำหรับเขาแล้วเพื่อบรรลุเป้าหมายจิตใจมุ่งมั่นไม่หวั่นเกรงต่อภัย กลับเห็นเป็นสิ่งอัปมงคล” เสียงที่สองเถียง

“ผีเห็นผี! เจ้าเข้าข้างเขาเท่ากับเข้าข้างตัวเอง”

“เจ้าสิเนื้อในหยาบกระด้าง!”

“เจ้าต่ำช้า! คิดล้างมลทินให้เขา”

“เจ้าชั่วช้า! คิดป้ายสีเขา!”

จากนั้นมีเสียงตุ้บตั้บดังขึ้น ดูท่าคงตีกันแล้ว

“แฮ่กๆ... เอาอย่างนี้ดีกว่า ให้ท่านหัวหน้าตัดสินเถอะว่าวิญญาณคนชั่วผู้นี้ควรไปยมโลกหรือสวรรค์”

“แฮ่กๆ... ดีเหมือนกัน ให้ท่านหัวหน้าตัดสินเถอะว่าวิญญาณผู้กล้าคนนี้ควรไปสวรรค์หรือยมโลก”

“ตกลง!! งั้นเจ้ากับข้าไปหาท่านหัวหน้าด้วยกัน!!” สองเสียงพูดพร้อมกันเมื่อได้ข้อสรุป

เฟิงเย่วหลัวงุนงง ใครกันที่กำลังเถียงกันอยู่ข้างหูเขา แล้วนี่มันที่ไหน ทำไมถึงมีหมอกหนาขนาดนี้ ชายหนุ่มก้มมองหมอกขาวที่หนาตาจนมองไม่เห็นปลายเท้า พอมองดูดีๆ สถานที่แห่งนี้ยังกว้างขวางราวกับเขากำลังยืนอยู่กลางทะเลหมอกขนาดใหญ่ บรรยากาศแบบนี้ออกจะเหมือนกับ...ที่เคยเห็นในหนังทีวีบ่อยๆ

พลันสายตาเหลือบเห็นรอยแดงฉานบนหน้าอกที่ราวกับกลีบดอกไม้

เขา...ยิงตัวเองตาย

เฟิงเย่วหลัวจำเรื่องราวได้ทั้งหมดแล้ว หรือที่แห่งนี้ก็คือโลกหลังความตายที่เล่าลือกัน

ทันใดนั้นเฟิงเย่วหลัวรู้สึกว่ามีขุมพลังงานบางอย่างดึงสองแขนของเขาพาก้าวไปข้างหน้า ชายหนุ่มประหลาดใจ ฝืนแข็งเท้าโดยสัญชาตญาณ ส่งให้แรงฉุดดึงทั้งสองสะดุดกึกทันควัน

“คนต่ำช้า ดึงเขาไว้ทำไม”

“คนชั่วช้า เจ้าต่างหากที่ดึงเขา”

“ข้าเปล่า”

“ข้าก็เปล่า”

ทั้งที่เสียงเล็กๆ สองเสียงทุ่มเถียงกันไปมาข้างหู แต่น่าแปลกที่เขากลับมองไม่เห็นเจ้าของเสียงทั้งคู่ กลับเห็นเป็นกลุ่มควันเบาบางหนึ่งขาวหนึ่งดำขนาบข้างกายเขาทั้งซ้ายและขวาแทน แวบหนึ่งเฟิงเย่วหลัวคิดถึงตำนานพื้นบ้านโบราณที่พี่สาวเคยเล่าให้ฟัง ข้างกายเขาคงไม่ใช่ไป๋อู่ฉางกับเฮยอู่ฉาง คู่นั้นหรอกนะ

ควันขาวและดำล่องลอยอยู่เหนือกลุ่มหมอกขาวสะอ้าน ไกลออกไปชายหนุ่มมองเห็นสะพานหินตั้งมั่นคงแข็งแรงทอดข้ามแม่น้ำสายใหญ่ไปสู่ทุ่งหญ้าอีกฝั่ง บนทุ่งหญ้าอุดมไปด้วยดอกมัญชุษกะ แดงเปล่งปลั่งเบ่งบานสะพรั่ง ชูช่อพลิ้วไหว มองจากที่ไกลคล้ายมือสีเลือดกำลังกวักแขนรอต้อนรับผู้มาเยือนจากอีกฝั่ง

เฟิงเย่วหลัวขมวดคิ้วเล็กน้อย

จากตรงนี้เขามองเห็นใครบางคนข้ามสะพานอย่างเชื่องช้า และในเวลาต่อมาก็ไปจับกลุ่มรวมกับกลุ่มคนที่ยืนอยู่อีกฟากฝั่ง ใบหน้าของทุกคนล้วนเฉยเมยไร้อารมณ์ ทั้งยังซีดเผือดราวกับดวงวิญญาณทั้งสิ้น

“เสี่ยวเฮยหยุดดึงเดี๋ยวนี้”

“เจ้านั่นแหละเสี่ยวไป๋ หยุดดึงเดี๋ยวนี้”

“...”

พูดไม่ออก เสี่ยวเฮย... เสี่ยวไป๋... ใช่พวกเขาหรือนี่

“พวกนายทั้งคู่นั่นแหละ หยุดดึงเดี๋ยวนี้”

ควันทั้งคู่ชะงัก เฟิงเย่วหลัวถึงกับเห็นว่าพวกมันผละจากเขาทันควันประหนึ่งยางยืดที่โดนแรงดีดด้วยซ้ำ

“เจ้าพูดได้!!”

