Review HK MC ตอนที่ 4
วันที่ 2 (ต่อ)
วาร์ปมาตอนเย็นเลยฮะ ไม่รู้ว่างานนี้คุณลูกหรือคุณพ่อเป็นคนหลับกันแน่ แผนดู symphony of light ถูกกระเถิบไปเป็นวันพรุ่งนี้อีกแล้ว ทั้งที่จะไปตั้งแต่วันแรก เอาเถอะ เรามาเที่ยวแบบ backpack ตามใจฉัน ไม่ต้องเคร่งครัดอย่างทัวร์หรอกน่า แผนเรา flexible ได้ตลอดยิ่งกว่าเกลียวสายโทรศัพท์
ออกมาจากโรงแรมเจอร้านขายผลไม้ คุณพ่ออยากกินเชอรี่ แต่กลัวว่าตอนกลับมาแล้วร้านเค้าจะปิดก็เลยชิงซื้อมาก่อนเลย 1 ปอนด์ 60ดอลล่าร์ เราไม่เคยกินเชอรี่สดๆแบบนี้มาก่อน เพราะที่เมืองไทยราคามันก็สูงอยู่พอสมควรแน่ะ พอได้กินอื้อหือ... อร่อยมากๆๆๆ ติดใจเลยล่ะ ทั้งพ่อแม่ก็ติดใจ
เอาล่ะ เราเดินทางมาทานข้าวเย็นที่ร้าน Superiorrice roll pro ซึ่งได้อ่านรีวิวมาพอสมควร สำหรับความโด่งดังในเรื่องก๋วยเตี๋ยวหลอด แม้ว่าจะหลุดโผจาก michiliinไปแล้วแต่ก็ยังอยากลองอยู่ว่าจะโอเคไหม
แถ่น แทน แถ๊นนน
รสชาติใช้ได้สำหรับเราว่าอร่อยเลยแหละกำลังดี อยากได้แป้งเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่พ่อกลับบอกว่าแป้งเยอะไปหน่อยแต่ก็อร่อยเหมือนกัน ดูสิชิ้นเดียวกันยังคิดไม่ตรงกันเลย(หรือตรงปลายๆที่พ่อชิมมันแป้งหนาก็ไม่รู้นะ) เห็นภาพแล้วอยากกินอีกแฮะ... จริงๆมีผัดผักอีก ก็กรอบ รู้สึกสดใหม่มากๆ ถ้าถามว่ามาฮ่องกงครั้งหน้าจะกินอะไรซ้ำอีกคงต้องบอกว่าร้านนี้เลยค่ะ คงมากินก๋วยเตี๋ยวหลอดกับผัดผักอีกแต่คงไม่กินข้าวอะไรนี่หรอกนะรู้สึกมันไปหน่อย
กลับจาก Prince Edward ก็ลงสถานี mongkok ที่เก่าเจ้าเดิม เดินเล่นย่านนี้สักหน่อย เป้าหมายคือมาซื้อ Bioderma ที่เค้าว่าใช้ดีราคาก็ถูกกว่าบ้านเรา เป็นตายร้ายดียังไง คืนนี้ต้องสอยให้ได้ค่ะ!!
ก็เดินเปรียบเทียบราคาไปร้านนู้นนี้จนกระทั่งได้ที่ bonjour ราคา 105 ดอลล่าร์ ร้านอื่นจะ 110, 120 อะไรแบบนี้ก็ไม่ต่างกันมากนักก็เลยซื้อมาสองขวด ไม่เอาถุง (เวลาซื้ออะไรถ้าเอาถุงเสียเพิ่มอีก 0.5 ดอลล่าร์) ก็ต้องเอาเข้าเป้ทับเชอรี่ เสียบี้แบนหมด !!!
