Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
16 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
" โคคา โคล่า ".. ในตำนาน

Rum and Coca Cola - Andrew Sisters













โค้ก (Coke) หรือ โคคา โคล่า (Coca Cola)

โค้ก (Coke) คือเครื่องหมายการค้าของ บริษัทโคคาโคล่า สำนักงานใหญ่อยู่ที่ แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ในสหรัฐอเมริกา โค้กเป็นน้ำอัดลมชนิดน้ำโคล่า ที่ได้รับความนิยมในมากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก โดยมีคู่แข่งทางการค้าที่สำคัญคือ เป๊ปซี่



Druggist John Stith Pemberton (1831-1888), inventor of Coca-Cola


โค้กถูกคิดค้นโดยนายจอห์น เพมเบอร์ตัน (John Pemberton) ทหารในกองทัพสหรัฐอเมริกา ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงแม้ว่าโค้กจะถูกอ้างถึงในกรณีที่เป็นเครื่องดื่มที่ทำให้เสียสุขภาพ เช่น ทำให้ฟันผุ ทำให้ปวดท้อง หรือเป็นโรคอ้วน แต่โค้กยังคงได้รับความนิยมทั่วโลกในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20




บริษัทโคคา-โคลา ได้บันทึกประวัติอย่างเป็นทางการของตนเองว่า ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2429 หรือ 120 กว่าปีมาแล้ว จอห์น เพมเบอร์ตัน เภสัชกรซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย ได้ค้นพบเครื่องดื่มชนิดใหม่ขึ้นอย่างบังเอิญ




โดยขณะที่เขากำลังพยายามหาทางรักษาอาการปวดหัว ด้วยการนำส่วนผสมต่างๆ ที่มี "ใบโคคา" เป็นองค์ประกอบ ลงไปคลุกเคล้าในหม้อสามขา จนได้ของเหลวสีคาราเมล แล้วเทโซดาผสมลงไป จนเกิดเป็นเครื่องดื่มรสหวาน ซ่า อร่อย กินแล้วชื่นใจ หายเหนื่อย เสมือนเครื่องดื่มชูกำลัง

ใครได้ชิมแล้วติดใจ เรียกกันว่า โคคา-โคลา

และแพร่หลายไปแทบทุกมุมโลก




แต่กระนั้น ดูเหมือนเรื่องราวที่แท้จริงกลับซับซ้อนกว่านั้น

ซึ่งตรงนี้แหละที่บอกว่าติดใจ

ติดใจที่เบื้องหลังความสำเร็จในการครองโลก ของเครื่องดื่มรสหวาน ซ่า นี้ เคียงคู่ไปกับ "สงคราม" อย่างแยกไม่ออก!



ไม่น่าเชื่อว่า รสอัน "ชื่นขม" ของสงคราม จะสามารถคลอเคลียไปกับ "รสหวานซ่า" ของ โคคา-โคลา ได้

ว่ากันว่า การที่โคคา-โคลา บูมขึ้นในโลก นั้นเกิดขึ้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้เอง โดยเมื่อญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2484 ได้ฉุดให้อเมริกาก้าวออกมาจากนโยบายโดดเดี่ยวตนเองอย่างสิ้นเชิง



อเมริกาได้เริ่มส่งกองทหารออกไปรบทั่วโลก รวมกว่า 16 ล้านชีวิต

ทหารเหล่านี้ นิยมชมชื่นในรสโคลา-โคลา เพราะมันช่วยให้ความสดชื่น ที่ปราศจากฤทธิ์มึนเมา





ขณะเดียวกัน โคคา-โคลา ยังช่วยให้บรรดาทหารในฐานทัพอันห่างไกลรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน และช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้พวกเขา

มีการเชื่อมโยงโคคา-โคลา เข้ากับเรื่องการการรักชาติ และการอุทิศตนเพื่อสนับสนุนการทำสงคราม



เมื่ออเมริกาเริ่มระดมพล ประธานบริษัทโคคา-โคลา ประกาศว่า "ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าเราจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ทหารอเมริกันทุกนายต้องสามารถซื้อหาโคคา-โคลา ได้ในราคาขวดละ 5 เซนต์"