พูดพร้อมกันอีกแล้ว

ถึงเฟิงเย่วหลัวจะเป็นนักฆ่า แต่เขาก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างโลกหลังความตายมาก่อน เดิมคิดแค่ว่า ปัง! ส่งเป้าหมายกลับบ้านเก่าแล้วก็จบ ไหนเลยจะนึกถึงว่ายังมีโลกอีกแห่งหนึ่งซ่อนเร้นอยู่ได้ ทั้งยังเป็นโลกที่สุดแสนจะแปลกใหม่ในสายตาเขาอีกด้วย

อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเห็นควันพูดได้มาก่อน

“อยากพาฉันไปสวรรค์หรือยมโลกไม่ยากหรอก แค่บอกเท่านั้น แต่ขอร้องอย่าดึงได้ไหม ฉันไม่ชอบ” ความรู้สึกถูกบังคับเป็นสิ่งที่เฟิงเย่วหลัวไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย ก่อนตายเขาถูกบงการมามากพอแล้ว ไม่นึกว่าพอตายแล้วยังมีควันพูดได้มาบงการเขาอีก

กลุ่มควันทั้งสองคล้ายพบเจอเรื่องน่าตระหนกเป็นอย่างมาก เสียงแหลมเล็กแฝงแววระแวดระวัง

“เป็นไปไม่ได้ วิญญาณมนุษย์ต่ำช้าจะมีจิตสำนึกรู้ได้ยังไง”

“นั่นน่ะสิ แต่ว่าไม่แน่นะเสี่ยวไป๋ วิญญาณมนุษย์ผู้กล้าผู้มีใจมุ่งมั่นอาจมีจิตสำนึกรู้แม้สิ้นชีพแล้วก็เป็นได้”

ควันสีขาวบอกว่าเขาต่ำช้า ควันสีดำบอกว่าเขาเป็นผู้กล้า ควันทั้งสองถกเถียงกัน

“ผิดปกติเกินไปแล้ว ต้องรีบบอกท่านหัวหน้าให้รู้เรื่องนี้”

“ใช่แล้ว ท่านหัวหน้าต้องจัดการเรื่องนี้ได้แน่ๆ”

เฟิงเย่วหลัวชักอยากเห็น ‘ท่านหัวหน้า’ ขึ้นมารำไร หวังว่ากระทั่ง ‘ท่านหัวหน้า’ ก็คงไม่ได้เป็นควันด้วยหรอกนะ ถ้าหากหัวหน้ากับลูกน้องเป็นควันทั้งหมดแล้วจะแยกแยะยังไง ลองสำรวจตัวเอง โชคดีที่รูปร่างหน้าตาแขนขาของเขายังอยู่ครบ เสื้อผ้ายังเป็นเสื้อยืดลายพื้น ทับด้วยเสื้อคลุมกันลม กางเกงยีนตัวยาว กับรองเท้าผ้าใบทรงสปอร์ตที่ใส่ตอนตาย ขนาดบนหน้าอกยังมีรอยเลือดเปื้อนอยู่เลย

ที่แท้ตอนเป็นผีก็มีรูปร่างไม่ต่างจากตอนเป็นคน

ลองสัมผัสร่องรอยบนหน้าอกอันเป็นตัวการทำให้เขาต้องมาอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ เมื่อคิดว่าตัวเขาตายแล้วจริงๆ เฟิงเย่วหลัวกลับรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เขาถูกหลงต้าเฉียนบงการให้เป็นนักฆ่ามาตลอด ในที่สุดก็สามารถล้างแค้นจนหลุดพ้นจากโชคชะตานี้ได้แล้ว เพราะคนตายไม่อาจพรากความตายจากคนอื่นอีกต่อไป

จะมีก็แต่เฟิงเย่วอินที่เขายังเป็นห่วง ก่อนหน้าหลงต้าเฉียนจะทันระแคะระคาย เขาก็วางแผนส่งเธอไปอยู่ในความคุ้มครองของ FBI ในนิวยอร์ก ที่นั่นหลงต้าเฉียนจะไม่สามารถแตะต้องเธอได้

คิดแล้วก็ขยับรอยยิ้มอสูรบนมุมปาก ดวงหน้าอ่อนเยาว์ของนักฆ่าพลันน่าดูขึ้นหลายส่วน

การแก้แค้นสำเร็จแล้ว อีกไม่นานเขาคงได้พบกับหัวหน้าแก๊งแดนเหนือและหัวหน้าแก๊งแดนใต้ในที่แห่งนี้อีกครั้ง

“ท่านหัวหน้าต้องรู้เรื่องนี้แน่”

“ใช่แล้ว ท่านหัวหน้าต้องคลี่คลายเรื่องนี้ได้แน่”

ควันทั้งสองคล้ายไม่กล้าแตะต้องเฟิงเย่วหลัวอีก จึงได้แต่หนึ่งนำทางหนึ่งไล่ต้อนให้เขาเดินตามมา สะพานหินเส้นนั้นเริ่มห่างไกลจากสายตาออกไป ไม่ทราบว่าควันทั้งสองจะพาเขาไปที่ไหนกันแน่

นานทีเดียวกว่าจะถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ท่ามกลางกลุ่มหมอกขาวสะอ้านที่เริ่มจางลงพลันปรากฏวิวทิวทัศน์งดงามของทุ่งหญ้ามรกตและต้นไม้สีเหลืองทองผลิใบบาน แต่ละต้นส่องแสงสว่างเรืองรองประดุจก้อนทองคำ ถัดออกไปยังมีบึงน้ำใสที่ไหลรวมจากลำธารบนภูเขาสูง...เอ่อ สูงไปหน่อยหรือเปล่า มองไม่เห็นยอดเลย ดูท่าข้างบนโน้นคงแทงทะลุไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า