จริงๆเราเดินกันเรื่อยเปื่อยไปโผล่ตรงไหนไม่รู้ของมงก๊กเหมือนกัน เจอตึกที่มีบันไดเลื่อนแล้วก็เห็นคนแถวนั้นเค้าขึ้นไปเยอะพอสมควรพวกเด็กวัยรุ่นอะ ก็พอขึ้นบันไดเลื่อนไปก็เจอเป็นร้านขายของเป็นห้องๆและก็มีหลายชั้น ประหนึ่งว่าแพลตตินัมบ้านเรานี่แหละค่าแต่เป็น 1 ใน 10 ส่วน นะ คือดูๆแล้วราคาก็พอๆกับบ้านเราเลย อันนี้หมายความว่าบ้านเราเสื้อ 200บาทเค้าก็ 200 ดอลล่าร์ฮ่องกงอะไรอย่างนี้ จริงๆแล้วค่าครองชีพเค้าก็คล้ายๆเราเลยนะแค่เปลี่ยนหน่วย เพียงแต่ว่าถ้าเราเอามาเทียบเป็นเงินไทยมันก็เลยดูเหมือนเยอะเพราะคูณสี่กว่าๆแน่ะ สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลยแม้ว่าติดใจกระเป๋าผ้าน่ารักดี 150 ดอลล่าร์ฮ่องกง ซึ่งมาคิดเป็นเงินไทยแล้วมันเจ็บปวดหัวใจ กัดลิ้นก็แล้วเม้มปากก็แล้วปลอบใจตัวเองก็แล้ว แต่ชั้นไม่สามารถควักเงินซื้อมันได้จริงๆฮือออออ ขี้งกเหมือนใครวะ(หันมองแม่แป๊บ) -_-
พอลงมา ก็เจอเซเว่นค่ะพิกัดตามนี้ 7-11便利店分店NO.0917 หาจาก google maps ได้เลย ร้านนี้อยู่ติดห้างย่อมๆนี่แหละหรือจะเรียกให้ถูกคืออยู่ชั้นล่างเลยอะ พ่อชักอยากลองชิมเบียร์ฮ่องกงซะแล้ว 2 ขวด 10 กว่าดอลล่าร์นี่แหละค่ะ ส่วนเราก็ซื้อนมเมล่อนมาแม่ก็อยากเอามั่งล่ะสิ บอกหาน้ำผลไม้ให้แม่ด้วย คือไม่อยากจะพูดว่าน้ำผลไม้นี่เป็นภาระตั้งแต่วันที่สอง จนกระทั่งแบกเอากลับมาเมืองไทยด้วย -_- แม่น้อแม่ นอกจากนี้ซื้อมาม่าไปด้วยกะว่าถ้าอร่อยจะได้ซื้อกลับไป 5555
และแล้วเราก็ได้เจอนาทีฉุกเฉินขึ้นค่ะ อาจจะเป็นเพราะพ่อชอบดูรายการนี้มากเลยเกิดเหตุการณ์ตื่นเต้นกับตัวเลยเป็นไง มีการปะทะกับคนบ้าฮ่องกงขึ้น!! คือไม่ใช่ว่าเค้าหัวรุนแรงรักชาติมากนะฮะแต่ว่าเค้าคือคนบ้าแห่งเมืองฮ่องกงฮ่ะ ตาลุงคนนี้แกโวยวายอยู่ไม่ไกลอย่างที่คงไม่มีใครทราบสาเหตุแต่มือกำไฟแช็คอยู่ ตอนแรกแกก็อยู่ไกลนะสักพัก...ทำไมเดินมาทางนี้
เอาละไง...
