"ถนนสายนี้...มีตะพาบ" โจทย์ประจำหลักก.ม.ที่ 122 "ทางแยกที่หวนมาบรรจบ" โจทย์ของคุณฉัตร ณ ปลายฉั
"ถนนสายนี้...มีตะพาบ" โจทย์ประจำหลักก.ม.ที่ 122 "ทางแยกที่หวนมาบรรจบ" โจทย์ของคุณฉัตร ณ ปลายฉัตร
ความจริงผมอยากเขียนเรื่องความฝันในวัยเด็ก เขียนจากเรื่องจริงของผมเอง แต่ตอนนั้นกำลังป่วยสาหัสเลยลืมโหวต แต่ผมว่าจะเขียนให้ได้อยู่ดี ก็คิดไว้แล้ว เขียนจากเรื่องจริงมันง่ายจะตายนี่นา
ตอนเด็กๆใครๆก็คงเคยถูกถามว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร แล้วคำตอบสุดฮิตเลยก็น่าจะเป็น อยากเป็นหมอ แต่ผมมีแรงบันดาลใจที่จะตอบต่างไปจากคนอื่น จำได้ว่า ตอนเด็กๆ เห็นตัวอะไรไม่สบายต้องพยายามช่วยชีวิต แม้กระทั่งผีเสื้อจะตาย ผมก็เก็บขึ้นวางบนใบไม้ คิดว่าเขาคงเหนื่อย พักสักหน่อยแล้วเขาก็คงจะบินได้ แต่วันหนึ่ง พ่อก็บอกว่า ผีเสื้อมีอายุสั้น อยู่ได้ไม่เท่าไรก็ต้องตาย ผมก็เปลี่ยนเป็นเก็บเจ้าพวกนี้ไปฝังใต้ต้นไม้
แล้ววันหนึ่ง ขณะเดินไปซื้อขนม เจอแมวตัวหนึ่งนอนร้องอยู่ข้างทาง มีแผลที่สีข้าง ผมยืนมองสักพักแล้วตัดสินใจเดินกลับไปเอากระเป๋าไปใส่มันแล้วพาไปหาสัตวแพทย์ แต่ปัญหาคือ ผมมีเงินแค่สามสิบบาท
พอหมอถามว่า แมวเป็นอะไร ผมกลับถามว่า หมอจะรักษาให้ไหม หมอบอกว่า ก็ต้องรักษาสิ ผมบอกหมอว่า ผมมีเงินแค่สามสิบบาท หมอมองหน้าผมนิ่งๆแล้วก้มลงกอดไหล่ผม เธอบอกว่า ดูแมวก่อนดีไหม แล้วเธอก็เอาแมวเข้าห้องไป สักพักก็กลับมาบอกว่า ต้องผ่าตัด ผมนึก โหยยยย... แล้วมันจะต้องกี่บาทล่ะเนี่ย แต่หมอบอกว่าไม่ต้องวิตก มีเท่าไรก็เอาเท่านั้น ผมก็กลับบ้าน ไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง กลัวแม่ว่าทำยุ่ง
รุ่งขึ้นเลิกเรียนแล้วก็ไปเยี่ยมเจ้าเหมียว มันดูดีขึ้นมาก หมอให้เอากลับบ้านได้ แล้วพาไปล้างแผลตอนเย็นๆหลังเลิกเรียน แต่ค่ารักษาหมอไม่เอา เธอบอกว่า ให้ผมซื้อขนมกิน แบ่งเหมียวบ้างก็แล้วกัน
เอาละสิ เกิดปัญหาว่าผมจะทำอย่างไรกะเจ้าเหมียว ในที่สุดก็ตัดสินใจบอกแม่ตามตรง แม่ยอมให้เลี้ยงไว้ แล้วไปขอบคุณคุณหมอคนสวยและใจดีด้วย เธอบอกแม่ว่า ผมน่าจะได้เป็นสัตวแพทย์ในอนาคตนะ แล้วเราก็หัวเราะกัน