พอเท้าเหยียบลงบนทุ่งหญ้ามรกต เสียงจ้อกแจ้กก็ดังตามมาทันควัน

เฟิงเย่วหลัวอึ้ง ทะ...ที่นี่มีไป๋อู่ฉางกับเฮยอู่ฉางเต็มไปหมดเลย

นักฆ่ามองกลุ่มควันน้อยใหญ่ที่ล่องลอยละลานตาบนฟ้าด้วยความประหลาดใจ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มควันคู่สีขาวและดำ มีตั้งแต่ขนาดเล็กราวควันธูปไปจนถึงขนาดใหญ่เท่าก้อนเมฆไซด์มินิ ล่องลอยเคียงคู่กันไปพลางเสวนากันไปพลางราวกับที่นี่คืออาณาจักรสำหรับไป๋เฮยอู่ฉางอย่างไรอย่างนั้น

เฟิงเย่วหลัวจับจ้องทิวทัศน์เบื้องหน้าด้วยความสนใจ อันที่จริงนักฆ่าอย่างเขาไม่เคยเชื่อเรื่องโลกหลังความตายมาก่อน ผิดกับเฟิงเย่วอินที่ชอบอ่านหนังสือพวกนี้มาก บัดนี้เมื่อทิวทัศน์เหนือจินตนาการปรากฏสู่สายตาจึงทำให้แม้แต่นักฆ่าที่ไม่ถนัดการแสดงความรู้สึกอย่างเขายังอดทึ่งไม่ได้

ที่ไกลออกไปทางซ้ายมือมีกลุ่มควันสีขาวก้อนใหญ่กว่าไป๋อู่ฉางตนใดๆ เคลื่อนที่ใกล้เข้ามา

“ท่านหัวหน้า!” ควันสีขาว...เสี่ยวไป๋ข้างกายเขาอุทาน

ขณะเดียวกันควันสีดำลูกใหญ่กว่าเฮยอู่ฉางตนใดๆ ก็ลอยมาจากทางขวามือเช่นกัน

“ท่านหัวหน้า!” คราวนี้เสี่ยวเฮยข้างกายเขาอุทานบ้าง

‘ท่านหัวหน้า’ ควันทั้งสองเหาะตรงดิ่งมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นลอยหยุดนิ่งกับที่ เฟิงเย่วหลัวจ้องมองด้วยความประหลาดใจ จากนั้นไม่นานควันก้อนใหญ่ก้อนที่สามก็เหาะมาจากทิศทางตรงกึ่งกลางระหว่างหัวหน้าควันทั้งคู่ จนในที่สุดก็หยุดลงระหว่างหัวหน้าควันทั้งสองนั้น

ควันก้อนที่สามกลับมีสีสันแตกต่างจากไป๋อู่ฉางและเฮยอู่ฉางโดยสิ้นเชิง กลุ่มควันขนาดใหญ่สีขาวแซมสีเหลืองทองสุกสว่าง ส่องประกายเจิดจ้าดุจแสงทองแห่งดวงตะวัน แสงทองลำหนึ่งสาดส่องลงมาเบื้องล่างฉาบทับร่างวิญญาณของชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวในที่นั้น

“เสี่ยวหลัวงั้นรึ” ควันก้อนที่สามเอ่ยเรียกเขา สัญชาตญาณระวังภัยของนักฆ่าทำให้เฟิงเย่วหลัวหรี่ตาลงอย่างระแวดระวัง ทว่าเสียงนั้นดังขึ้นอีกจนแทบเป็นหัวเราะก้อง “เสี่ยวหลัว! เสี่ยวหลัว! เป็นเจ้า ใช่เจ้าจริงๆ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา เจ้ากลับมาจนได้!”

...กลับมางั้นหรือ

“ปล่อยให้ข้ารอเสียเนิ่นนาน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาจนได้ ฮ่าๆๆ เจ้าเด็กบ้านี่”

“ท่านสัตว์เทพไป๋เหลียนตาว!!” เสี่ยวไป๋กับเสี่ยวเฮยข้างกายเขาพลันตกตะลึง

ไป๋เหลียนตาว... สัตว์เทพ... นี่มันหมายความว่ายังไงกัน

“หรือว่าวิญญาณชั่วช้าผู้นี้คือ...”

“เสี่ยวไป๋!”

“ไม่ใช่! ข้าพูดผิด หรือว่าวิญญาณผู้กล้าผู้สง่างามท่านนี้ก็คือ...” เสี่ยวไป๋กลืนคำสบประมาท เปลี่ยนคำพูดฉับพลัน ขนาดพวกนายยังมีการประจบประแจงเลยเรอะ

ทันใดนั้นหัวหน้าควันทั้งสองค่อยๆ ก่อรูปร่างกลายเป็นมนุษย์ คนหนึ่งเคร่งขรึมสงบนิ่งดุจบึงน้ำใส โครงร่างกำยำ หน้าตาหล่อเหลา ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายทรงอำนาจ อีกคนทั้งที่หล่อเหล่าไม่แพ้กัน แต่หน้าตากลับหงุดหงิด ฉายแววบันดาลโทสะตลอดเวลา ทั้งคู่สวมชุดเกราะของนักรบโบราณ เส้นผมบนศีรษะรวบตึงเป็นมวยกลางกระหม่อม ครอบมวยผมด้วยกวานโลหะสีเข้ม หนึ่งขาว หนึ่งดำ หนึ่งถือทวน หนึ่งกุมดาบ ลอยร่างกลางอากาศดุจภาพวาดสองขุนพลผู้พิทักษ์ทวารบาล

สองขุนพลขาวดำโค้งกายคำนับเงาร่างที่ปรากฏตัวออกมาจากกลุ่มควันก้อนที่สามช้าๆ

ท่ามกลางกลุ่มควันสีขาวแซมเหลืองทองดุจแสงตะวันที่หดเล็กลงจนเกือบเท่าคนธรรมดา บัดนี้ปรากฏบุคคลในชุดหลวมตัวยาวแขนกว้างปักลายเมฆ มือทั้งสองข้างโผล่พ้นชายแขนเสื้อพลางท้าวเอว เผยให้เห็นท่อนแขนเรียวสะอาดดุจไข่มุก เขาสวมเสื้อด้านในสีขาวปลอด ดวงหน้าคมคาย เรือนผมสีตะวันปล่อยยาวสยายพลิ้วตามสายลม ดูเรียบง่ายปล่อยตัวและองอาจในคราวเดียว เอ่ยปากกล่าวว่า “เจ้าศิษย์ไม่ได้ความ ยังจดจำตัวข้าอาจารย์ผู้นี้ได้หรือไม่”