ตาลุงเริ่มเดินมาทางนี้และมือเริ่มจุดไฟ เมื่อกี้ขอเอาคำพูดคืนนะคะตานี่หัวรุนแรงแน่นอน!! แม่เรานี่เริ่มคุมสติไม่อยู่เริ่มเหมือนตาลุงละค่ะรีบ move มาหาเราอย่าง(โคตร)ผิดสังเกต และแน่นอนมันทำให้ตาลุงหันขวับมาทาง target อย่างเรา
เอ้า ตามองตา สายตาก็จ้องมองกัน
เอาละไงกรุก็คงอยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้วแหละ เราสองแม่ลูกพากัน move ตัวเองออกไปจากสถานการณ์นั้นอย่างเร็ว ก่อนที่ตาลุงจะขอกระชับพื้นที่ ช่วงเวลานี้ไม่รู้ว่าพ่อ move ไปก่อนหรือยังแต่พอ fade ตัวเองออกมาได้ค่อยโล่งใจ คือคนที่สติไม่เต็มเต็งเราก็ไม่อาจคาดเดาได้หรอกเนอะว่าเค้าคิดและจะทำอะไร เราแค่หวาดๆค่ะส่วนแม่นี่กลัวเค้าจะเข้ามาเผาเซเว่น 55555 ค่ำคืนที่สอง ณฮ่องกงนี่ผ่านไปกันอย่างชิวๆเช่นเคยค่ะ เราเดินกลับมายังโรงแรมประมาณ 5 ทุ่มได้ ทว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าทำให้ต้องพ่นลมหายใจอย่างแรงแล้วพูดว่า หึ ในลำคอ
...
ร้านขายผลไม้ยังไม่ปิด !!! และยังคงมีเพื่อนๆเชอรี่นอนกองอยู่ในตะกร้า โอ้โหเรียกว่าเปิดร้านแบบไม่ให้เกียรติเชอรี่ที่ซุกอยู่ในกระเป๋าชั้นเลย นี่ยังไม่รวม bioderma สองขวดกลิ้งทับไปทับมาจนบุบบิบบูบี้ไปหมด อนิจจัง...จำไว้คืนพรุ่งนี้จะได้ไม่พลาดอีก ปล.วันนี้เราซื้อซูชิมากินอีกแล้วววววติดใจ
วันที่ 3
วันนี้นอนกันเสียเต็มอิ่มทำให้เรากว่าจะออกจากโรงแรมได้ก็ราวๆจะสิบเอ็ดโมง จุดหมายของวันนี้คือที่ Central เพื่อจะไปกินห่านย่างอันเลื่องชื่อ แต่ยังเดินไปไม่ถึงเราก็พอเห็นคิวลางๆแล้ว ว่าพอมีอยู่
พ่อก็บอกกับลูกสาวคนนี้เลยว่าพ่อจะไม่ทนค่า พ่อหิว ทำให้เราตั้งใจจะเปลี่ยนแผนไปกิน Flyingpan แทน ซึ่งระหว่างที่กำลังเดินจับทางไปตาม google maps แต่แล้วพ่อก็เปลี่ยนใจ อาจจะเป็นเพราะเราเองที่ยืนเก้ๆกังๆดูแผนที่นานไปหน่อย T^T
สรุปหันมาทางขวามีร้านอาหารอยู่พอดีเอานี่เลยละกันฟะ Tsui wah ร้านที่นี่ค่อนข้างใหญ่พอควรมีสองชั้นคนก็เยอะเต็มไปหมด เป็นเพราะช่วงกลางวันด้วยมีนักธุรกิจเยอะอยู่ (สเปคเลยค่ะ) แต่แล้วเราก็สั่งอาหารผิดแทนที่ได้ข้าวผัดกลายเป็นข้าวแฉะเสียนี่ แต่เราว่าอร่อยดี
รสชาติคล้ายๆข้าวแฉะผัดกะแม็คกี้อะ 55555
พ่อนี่ไม่เอาข้าวแฉะเลยค่ะ เขาจัดการข้าวมันไก่ไหหนานไปอย่างปลื้มปริ่ม ส่วนเราว่ารสชาติมัน... ก็งั้นๆนะ ข้าวมันไก่บ้านเราอร่อยกว่าแฮะ
ออกมาจากร้าน แล้วเราก็ไปช็อป coach (เพื่อนฝากตามหากระเป๋า) ต่อด้วย New balance แต่ก็ไม่มีแบบอะไรที่ถูกใจแวะช็อปปิ้งอีกหลายร้านก็ได้ซื้ออะไรบ้างประปราย
รู้สึกฟิน!!