ด้วยเหตุนี้ โคคา-โคลา จึงติดตามทหารอเมริกาไปทุกหนแห่งในโลก

และไม่ใช่ทหารอเมริกาเท่านั้นที่ได้ดื่ม คนพื้นเมืองก็พลอยได้ดื่มและมีรสนิยมชื่นชอบโคคา-โคลา ไปด้วย

โคคา-โคลา จึงรุกคืบเข้าไปยึดครองดินแดนต่างๆ ไม่ต่างกับการรุกคืบเข้าไปของกองทหาร




เหล่าทหารอเมริกันเลยมองเครื่องดื่มชนิดนี้ว่าเกี่ยวข้องกับสหรัฐและค่านิยมของประเทศตนเองอย่างมาก





มีจดหมายหลายร้อยฉบับที่ถูกรักษาไว้ในหอจดหมายเหตุของบริษัทโคคา-โคลา ที่แสดงให้เห็นประเด็นเหล่านี้อย่างชัดแจ้ง

เช่น "หากมีใครสักคนมาถามว่าเราต่อสู้เพื่ออะไรกัน ผมคิดว่าพวกเราราวครึ่งหนึ่งคงตอบว่า สู้เพื่อสิทธิในการได้กลับไปซื้อโคคา-โคลา อีกครั้ง"



โคคา-โคลา จึงไม่ได้มีความหมายเป็นแค่สินค้า

หากแต่มันถูกโฆษณาชวนเชื่อ ให้เป็นสัญลักษณ์ของความรักชาติ



เมื่อความเฟื่องฟูของอเมริกา ทั้งภาวะสงคราม การเมือง การค้า และการสื่อสารแบบโลกาภิวัตน์ ในสมัยศตวรรษที่ 20 เกิดขึ้น มันก็ได้ส่งเสริมให้โคคา-โคลา ประสบความสำเร็จอย่างสูงขึ้นไปอีก




จนกลายเป็นเครื่องหมายการค้าที่คนรู้จักกันดีที่สุดในโลก เครื่องหมายหนึ่ง

และที่สำคัญมันได้ถูกทำให้ไปไกลกว่าการเป็นสัญลักษณ์ของความรักชาติ




มัน "ถูกสร้าง" ให้หมายถึงสิ่งสำคัญอย่างน้อย 5 ประการ

คือ การเป็นตัวแทนของอเมริกา

เป็นค่านิยมแบบอเมริกัน

เป็นสัญญลักษณ์ของเสรีภาพ ในระบอบประชาธิปไตย

เป็นตัวแทนการค้าในระบบเสรี

และเมื่ออเมริกาเป็นจ้าวโลก โคคา โคลาก็เป็นจ้าวโลกด้วย




จึงไม่แปลกที่ในโลกนี้จะมีทั้งคนชอบและคนชัง เจ้าเครื่องดื่มชนิดนี้



สําหรับผู้ที่ไม่ชอบอเมริกา ก็ต้องไม่ชอบโคคา-โคลาไปด้วย

เพราะเห็นว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของระบบทุนนิยมโลก ที่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น




เป็นบรรษัทและเครื่องหมายการค้าที่ครอบงำโลก

เป็นสินค้าที่คอยกัดเซาะบ่อนทำลายวัฒนธรรมและค่านิยมท้องถิ่น จนต้องศิโรราบต่อการบงการของสหรัฐ




แต่ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบโคคา-โคลา ก็ตาม เราก็คงไม่ปฏิเสธถึงความยิ่งใหญ่ของมันได้

ซึ่งทุกวันนี้ ไม่ผิดหากจะบอกว่ามันได้ "ครอบครอง" โลกใบนี้ไปแล้ว

แก้วโคคา-โคลา จึงบรรจุ "ประวัติศาสตร์โลก" เอาไว้มากมายมหาศาล อย่างไม่น่าเชื่อ!