“อาจารย์!?” เฟิงเย่วหลัวตกตะลึง เพิ่งทำใจยอมรับโลกใหม่หลังความตายหมาดๆ ตอนนี้กลับมีใครไม่รู้บอกว่าเป็นอาจารย์ของเขาเสียแล้ว

“ขออภัย ท่านศิษย์สัตว์เทพ!!” เสี่ยวไป๋กับเสี่ยวเฮยรีบผละจากข้างกายเขาทันที

“ถูกแล้วเจ้าศิษย์โง่ หึ! หนีไปเกิดเป็นมนุษย์ เวียนว่ายในวัฏสงสาร สุดท้ายซมซานกลับมา มีความสุขดีไหมเล่า”

เขาน่ะหรือ... ศิษย์สัตว์เทพ... หนีไปเกิดเป็นมนุษย์...

เฟิงเย่วหลัวงุนงงกับเรื่องราวที่เกินกว่าจะไล่เรียงลำดับทัน

“กลับมาเสียทีก็ดี ตอนไปทิ้งเรื่องมากมายให้ตัวข้าอาจารย์สะสาง คราวนี้ละข้าจะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกให้หมดเลยทีเดียว”

“เดี๋ยวก่อน ฉันไม่เห็นรู้เรื่องสักนิด ศิษย์อาจารย์อะไรกัน”

ประกายสายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าเปรี้ยงทันที วิญญาณนักฆ่ากระโดดหลบวูบ จากนั้นถึงเห็นว่ามันถูกปล่อยออกมาจากนิ้วชี้ที่ยื่นออกมาของไป๋เหลียนตาว

“ไอ้เจ้าศิษย์เนรคุณ! ทำตัวข้าอาจารย์ปวดใจยิ่งนัก ตอนไปไม่ล่ำลา ตอนมากลับบอกว่าไม่รู้จักตัวข้าอาจารย์เสียแล้ว ข้าจะอกแตกตาย! ข้าอยากอกแตกตาย!”

“ท่านสัตว์เทพใจเย็นก่อน โปรดระงับโทสะด้วย!!”

สองขุนพลขาวดำบนฟ้าพุ่งตรงเข้าประคองร่างคนอยากอกแตกตายทันควัน สถานการณ์โกลาหลเข้าไปทุกที ไป๋เหลียนตาวเดือดดาล ชี้นิ้วมาทางเขา

“ศิษย์เนรคุณกลับไปกับข้าเดี๋ยวนี้!”

กลับไป? ไปไหน!? เขาที่เพิ่งฆ่าตัวตายกลายเป็นวิญญาณจู่ๆ ก็ถูกบอกว่าเป็นศิษย์ของคนตรงหน้า และตอนนี้ก็ถูกบอกให้ตามกลับไปหรือนี่

“เสี่ยวไป๋ เสี่ยวเฮย ยังไม่รีบเชิญท่านศิษย์สัตว์เทพมาอีกรึ!!” หัวหน้าไป๋อู่ฉางและหัวหน้าเฮยอู่ฉางออกคำสั่ง เสี่ยวไป๋กับเสี่ยวเฮยรีบขานรับพร้อมกับกึ่งลากกึ่งจูงเขาลอยขึ้นไปหาไป๋เหลียนตาวที่อยู่ข้างบนทันที

“ขอรับท่านหัวหน้า!! ท่านศิษย์สัตว์เทพ รีบคำนับและขออภัยอาจารย์ของท่านเร็วเข้าเถอะขอรับ”

“คำนับ... ฉันน่ะเรอะ”

“ใช่แล้วขอรับ เร็วเข้าเถอะขอรับ ก่อนที่ท่านสัตว์เทพจะโมโหมากกว่านี้” แล้วพร้อมใจกันกดหัวเขาคำนับแบบไม่ถามความสมัครใจเลยสักคำ

ทว่าอย่างน้อยก็ทำให้ไป๋เหลียนตาวอารมณ์ดีขึ้น

“นับว่ายังรู้มารยาท”

ทำเป็นมองไม่เห็นการกดขี่ของกลุ่มควันตรงหน้าสักนิด!

“ฟังให้ดีศิษย์เนรคุณ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะให้โอกาสเจ้า ตัวข้าอาจารย์แก่...แค่ก! อายุมากปูนนี้แล้ว ขืนเจ้ากล้าเนรคุณ เปิดก้นหนีทิ้งเรื่องให้ข้าตามล้างตามเช็ดอีกละก็ คราวนี้อย่าว่าแต่หนีไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์เลย ต่อให้เจ้าหนีไปเกิดใหม่เป็นยอดอสูรในดินแดนปีศาจ ข้าก็จะลากคอศิษย์ชั้นเลวอย่างเจ้ามาสับโยนให้เป็ดกิน! ไป๋อู่ฉาง เฮยอู่ฉาง หลีกทาง ข้าและศิษย์จะกลับสู่สวรรค์ชั้นเซียน!”