มากับพ่อแม่นี่มันดีอย่างนี้นี่เอง
จากนั้นเราเริ่มออกเดินทางไปยังวัดหวังต้าเซียน
ตอนนี้หายนะเริ่มบังเกิดแล้วล่ะฮะ ฝนเทกระหน่ำตลอดไม่ขาดสายระหว่างที่เรากำลังเดินทางไป ใจก็ไม่ค่อยจะดีแล้ว แต่การเดินทางมาที่นี่เราชอบนะ เจอรถไฟฟ้าแบบแปลกๆดีคือมันอยู่แบบ open air จริงๆอะไม่ใช่อยู่ใต้ดิน
พอมาลงสถานีเป้าหมายของเราแล้วกลับออกไปไม่ได้ เพราะว่าฝนค่ะ คือตอนนั้นรู้สึกว่าจะมีร่มแค่คันเดียวเพราะอีกสองคันไม่ได้เอามา ตรงนั้นก็มีเซเว่นนะแต่ไม่อยากซื้ออะ ยังไงขอดูลาดเลาสักแป๊บ ขณะเดียวกันพ่อกับเราก็ดูแผนที่ในมือถือไปด้วย ว่ามันไกลมากไหม ซึ่งมันก็ไม่ได้ไกลอะไรมากหรอกแต่ว่าฝนมันตกและเป็นที่โล่งแจ้ง ก็คือริมฟุตบาทธรรมดาๆนี่แหละ
เราถามพ่อว่าเอาไงดี คือจะไปต่อหรือกลับ แต่พ่อก็บอกว่ามาถึงนี่แล้วก็ไปเถอะ คำตอบพ่อได้ใจเรามาก คือเรายังวัยรุ่นลุยได้อยู่แล้วแหละ แต่กลัวพ่อแม่จะไม่ไหว เราก็เลยอาสาเดินดุ่มๆไปดูซิว่าจะข้ามถนนไปยังไง แต่ทว่าการถามทางคนฮ่องกงค่อนข้างลำบากโดยเฉพาะคนแก่ๆเขาพูดอังกฤษไม่ได้ เราเลยถามคนที่เจอถัดไปก็เลยได้รู้ว่ามันมีทางลอดใต้ถนนอยู่นั่นเอง รู้อย่างนั้นก็รีบกลับมาแจ้งข่าวพ่อแม่อย่างเร็วรี่
คนไทยที่ยืนอยู่แถวนั้นเป็นกลุ่มสาวๆสักสี่ห้าคนติดฝนเหมือนกันกับเราเขาก็ไม่มีร่มค่ะ แต่ก็ใช้พวกผ้าพันคออะไรไปปิดหัวแล้วก็วิ่งไปกันเลย เห็นแบบนี้ยอมไม่ได้เราให้ร่มพ่อกับแม่ไป ส่วนตัวเองใช้กระเป๋าบังหัว ลุยๆๆๆ!!!