บริษัท ทรัสต์ คอมพานี แห่งรัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐฯ เป็นที่เก็บสูตรลับของเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลกชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า โคคา-โคล่า หรือคนทั่วไปเรียกว่า โค้ก




สูตรลับนี้มีผู้ที่สามารถเปิดดูได้เพียงคนเดียวเท่านั้นคือผู้อำนวยการบริษัท ถึงแม้จะมีผู้จัดจำหน่ายอยู่หลายแห่งทั่วโลก แต่ไม่มีสักรายที่ล่วงรู้ส่วนผสมที่แท้จริง เพราะบริษัทจะจัดส่งหัวเชื้อซึ่งเป็นน้ำเชื่อมและส่วนผสมอื่นๆ ให้ผู้แทนจำหน่ายไปผสมกับน้ำโซดา แม้กระทั่งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถล่วงรู้สูตรลับของโคคา-โคล่า ได้




ปี ค.ศ.1983 นักเขียนอเมริกัน วิลเลียม พาวน์สโตน ตีพิมพ์ผลงานที่มีความยากลำบากในการค้นคว้าชื่อว่า Top Secret เขาบอกว่า ส่วนผสมหลักของโค้ก บริษัทจะกำหนดเป็นส่วนผสมหมายเลข 1-9 และเรียกว่าเป็นสินค้านั้น มีดังนี้คือ
1.น้ำตาล
2.น้ำตาลไหม้
3.กาเฟอีน(ไร้กาเฟอีน)
4.กรดฟอสฟอริก
5.สารสกัดจากใบโคคา(สกัดเอาโคเคนออกแล้ว) และสารสกัดจากเมล็ดโคลาปริมาณเล็กน้อย








ต้น-ใบ โคคา


6.กรดน้ำส้ม และโซเดียมไซเทรต
7X.มะนาวฝรั่ง ส้ม มะนาว แคสเซีย(cassia คืออบเชยชนิดหนึ่ง) น้ำมันลูกจันทร์เทศ และสารอื่นๆ
8.กลีเซอรีน
9.วานิลลา





การวิเคราะห์สารเคมีทำให้รู้ส่วนผสมบางอย่าง แต่ส่วนที่ค้นพบยากที่สุดคือส่วนที่เป็นหัวน้ำมันหอมระเหยใน สินค้าหมายเลย 7X (ไม่มีคำอธิบายความหมายของ X) การนำเอาหัว เชื้อเหล่านี้มาผสมกันใช่ว่าจะได้กลิ่นและรสชาติตามสูตรของโคคา-โคล่า เพราะน้ำมันเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากันเกิดเป็นกลิ่นและรสชาติอื่นๆ ได้อีก การที่จะลอกเลียนแบบต้องรู้ส่วนผสมและสัดส่วนที่แท้จริง ซึ่งยากในการวิเคราะห์ ด้วยเหตุนี้ส่วนผสมก็ยังคงเป็นความลับสุดยอดของโคคา-โคล่า จนถึงทุกวันนี้





ส่วนผสมของโค้ก
ส่วนผสมของโค้กถือเป็นความลับของบริษัทเช่นเดียวกับสูตรผสมของ เป๊ปซี่ เคเอฟซี และ แม็คโดนัลด์ ส่วนผสมของโค้กนั้น มีพนักงานในบริษัทโคคาโคล่าเพียงไม่กี่คนที่รู้และได้มีส่วนร่วมในขั้นตอนการผสม โดยทางบริษัทใช้ชื่อส่วนผสมว่า "7X" โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงว่า X หมายถึงอะไร และพนักงานบริษัทจะทำการผสมสูตรต่างๆ ตามหมายเลขของส่วนผสมแทนที่ชื่อของส่วนผสมเพื่อป้องกันสูตรรั่วไหล



เรื่องเล่าและข่าวลือเกี่ยวกับโค้ก

โค้กมีเรื่องเล่าและข่าวลือมากมายกล่าวถึงผลเสียเนื่องจากโค้ก ซึ่งข่าวลือยังมีปรากฏแม้แต่ในเว็บไซต์สภากาชาดไทย เรื่องราวต่างๆ ส่วนมากจะเน้นในแนวขำขันและการนำโค้กไปใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่น ปริมาณกรดในโค้กมีมากเพียงพอที่จะทำลายอวัยวะภายในร่างกาย