“ขอรับ ขอท่านสัตว์เทพและศิษย์เดินทางปลอดภัย!!!!” สี่เสียงพูดพร้อมกัน

นี่มันงิ้วหลงโรงฉากไหนกันแน่

เอ่ยปากเสร็จสรรพไป๋เหลียนตาวก็คว้าคอเขาเหาะดั้นเมฆขึ้นไปทันที เฟิงเย่วหลัวยังไม่ทันจับต้นชนปลายเรื่องราวทั้งหมดให้เข้าใจก็ถูกระลอกไอเย็นจากชั้นบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันซัดใส่ทำให้มึนงงเสียแล้ว ความรู้สึกเหมือนตอนเพิ่งรู้จักกับหลงต้าเฉียนใหม่ๆ แล้วถูกชายผู้ที่ต่อมาเขาเรียกว่า ‘พี่เขย’ พาไปเที่ยวสำนักงานใหญ่ที่สูงถึงชั้นที่สามสิบหกของแก๊งมาเฟียเลย ขึ้นลิฟต์จากชั้นหนึ่งถึงชั้นสามสิบหกพรวดเดียว รู้สึกขาเบาหวิว หูอื้อ ร่างกายไหวโอนเอนเหมือนถูกเปลี่ยนร่างเป็นต้นหลิวอย่างไรอย่างนั้น

ทิวทัศน์พร่ามัวผ่านสายตาอย่างรวดเร็ว ไป๋อู่ฉางและเฮยอู่ฉางทั้งสี่กลายเป็นจุดเล็กๆ ไกลออกไป ส่วนด้านหน้าของเขาคือคน...สัตว์เทพที่อ้างว่าตัวเป็นอาจารย์คนนั้น

เบื้องบนสูงขึ้นไปเหนือศีรษะของพวกเขาคือภูเขาลูกยักษ์ที่ปลายยอดแทงทะลุสวรรค์ชั้นฟ้า เฟิงเย่วหลัวเคยนั่งเครื่องบินหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีประสบการณ์บินได้ด้วยตัวเองมาก่อน ยามนี้พอมองเห็นว่ายอดเขาที่เคยสูงลิบกำลังจะปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ชวนให้คิดถึงฉากข้ามมิติในหนังแฟนตาซีทั้งหลายที่มีให้เห็นดาษดื่น ที่พอทะลุผ่านอุโมงค์ก็กลายเป็นโลกใหม่อันแตกต่างโดยสิ้นเชิง

สวรรค์ชั้นเซียน... ศิษย์สัตว์เทพ...

นักฆ่างุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ถ้าหากโลกนี้มีพิภพหลังความตาย ในทางกลับกันจะมีการเกิดใหม่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกกระมัง

แม้จะไม่รู้ว่าตัวเองในอดีตเคยเป็นใครบางคนที่พวกเขาอ้างถึงหรือไม่ แต่ถึงจุดนี้แล้วชีวิตหลังความตายของเฟิงเย่วหลัวกลับไม่ต่างจากถูกจับมายืนบนจุดสตาร์ทเพื่อเริ่มต้นใหม่

หางตาเหลือบสังเกตไป๋เหลียนตาวที่อยู่ข้างหน้า สัตว์เซียนสูงอายุยามนี้อยู่ในอารมณ์ ‘คนแก่ขี้ใจน้อย’ สุดกู่ เฟิงเย่วหลัวพึมพำเสียงเบา “อาจารย์...” ...ของเขาแน่เรอะ แน่นอนว่าประโยคข้างหลังเขาไม่ได้พูดออกไป

“ท่านอาจารย์ต่างหาก เจ้าศิษย์ไม่รู้คุณ”

หยิ่งผยองใช่เล่นซะด้วย

“ท่านอาจารย์” อย่าบอกนะว่าจะพาเขาไปสวรรค์ชั้นเซียนอะไรนั่นโดยการเหาะขึ้นภูเขาไป แต่ปากกลับถามว่า “สัตว์เทพคืออะไรเหรอ”

“...” ไป๋เหลียนตาวแทบพูดไม่ออก ถามกลับว่า “เจ้าดื่มน้ำแกงยายเมิ่งก่อนลงไปเกิดหรือ”

“...” เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

“โง่นัก!”

ในที่สุดไป๋เหลียนตาวก็พาเขาลอดผ่านอุโมงค์เมฆสีครามเหนือขุนเขาซึ่งเป็นรอยเชื่อมต่อระหว่างพิภพเบื้องล่างและแดนสวรรค์แห่งเหล่าเทพเซียนอันศักดิ์สิทธิ์ พริบตานั้นม้วนภาพวาดจิ่วจ้ายโกว [อุทยานแห่งชาติของจีนที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก] ผืนใหญ่พลันคลี่เข้าสู่คลองสายตา

ยอดเขาน้อยใหญ่อวดสีสันงดงาม ธารน้ำใสเปล่งประกายระยิบระยับ ข้างล่างนั้นเส้นทางขึ้นสู่หุบเขาแต่ละลูกล้วนมีเรือนหลังเล็กหลังน้อยตั้งกระจัดกระจายเป็นสัดส่วน คล้ายหมู่บ้านโบราณขนาดใหญ่ ทว่าผู้คนในหมู่บ้านล้วนแต่งกายด้วยแพรพรรณสีขาวแบบนักพรตแทนที่จะเป็นชุดตัดจากผ้าดิบสีหม่นธรรมดา บ้างตัดฟืน บ้างหาบน้ำ บ้างทำไร่นา บ้างมองขึ้นมาเห็นพวกเขาที่เหาะอยู่ข้างบนก็พากันคำนับแล้วหันไปทำกิจกรรมของตนต่อไป

ทะ...ที่แท้แดนสวรรค์ชั้นเซียนไม่ต่างจากแผ่นดินจีนยุคโบราณเลย เขานึกว่าจะได้เห็นเทพเซียนน้อยใหญ่ขึ้นขี่เมฆท่องกระบี่เหาะว่อนไปมาบนท้องฟ้าเสียอีก แอบผิดหวังลึกๆ แฮะ