หลังจากข้ามฝั่งมาได้กลายเป็นฝนตกหนักกว่าเดิม โอย เฉอะแฉะจริงๆ ดูท่าจะไปกันไม่รอดเลยขอพักที่ป้ายรถเมล์จิ๋วสักแป๊บ T_T จะไปต่อก็ไม่ได้จะถอยหลังกลับก็ไม่ไหวแล้ว พอยืนรอฝนสักครู่ก็ลุยกันต่อจนมาถึงวัดค่าาาา (ขอโล่ให้พ่อแม่ชั้นด้วย) เข้าวัดมาได้ก็สบายใจกันละเพราะมีหลังคา 5555
เดินเข้ามาก็เจอคนทำพิธีกรรมกันอยู่เลยเราก็เดินๆกันไป แต่หูนี่น้อ...ได้ยิน "สาธุ สาธุ สาธุ"
พ่อหันกลับมายิ้มเลยค่ะรู้ทันที คนชาติไหน ฮ่าๆๆๆ เราก็เข้าไปด้านในไหว้พระ แล้วก็ต่อคิวหมุนกังหันไปกับเขา ทำอะไรทำตามหมดดด
ที่นี่ก็ไม่ค่อยมีอะไรค่ะหมดแล้ว อยู่ไม่เกิน 15 นาทีเห็นจะได้ แล้วก็รีบออกมา เพราะฝนมันซาพอดีไม่อยากจะเปียกไปมากกว่านี้
เอาล่ะเราเดินทางต่อกันเถอะ เป้าหมายต่อไปคือสุดยอดราเมนซุปกระดูกหมู หรือว่า อิจิรัน ราเมนข้อสอบนั่นเอง
ที่เขาเรียกว่าราเมนข้อสอบเพราะว่านั่งเป็นคอกกั้นค่ะแล้วก็ใส่คำตอบลงไป ว่าจะเอาราเมนอะไรยังไงเส้นนุ่มขนาดไหน ความเผ็ด กระเทียม หัวหอม ฯลฯ ราคาเริ่มต้น 88$ ค่ะ ถ้า add อะไรเพิ่มก็จ่ายเพิ่มไปละกัน
พ่อดูจะถูกใจมากเลยค่ะอยากกินอีกชามแต่คงเสียดายตัง 5555 เราก็ว่าอร่อยนะความรู้สึกยังจำได้อยู่เลย แต่เหมือนมันจะเค็มไปสักนิดดดด
ก่อนที่พ่อจะงอแงไปมากกว่านี้และอยากให้พ่อหยุดถามสักทีว่า "เมื่อไหร่จะไปซื้อApple watch พ่อล่ะ" เราก็พาพ่อแม่เดินมาที่ช็อปใหญ่ของมันเลยยย เอาจริงๆนะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ที่พ่อจะซื้อ และเราก็ไม่ได้มีความสนใจอะไร เลยคิดว่าปล่อยพ่อแล้วเราไปทำอย่างอื่นดีกว่า เพราะช็อป forever 21 ตรงหน้านี่ก็เหมือนกับเรียกร้องให้เราเข้าไปอยู่เหมือนกัน 5555 "่พ่อๆหนูจะไปรอที่ forever 21 นะ" "..." ดิฉันเชื่อค่ะว่าคุณได้ยินแต่ทำไม...คุณไม่ตอบ!! พ่อหันหน้ามาเล็กน้อยแต่ไม่ยอมตอบกลับ =_= เขาเดินดุ่มๆไปก่อนใครเลยค่ะอ้าว งั้นชั้นกับแม่ก็ต้องเดินตามน่ะสิ!
พ่อมาถึงก็ทำหน้าปลื้มปริ่มเลยค่ะเลือกๆสายนาฬิกา นู่นนั่นนี่ เราก็ออกความเห็นบ้าง จนสุดท้ายก็เลือกรุ่นคุยกับพนักงานผ่านทางเรานี่แหละ -_- ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมไม่ยอมตอบตอนเราบอกว่าขอไปช็อปปิ้ง ที่แท้ต้องการใช้งานลูกสาวนั่นเอง! เจรจาธุรกิจและสุดท้ายก็ได้เวลาเสียเงินของพ่อแล้วเพื่อได้แอปเปิ้ลวอชมาครอบครอง จะอดใจรอเข้าเมืองไทยอีกเดือนก็ไม่ได้เนอะเอาเถอะ แล้วแต่นะ...เอาที่พ่อสบายใจเลยค่า...
โปรดติดตามตอนต่อไป
Create Date : 05 กันยายน 2558 |
Last Update : 5 กันยายน 2558 16:20:16 น. |
|
0 comments
|
Counter : 615 Pageviews. |
|
|