ในความเป็นจริงค่าความเป็นกรดด่าง หรือ pH ของโค้กมีค่า 2.5 ซึ่งใกล้เคียงกับมะนาว หรือ เลมอน มีค่า pH 2.4 หรือ ส้ม มีค่า pH 3.5 หรือแม้แต่ข่าวลือว่าตำรวจสหรัฐอเมริกาใช้โค้กในการล้างเลือดบนถนนกรณีเกิดเหตุรถชน หรือแม้แต่โค้กสามารถละลายฟันในช่องปากในตอนกลางคืน หรือโค้กใช้ในการป้องกันการตั้งครรภ์โดยใช้โค้กที่มีฤทธิ์เป็นกรดเทฆ่าอสุจิ



ซึ่งข่าวลือต่างๆ เป็นเพียงเรื่องที่สร้างขึ้นเพื่อความสนุกสนาน (ถึงแม้ว่ารายการมิธบัสเตอร์ส ได้มีการทดสอบในการใช้โค้กช่วยในการล้างเลือดที่เปื้อนเสื้อผ้า) ข่าวลือยังมีกล่าวว่าโค้กใช้ในการขจัดคราบเกลือ บริเวณขั้วแบตเตอรีรถยนต์ให้สะอาดได้ ซึ่งโดยปกติแล้วคราบเกลือสามารถกำจัดได้โดยใช้น้ำอุ่นธรรมดาเช่นเดียวกัน



โค้กยังคงมีใช้ในการกำจัดสนิม โดย กรดฟอสโฟริกในโค้กเปลี่ยนออกไซด์ของเหล็กให้เป็นฟอสเฟตซึ่งใช้ในการกำจัดสนิมเหล็กได้ ถึงแม้ว่าโค้กจะถูกอ้างถึงในกรณีที่เป็นเครื่องดื่มที่ทำให้เสียสุขภาพ เช่น ทำให้ฟันผุ ทำให้ปวดท้อง หรือเป็นโรคอ้วน แต่โค้กยังคงได้รับความนิยมทั่วโลกในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20




*** ในวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 พนักงานบริษัทโค้ก 2 คนและเพื่อนอีก 2 คน โดนจับกุมข้อหาพยายามขโมยสูตรส่วนผสมโค้กและขายให้แก่เป๊ปซี่ในราคา 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ




สัญลักษณ์โคคา-โคล่า เป็นการออกแบบของหุ้นส่วนที่ชื่อว่า แฟรงค์ เอ็ม โรบินสัน เมื่อปี 1887
เพมเบอร์ตันขายสูตรนี้ให้ วิลลิส อี เวเนเบิล และ
จอร์จ เอส ลอนเดส และอีก 5 เดือนต่อมาก็ขายต่อให้ วูลโฟล์ค วอล์เคอร์ และ เอ็ม ซี โดเซียร์ และต่อมาอีก 1 ปี ก็ขายให้ เอซา จี แคนด์เลอร์



ซึ่งเพมเบอร์ตันก็ถึงแก่กรรมในปีนั้น แคนด์เลอร์ได้ผสมส่วนผสมนี้กับน้ำโซดา และคิดว่าต้องเป็นเครื่องดื่มที่คนนิยมอย่างมาก
จึงได้เก็บสูตรนี้ไว้เป็นความลับ แคนด์เลอร์ได้ปรับปรุงสูตรใหม่อีก และรับแฟรงค์ เอ็ม โรบินสัน เข้าเป็นหุ้นส่วน และได้ก่อตั้งบริษัทโคคา-โคล่า
ในปี 1892 จนถึงปี 1903 ก็มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่รู้สูตรของเครื่องดื่มชนิดนี้ และมีสิทธิ์ในการผสมน้ำเชื่อมในห้องลับ




เขาได้แกะฉลากส่วนผสมต่างๆ ออกและชำระเงินด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้ฝ่ายบัญชีรู้ว่าซื้อส่วนผสมอะไรมา เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น เขาทั้งสองคนไม่สามารถผสมส่วนผสมต่างๆ ได้ด้วยตัวเองอีก



เขาจึงกำหนดหมายเลข 1-9 เพื่อใช้เรียกชื่อส่วนผสม ผู้จัดการสาขาจะรู้เพียงสัดส่วนและวิธีผสมเท่านั้น เมื่อปี 1909 รัฐบาลสหรัฐฯ ยื่นฟ้องบริษัทว่า
ใช้ส่วนผสมที่มีโคคาอยู่ด้วย ซึ่งอาจจะมีโคเคนผสมอยู่ คดียืดเยื้อกว่า 10 ปี แต่ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าในส่วนผสมพบโคเคนอยู่ในสารสกัดโคคาหรือโคลาแม้แต่น้อยนิด