อีกอย่างที่ทำให้เฟิงเย่วหลัวแปลกใจคืออากาศที่นี่หนาวเย็นมาก ทั้งที่เห็นชัดว่าหุบเขายังเป็นสีเขียวสดของฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศกลับคล้ายย่างเข้าสู่ดินแดนฤดูหนาว เฟิงเย่วหลัวรู้สึกทั่วทั้งร่างเย็นเฉียบอย่างฉับพลัน เป็นถึงดวงวิญญาณแล้วคงไม่ใช่ว่ายังเป็นไข้ได้อีกหรอกนะ เฟิงเย่วหลัวห่อไหล่ พลันพลังงานอบอุ่นสายหนึ่งแทรกซึมผ่านปลายนิ้วไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย บนร่างมีแสงรัศมีเรืองรองอยู่เบาบาง

อุ่นขึ้นแล้ว

“ใช้ไม่ได้” ไป๋เหลียนตาวกลับไม่พอใจ “เจ้าอยู่บนโลกมนุษย์นานเกินไปจนไอเซียนแทบถูกชำระล้างหมดแล้ว พอกลับมาแดนสวรรค์จึงต้องรีบรับไอเซียนเข้าสู่ร่างเพื่อปรับสมดุลภายใน”

เป็นฝีมือของไป๋เหลียนตาวงั้นเหรอ เฟิงเย่วหลัวพลันอุ่นวาบในอกข้างใน แต่แปบเดียวก็สลัดความรู้สึกนี้ทิ้ง

หลงต้าเฉียนก็เคยดีกับเขาแบบนี้มาก่อนไม่ใช่หรือ...

ครั้งหนึ่งเขาเชื่อใจคนง่ายเกินไป สุดท้ายจึงถูกหักหลังอย่างเจ็บปวด มือที่เปื้อนเลือดคู่นี้ยังฝังลึกล้ำในใจ

“สภาพผมตอนนี้คงคล้ายปลาตู้ที่ต้องปรับสภาพอุณหภูมิก่อนปล่อยลงน้ำสินะ” ถามเบี่ยงเบนความหวั่นไหวในหัวใจของตนเอง อุตส่าห์ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาไม่ต้องการซ้ำรอยอีก

“ไอเซียนเทียบได้กับลายเส้นชีวิต น้อยเกินไปเส้นชีวิตขาด มากเกินไปเส้นชีวิตเตลิดเปิดเปิง ศิษย์โง่ขยันหาเรื่องใส่ตัวนัก!”

“...” โดนด่าจนเจ็บแปลบ เฟิงเย่วหลัวยอมรับไอเซียนที่อีกฝ่ายถ่ายทอดให้แต่โดยดี



เหาะอยู่นานในที่สุดก็มาถึงยอดภูเขาสูงลูกหนึ่ง เมื่อเข้ามาใกล้เฟิงเย่วหลัวถึงมองเห็นว่าบนยอดเขาแห่งนี้ปลูกเรือนไม้ขนาดใหญ่หลังหนึ่งอยู่ด้วย ตัวเรือนสร้างเป็นรูปตัว U ล้อมด้วยรั้วไม้ไผ่ ด้านข้างมีสวนหินและภูเขาน้ำตกจำลอง สวนด้านหลังปลูกต้นไผ่ในอาณาบริเวณที่เรียกว่าป่าไผ่ได้อย่างสบาย

เรือนบนหุบเขา... ไม่ทราบว่าทำไมจู่ๆ เฟิงเย่วหลัวก็คิดถึงบ้านในถ้ำในฝันก่อนหน้านี้

ไป๋เหลียนตาวพาเขาเหาะลงมาด้านหน้าเรือน เหนือประตูใหญ่ทางเข้าแขวนป้าย ‘เรือนเมฆไผ่’ ตัวอักษรตวัดงดงามทรงพลัง

“อี้หยาง ข้ากลับมาแล้ว” ไป๋เหลียนตาวตะโกน

ประตูพลันเปิดกว้างทันที เผยให้เห็นตัวเรือนโอ่อ่าและเงาร่างของใครบางคนรีบวิ่งถลาออกมาต้อนรับ เส้นผมสีหยกถักเป็นเปียเดี่ยวของคนผู้นั้นสะบัดไหวยามเจ้าตัวรีบร้อนตรงมา ดวงหน้าสวยผุดผาดมีเหงื่อซึมเล็กน้อย ทว่ายิ่งขับผิวแก้มให้เปล่งปลั่ง ริมฝีปากแดงสดเผยอให้เห็นแนวฟันขาว มือเรียวถลกเสื้อคลุมตัวยาวลายใบไผ่ขึ้น อีกมือชี้มีดทำครัวมาทางพวกเขา

“เจ้าตัวมีหางแซ่ไป๋! วันนี้ถ้าเอาเลือดหัวเจ้าออกไม่ได้อย่าเรียกข้าว่าฉุนอี้หยาง!”

เฟิงเย่วหลัวเหงื่อหยดติ๋ง

ไป๋เหลียนตาวขมวดคิ้ว

“อี้หยาง เจ้าเป็นบ้าอะไร ดูก่อนว่าข้าพาใครมาด้วย”

“ใครมาก็ช่างหัวเจ้า” ฉุนอี้หยางตะโกนด่า “วันก่อนเจ้ากล้าดียังไงขโมยโอสถเซียนจากเตาหลอมของข้าไปทิ้ง รู้หรือไม่ว่าข้าต้องบากบั่นมุมานะตั้งเท่าไหร่กว่าจะรวบรวมตัวยาครบทั้งหมด ใช้เวลาเท่าไหร่ในการผสม ยังไม่นับรวมที่ข้าต้องอดหลับอดนอนเคี่ยวมันอีก ข้าไปล่วงเกินเจ้าตอนไหนงั้นหรือถึงทำร้ายข้าขนาดนี้”

“โอสถเซียน? นั่นคือโอสถเซียนงั้นรึ” ไป๋เหลียนตาวทำท่าไม่เข้าใจ “ข้านึกว่าเจ้ากำลังปรุงยาพิษ”

“ถ้าเป็นยาพิษข้าจะใช้มันกับเจ้าเป็นคนแรก เจ้าสัตว์แซ่ไป๋! วันนี้ข้าจะให้เจ้าชดใช้โอสถของข้ามา!”