แต่ผมนึกชอบนะ อยากเป็นหมอให้หมาแมวขึ้นมาเลย แต่แม้จะเรียนดีใช้ได้ทีเดียว ผมก็ไม่เก่งคำนวนและวิทย์ ในที่สุดก็ต้องเบนมาทางศิลป์คำนวน ตอนนี้ก็เลยต้องเปลี่ยนใจมาอยากเป็นครู เพราะภาษาไทยและอังกฤษนำโลด
แต่ก็นะ เส้นทางของคนเราขีดเองไม่ได้ ความฝันของผมถึงทางแยกถึงสองครั้ง มาจบลงด้วยการใช้สองภาษาทำงานในบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อยู่หลายปี จนในที่สุดผมก็บอกตัวเองว่า มันไม่ใช่อาชีพที่ชอบ แล้วก็ลาออกมาทำสิ่งที่ชอบ จะเป็นอะไรนั้น ขอกั๊กไว้ก่อน สักวันจะบอก
เมื่อออกมาทำอาชีพอิสระ ก็มีเวลาทำอะไรๆที่ชอบอีกหลายอย่าง แล้ววันหนึ่งก็มีผู้ปกครองพาลูกมาขอฝากให้เรียนพิเศษภาษาไทยและอังกฤษ ผมก็รับอย่างเกรงใจกัน แต่ปรากฏว่า ผมสนุกกับการสอนอย่างนึกไม่ถึง ต่อจากนั้นก็มีคนมาบ่นให้ฟังว่าลูกเรียนรามฯมาจะครบแปดปีแล้ว หน่วยกิตยังไม่ไปถึงไหน นั่นทำให้ผมอยากรู้ว่าทำไมมันจึงยากเย็นนัก ผมก็ไปสมัครเป็นนศ.รามฯ ซื้อตำรามานั่งอ่านที่บ้าน ถึงเวลาก็ไปสอบ ผมเก็บหน่วยกิตครบในสามปีครึ่ง ได้ปริญญามาแปะข้างฝาหนึ่งใบ แล้วผมก็ติดลมอ่านตำราของเขาไปเรื่อย ถึงเวลาก็ไปสอบ จนมีปริญญาเป็นตั้งถึงจะไม่ครบเจ็ดคณะก็เถอะ
แล้ววันดีคืนดี บัณฑิตวิทยาลัยก็ส่งหนังสือมาเชิญให้ไปสอนในฐานะผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ผมก็เลยได้เป็นครูด้วยประะการฉะนี้ ต่อมาอีกไม่นาน ไอ้ปู่ป๋อง หมาคู่ใจของผมล้มป่วยด้วยโรคชัก ก็ผมนี่แหละประคับประคองมันมาเจ็ดปี เรียนสารพัดวิธีดูแลมันรวมทั้งฉีดยาเข้าผิวหนังให้มันด้วยเมื่อจำเป็น
พ่อผมบอกว่า ตกลงไอ้เจ้านี่ได้ทำทั้งสองอาชีพตามที่ฝันไว้เลย 555 ผมว่า ไม่มีใครขีดเส้นชีวิตของตัวเองได้ ที่สำคัญต้องเต็มที่กับทุกสิ่งที่ได้ทำ
ขอจบกันง่ายๆเท่านี้นะครับ สุขภาพไม่สู้อำนวย แต่ไม่อยากขาดส่ง ขอให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านมีความสุขทั้งกายและใจด้วยครับ
MANTOVANI - COLOURS OF MY LIFE
Special thanks to uploader: Sandor Büchler
Create Date : 19 มกราคม 2558 |
Last Update : 23 มกราคม 2558 19:44:43 น. |
|
69 comments
|
Counter : 2625 Pageviews. |
|
|
|
ตอนเด็กผมล่ะอยากเป็นไกด์นำเที่ยว จะได้เที่ยวด้วย
โตขึ้นถึงได้รู้ความจริง เด็กก็ดีงี้ล่ะน่อ