วิลเลียม พาวน์สโตน กล่าวในหนังสือ Top Secret ว่า ในโคคา-โคล่า มีส่วนผสม โคคา หรือ โคลา เพียงนิดเดียว ซึ่งไม่มีผลต่อรสชาติสักเท่าใด



ในสงครามโลกครั้งที่ 2 กองกำลังฝ่ายพันธมิตรในแอฟริกาได้สั่งซื้อโคคา-โคล่า จำนวนถึง 3 ล้านขวด ส่วนโคคา-โคล่าที่เป็นกระป๋องพึ่งมีในปี 1955










โคคา-โคลา ในประเทศไทย

ปี พ.ศ. 2492 โคคา-โคลา เข้าสู่ตลาดเมืองไทยเป็นครั้งแรกโดยมีสถานที่ผลิตแห่งแรกตั้งอยู่ที่เลขที่ 68 ถนนหลานหลวง โรงงานผลิตโคคา-โคลา ในยุคเริ่มต้นแห่งนี้ใช้เครื่องจักรบรรจุขวดขนาดเล็กที่เรียกว่า “ดิ๊กซี่”จำนวน 2 เครื่อง ผลิต โคคา-โคลา ขนาด 6.5 ออนซ์ ขายในราคาขวดละ 1 บาท โดยใช้รถขนส่งเพียง 7 คัน ความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว




ในครั้งนั้นผู้ผลิตจำหน่ายได้ทำการโฆษณา ด้วยการติดชื่อ โคคา-โคลา ไว้ที่หน้าและท้ายรถรางทุกสายในพระนคร นับเป็นการโฆษณาซึ่งจัดทำขึ้นอย่างครึกโครม และเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชาชนในพระนคร ได้รู้จักชื่อโคคา-โคลาอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว



เมื่อประชาชนนิยมดื่ม โคคา-โคลา กันมากขึ้น เครื่องบรรจุขนาดเล็กที่มีอยู่ทั้งสองเครื่อง ไม่สามารถผลิตได้พอกับความต้องการของตลาด นั้น จึงได้มีการสั่งเครื่องบรรจุอัตโนมัติมาติดตั้งเพิ่มขึ้นอีกสองเครื่อง นับแต่นั้นมา กิจการก็ยิ่งเจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดับจนสถานที่เดิมไม่พอที่จะขยายงานออกไปอีก จึงได้ย้ายไปตั้งโรงงานใหม่ที่สีลม ในปี พ.ศ. 2497





ปี พ.ศ. 2502 กลุ่มนักธุรกิจไทยตระกูลสารสิน เคียงสิริ และบุญสูง ได้เปิดบริษัทผู้บรรจุขวดรายแรกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการร่วมกับ บริษัท โคคา-โคลา เอ็กซปอร์ต คอร์เปอเรชั่น(Coca-Cola Export Corporation) ขึ้นในนามบริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด โรงงานผลิตในเวลานั้นยังคงตั้งอยู่ที่ถนนสีลม



ภายใต้การกำกับดูแลกิจการในระยะเริ่มต้นโดย พณฯ พจน์ สารสิน กิจการของบริษัท ไทยน้ำทิพย์ ได้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับความเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในตลาดเป็นแรงผลักดันให้มีการผลิตเครื่องดื่มยอดนิยมอื่น ๆ อาทิ แฟนต้า สไปรท์ ในเวลาต่อมาบริษัทฯ ได้ทำการขยายกำลังผลิต โดยเปิดโรงงานบรรจุขวดแห่งใหม่ ที่หัวหมากในปี พ.ศ. 2512 และเปิดโรงงานที่ ปทุมธานี ในปี พ.ศ. 2524 และต่อมาที่รังสิตในปี พ.ศ. 2538