“ข้าช่วยเหลือสวรรค์ทำความดีกำจัดพิบัติภัย ทำไมต้องชดใช้ให้เจ้าด้วย”

ทั้งสองทุ่มเถียงกันต่อหน้าเฟิงเย่วหลัวผู้งงเป็นไก่ตาแตก เมื่อครู่ไป๋เหลียนตาวพูดว่า ‘กลับมาแล้ว’ หมายความว่านี่เป็นเรือนของเขางั้นหรือ ฉุนอี้หยางออกมาต้อนรับ หมายความว่าเขาอาศัยอยู่ในเรือนแห่งนี้ด้วย แวบแรกเฟิงเย่วหลัวคิดว่าฉุนอี้หยางเป็นผู้หญิงเสียอีก แต่จากน้ำเสียงห้าวหาญท่าทางดุดันทำให้เฟิงเย่วหลัวตัดความคิดที่ว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงทิ้งไป

“เดี๋ยวก่อนอี้หยาง เจ้าดูหน้าเขาให้ชัดๆ สิ”

“หุบปากเจ้าสัตว์เทพชั่วช้า! เอาโอสถของข้าคืนมา ย้ากกก!”

ไม่มีช่องว่างให้สอดปากเลยสักคำ ฉุนอี้หยางเงื้อมีดทำครัวไล่ฟันไป๋เหลียนตาว ส่วนไป๋เหลียนตาวก็หลบโดยการก้มตัวลอดผ่านชายเสื้อคลุมด้านข้างของฉุนอี้หยาง ฉุนอี้หยางหันกลับมาซัดผงควันใส่ ไป๋เหลียนตาวสะบัดแขนเสื้อปัดผงควันทิ้งไป ฉุนอี้หยางเสือกมีดทำครัวแทงซ้ำเข้าไปอีกครั้ง ไป๋เหลียนตาวยื่นสองนิ้วคีบใบมีด หักมันกลางอากาศ ฉุนอี้หยางหยิบมีดสั้นซัดออกมา...

“ศิษย์เนรคุณยังไม่รีบช่วยตัวข้าอาจารย์อีก” ไป๋เหลียนตาวด่า ถึงตอนนี้เฟิงเย่วหลัวค่อยได้สติ ถลันเข้าขวางระหว่างทั้งคู่ นักฆ่าตวัดปลายเท้าเตะด้ามมีดสั้นที่ซัดจู่โจมใส่ไป๋เหลียนตาวแบบงงๆ...ทำไมเขาต้องทำตามคำสั่งด้วย

มีดสั้นปักเสาเรือนดังฉึก!

ความเคลื่อนไหวทุกอย่างหยุดลงทันที สายตาทั้งสองคู่หยุดชะงักมายังเขา เฟิงเย่วหลัวค่อยมีตัวตนในที่สุด

“เจ้าคือ...” ฉุนอี้หยางตกตะลึง

ไป๋เหลียนตาวฉวยโอกาสพูดว่า “ใช่แล้ว เขาก็คือเสี่ยวหลัวยังไงล่ะ”

“เสี่ยวหลัว? เฟิงเย่วหลัว? เจ้าหมายถึงเฟิงเย่วหลัวคนนั้นรึ เจ้ากลับมาแล้ว?”

ฉุนอี้หยางเป็นอีกคนที่รู้จักเขางั้นหรือ ตอนแรกไป๋เหลียนตาวเรียกเขาว่าเสี่ยวหลัว ชายหนุ่มยังคิดว่าอีกฝ่ายอาจจำเขาสลับกับคนอื่นที่มีชื่อเหมือนกันเสียอีก ทว่ายามนี้ฉุนอี้หยางกลับเอ่ยชื่อเต็มของเขาออกมา

เฟิงเย่วหลัวอยากรู้เหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาในอดีตชาติกันแน่

ทว่าวินาทีต่อมาเจ้าของเสื้อคลุมลายใบไผ่ก็ยัดมีดสั้นอีกด้ามใส่มือเขา

“งั้นดีเลย ฆ่าเขาซะหลัวหลัว ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธแค้นอาจารย์ผู้ต่ำช้าของเจ้าคนนี้ที่สุด”

...ไหงเป็นงั้นไปได้

เฟิงเย่วหลัวถือมีดยืนอึ้ง ทว่า ‘ตัวข้าอาจารย์’ ของเขากลับตาโต “เจ้าโหดร้ายกับศิษย์ของข้าเกินไปแล้วฉุนอี้หยาง เขาเพิ่งหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ก้าวผ่านพิภพเบื้องล่าง แต่เจ้ากลับผลักไสให้เขาลงนรกงั้นรึ ศิษย์เนรคุณต่ออาจารย์ชดใช้บาปกี่สิบชาติก็ไม่หมดหรอกนะ”

“หึ! ข้าว่าเง็กเซียนฮ่องเต้จะปูนบำเหน็จให้เขาฐานสร้างความดีความชอบกำจัดสัตว์เทพชั่วร้ายอย่างเจ้ามากกว่า เผลอๆ อาจยกเขาให้เป็นสัตว์เทพตนใหม่แทนเจ้าด้วยซ้ำ”

“ตาแก่นั่นมีหรือจะกล้า”

“ปากเจ้ามันสมควรตาย!”