ปี พ.ศ. 2512 พลตำรวจเอก หลวงชาติตระการโกศล ได้ก่อตั้งบริษัท นครทิพย์ ขึ้นโดยได้รับลิขสิทธิ์การจัดจำหน่ายโคคา-โคลา ในภาคใต้ที่จังหวัดสงขลา และจังหวัดสตูล โดยมีโรงงานแห่งแรกขึ้นที่จังหวัดสงขลา ต่อมาในปี พ.ศ. 2517 บริษัทฯ ได้เปลี่ยนผู้บริหาร และมีเพิ่มทุนจดทะเบียน ภายใต้การดำเนินการงานโดย ร้อยตรีไพโรจน์ รัตตกุล ภายหลังได้มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท หาดทิพย์ จำกัด เมื่อปี พ.ศ. 2521 บริษัท หาดทิพย์ฯ เจริญเติบโตขึ้นอย่างมั่นคงต่อเนื่อง และได้จดทะเบียนเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2531



ด้วยหลักการที่ โคคา-โคลา ยึดมั่นเช่นเดียวกันทั่วโลกนั่นคือ การผลิตเครื่องดื่มที่ดับกระหาย ให้ความสดชื่น ในราคาย่อมเยา สามารถหาซื้อได้ทุกที่ที่สะดวก สอดประสานกับการดำเนินธุรกิจอย่างทุ่มเท เอาใจใส่ สร้างสรรค์กิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่แปลกใหม่ และมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการจัดหาระบบการผลิต การกระจายสินค้า และการบริหารงาน โดยรวมพัฒนาก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ โคคา-โคลา จึงเป็นผู้นำอย่างแท้จริงในตลาดน้ำอัดลมประเทศไทย และนับเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันตก



กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลามีโรงงานบรรจุขวด 7 แห่ง และคลังสินค้าอีกกว่า 80 แห่ง ซึ่งมีการว่าจ้างพนักงานชาวไทยรวมกว่า 11,000 คนจาก ทั่วประเทศ โดยมีสำนักงานแห่งใหม่ของบริษัทอยู่ที่ นอร์ธปาร์ค ถนนวิภาวดี-รังสิต ซึ่งเริ่มเปิดดำเนินการ ในปลายปี 2540



** ในประเทศไทย โค้ก ผลิตและจัดจำหน่ายโดย 1.บริษัทไทยน้ำทิพย์2.บริษัทหาดทิพย์ จำกัด มหาชน





โค้กรสชาติต่างๆ
โค้ก
ไดเอทโค้ก
เชอรี่โค้ก
วานิลลาโค้ก (ออกเฉพาะกิจตอนนี้เลิกผลิตแล้ว)
โค้ก ไลม์ - โค้กแต่งกลิ่นมะนาว
โค้ก C2 - โค้กที่ลดปริมาณน้ำตาลครึ่งหนึ่ง
โค้ก ซีโร่ - โค้กที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล
โค้ก แบล็ก - โค้กผสมกาแฟ


































Create Date : 16 กรกฎาคม 2551
Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 13:16:42 น. 8 comments
Counter : 12015 Pageviews.

 
มาติดตามตำนาน
ของเครื่องดื่มสุดโปรดค่ะ
ถึงจะรู้ว่าดื่มแล้วอ้วน
ก็ยังไม่ยอมเลิก

โปรดแค่ไหนก็คิดดูค่ะ


โดย: โสดในซอย วันที่: 16 กรกฎาคม 2551 เวลา:0:21:01 น.  

 
ขอบคุณค่ะฮันนี่ที่นำมาฝากกันอ่าน


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 16 กรกฎาคม 2551 เวลา:2:11:00 น.  

 
ชอบภาพพื้นหลัง
และภาพเก่าๆมาก


โดย: rrr IP: 124.120.15.59 วันที่: 16 กรกฎาคม 2551 เวลา:4:15:48 น.  

 
อุว๊าว เพิ่งรู้ตำนานนี้นะเนี่ย


โดย: ถั่วงอกน้อยค่ะ วันที่: 16 กรกฎาคม 2551 เวลา:7:04:03 น.  

 
ดีจังค่ะได้รู้เพิ่มขึ้น
ชอบวีดีโอและเพลง
ในชุดสุดท้ายค่ะน่ารักมันๆ ดี
Diet Coke + Mentos น่ากลัว


โดย: Jiji&Kaka วันที่: 16 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:56:07 น.  

 
เคยเห็นข่าวลือว่า สารในเป๊บซ๊ และโค้ก สามารถละลายตะปูได้...(น่ากัว)
เคยดื่มโค้กแบล็ก แล้วค่ะ ไม่ไหวเลย แง่มๆๆ....
มีประวัติเป๊บซี่ด้วยหรือป่าวคะ ..งิงิ
ไงก้อต้องยอมรับว่า คนนิยมดื่มเป๊บซี่มากกว่าโค้ก แต่คอลเลกชั่นของโค้กเป็นที่นิยมของนักสะสมมากกว่า..ฮิฮิ
ปอแวะมาเยี่ยมพร้อมของฝากค่ะ



โดย: Butterflyblog วันที่: 16 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:03:15 น.  

 
สุดยอดเลยครับ สวยทุกภาพ ขอบคุณจากใจจริง


โดย: tarry IP: 125.26.57.27 วันที่: 25 มีนาคม 2552 เวลา:0:18:39 น.  

 
ขอขอบพระคุณสำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ครับ


โดย: ลัทธิสังคมนิยมโค้ก IP: 58.8.163.46 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:14:43:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นอกลู่นอกทาง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]








ภาพถ่ายดาวเทียมด้านอุตุนิยมวิทยา
ภาพสดๆจากที่ต่างๆทั่วมุมโลก
Ban Na Song BKK, Thailand
Karon Beach , Phuket , Thailand
Federal Highway, Angkasapuri ,Pantai Valley , Malaysia
Delta Estate , Singapore
Malate ,Manila , Philippines
Bandar Seri Begawan , Brunei
Guangxi Guilin, China
달빛무지개분수(Banpo Bridge Fountain )Sin’gilsa-dong , Seoul , South Korea
Hong Kong skyline from Admiralty, China
Shiomidai , Kanagawa , Japan
Cable Beach, Broome, Western Australia, Australia
Keahua Hawaii , USA
Sacramento California, USA
Washington D.C., USA
Manhattan , New York , USA
McCulloch Kelowna, Canada
Niagara Falls , Ontario , Canada
Panama Canal , Bella Vista , Panama
Santiago de Chile , Región Metropolitana , Chile
Fairbanks, Alaska Forecast Arctic
Mar del Plata Buenos Aires , Argentina
Tasiilaq , Østgrønland , Greenland
London Skyline from the Sheraton Park Tower , Knightsbridge , United Kingdom
Trafalgar Square , London , United Kingdom
Eiffel Tower Paris, France
Harstad Nordland , Norway
Halsum , Svalbarð , Iceland
Amsterdam , Netherlands
Vatican City State, Saint Peter's Basilica Borgo , Italy
Berlin, Germany
Чебоксарский залив, Yakimovo, Chuvashia , Russia
Udaipur Lake Pichola , Rājasthān , India
Mount Everest , Junbesi , Sagarmāthā , Nepal
Cape Town Sanddrift, South Africa
Orpen , Richmond , South Africa
Abū Hayl Dubai , United Arab Emirates
Kairo, Egypt
Medhufushi, Maldives
Mawson station Antarctica

Profile Visitor Map - Click to view visits
หนังทุกเรื่องหรือเพลงทุกเพลงในบล็อกนี้ เป็นเจ้าของ ของลิขสิทธินั้นๆตามเจ้าของเดิม นำมาเพื่อแบ่งปันชมกันในหมู่เพื่อนพ้อง ชาวบล็อกแก้งค์เท่านั้นครับ....
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ 2539 หากผู้ใดคิดจะ ลอกเลียน หรือนำส่วนใดส่วนหนื่ง ของข้อความใน Blog แห่งนี้ไปเผยแพร่ ให้นำไปได้เลย โดยไม่ต้องขออนุญาต จขบ. แต่ต้องคัดลอกแจกจ่ายให้ครบ 50 ก็อปปี้ ไม่เช่นนั้น จะมีอันเป็นไป ต่างๆนานา ถึงขั้นชีวิตตกอับ อิอิ หากแต่ว่า..นำชื่อ จขบ. ไปใช้ในทางเสียหายหรือประจาน จะถูกดำเนินคดี ตามที่ กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด นะจ๊ะ
Friends' blogs
[Add นอกลู่นอกทาง's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.