เฟิงเย่วหลัวพอจะคาดเดาความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ได้เลาๆ เขาลดมีดสั้นในมือลง

ฉุนอี้หยางพ่นลมหายใจในลำคอ “หลัวหลัว ตัดขาดความเป็นศิษย์อาจารย์กับเจ้าสัตว์มีหางนี่ซะ แล้วกราบข้าเป็นอาจารย์แทน รับรองภายภาคหน้าอนาคตของเจ้าในแดนสวรรค์ชั้นเซียนแห่งนี้ต้องก้าวไกลกว่าติดตามเขาแน่”

“ฉุนอี้หยางเจ้ามันไม่ใช่คน!” ไป๋เหลียนตาวโวยวาย

“เจ้าต่างหากที่ไม่ใช่คน เจ้าทำลายโอสถเซียนของข้า เพราะฉะนั้นต้องชดใช้ด้วยการยกศิษย์ของเจ้าให้ข้าคืน” ฉุนอี้หยางโมเม “หลัวหลัวเป็นคนละเอียดรอบคอบ ผิดกับคนหยาบกระด้างอย่างเจ้าลิบลับ ฝากตัวเป็นศิษย์เทพโอสถอย่างข้ารับรองไม่เสียเปล่าจนต้องหนีไปกลางคันอย่างตอนเป็นศิษย์เจ้าแน่”

“ทำพูดดีไปเถอะ ใครยกเจ้าให้เป็นเทพโอสถไม่ทราบ หลงคิดว่าตัวเองสร้างบ่อเซียนร้อยพิษไม่กล้ำกราย สุดท้ายกลับเป็นบ่อเซียนเป็นร้อยลงไปมีแต่ตาย จนถูกไล่ลงมาจมปลักบนสวรรค์ชั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน อย่าคิดว่าข้าลืมนะ”

“เซียนพวกนั้นอยากโง่งมเอง! ฝีมืออ่อนด้อยแต่อยากใช้ทางลัดเพิ่มปราณเซียน สุดท้ายรับไม่ไหวจนตายก็สมควรแล้ว”

“ใครมองว่าเจ้าเป็นเทพโอสถกัน ตำแหน่งดาวเพชฌฆาตต่างหากเหมาะสมกับเจ้าที่สุดแล้ว”

ทะเลาะกันอีกแล้ว เฟิงเย่วหลัวฟังจนมึนไปหมด ทั้งคู่หันมาตะคอกถามเขาพร้อมกัน

“ตกลงเจ้าจะยอมเป็นศิษย์ข้าไหม!”

“ห้ามเจ้าฟังเขานะ!”

เขาควรตอบว่าอย่างไรดีล่ะ

ถูกมัดมือชกเป็นศิษย์สัตว์เทพของไป๋เหลียนตาวแบบมึนงง มาตอนนี้กลับรู้สึกว่าไม่เลวร้ายเท่าไหร่ พอเริ่มเรียกอีกฝ่ายว่าท่านอาจารย์คล่องปากก็มีอีกคนอยากเป็นท่านอาจารย์คนที่สองของเขาเสียแล้ว

เมื่อก่อนเป็นนักฆ่า ยามนี้เป็นศิษย์เซียน

ชีวิตใหม่ของเขาช่างน่าสนใจไม่น้อย

“ท่านอาจารย์กับ...ท่านอาฉุนอี้หยาง” เป็นเพราะฉุนอี้หยางหน้าตาอ่อนเยาว์กว่าไป๋เหลียนตาว เขาจึงเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์อา “เป็นเพื่อนสนิทกันหรือ...ขอรับ”

ผู้ตอบกลับเป็นฉุนอี้หยาง “หึ! เรียกว่ามีกรรมมีเวรกันมากกว่า เจ้าสัตว์เทพต่ำช้าตนนี้ย้ายเข้ามาในบ้านข้าแบบไม่ขออนุญาตสักคำ”

“ก็นี่มันหุบเขาของข้า” ไป๋เหลียนตาวกลับว่า

“งั้นก็เป็นสหายกันสินะขอรับ” เฟิงเย่วหลัวเริ่มคล่องปากทีละน้อย ดวงตาอดีตนักฆ่าผู้เชี่ยวชาญการกลบเกลื่อนพิรุธยามปฏิบัติงานฉายแววแห่งความนัย แม้จะไม่ชอบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลงต้าเฉียนฝึกฝนเขามาดีมาก ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่แทนที่จะปัดมีดสั้นออกไปได้ คงไม่แคล้วมีหวังเขาต้องกลายเป็นเหมือนเสาเรือนต้นนั้นแน่นอน “ในเมื่อท่านอาจารย์เป็นอาจารย์ของข้า อย่างนั้นท่านอาฉุนอี้หยางที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกันกับท่านอาจารย์ ข้าก็ควรเรียกว่าท่านอาจารย์อาดีไหมขอรับ”

“ท่านอาจารย์อางั้นหรือ ก็ไม่เลวนะ” ฉุนอี้หยางพยักหน้าหงึกๆ

ไป๋เหลียนตาวปากอ้าตาค้าง ต่อว่าอย่างไม่พอใจ

“เจ้ามันศิษย์เนรคุณอย่างแท้จริง! ข้าไม่น่ารับเจ้ากลับมาเลย!”

“เฟิงเย่วหลัวคำนับท่านอาจารย์! คำนับท่านอาจารย์อา!”

นักฆ่าตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่บนโลกที่สองแห่งนี้เอง



Create Date : 05 เมษายน 2560
Last Update : 6 เมษายน 2560 15:35:08 น. 0 comments
Counter : 74 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2796963
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นิยายที่รีวิวทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัว แต่ละคนมีความชอบและรสนิยมต่างกัน

เรื่อง จขบ.ชอบ คนอื่นอาจไม่ถูกจริตก็ได้ ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ

รีวิวเพื่อจะกลับมาดูย้อนหลังว่าตัวเองเคยอ่านเรื่องไหนไปแล้วบ้างค่ะ
Flag Counter
มุมโปรด

สวัสดีทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมค่ะ

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 2796963's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.