ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
 
สิงหาคม 2558
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
24 สิงหาคม 2558
 
 
Inescapable? สุดห้ามใจรัก? ตอน ๓ (Yuri)

ตอนที่ ๓

“นี่ดาวหิวปะ?” เสียงเล็กๆ ของพิมพ์เดือนเอ่ยถาม คนที่มีใบหน้าเหมือนกันกับตัวเอง หลังตื่นขึ้นในช่วงเช้ามืด

“อือ เค้าปวดฉี่ด้วยอ่ะ” เด็กผู้หญิงอีกคนตอบพร้อมทำหน้าเหยเก ปกติมารดาจะพาเธอเข้าห้องน้ำในช่วงเช้าหลังตื่น จนเป็นความเคยชิน

“ปลุกโยกัน” พิมพ์เดือนเสนอขึ้น

“เอาสิ” พิมพ์ดาวพยักหน้าเห็นด้วย เพราะกลัวจะกลั้วปัสสาวะไว้ไม่ไหว

ทั้งคู่ค่อยๆ ปีนลงมาจากเตียงนุ่มที่สูงเกือบห้าสิบเซนติเมตร ไปหาเจ้าของบ้านที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ที่พื้นข้างเตียง

“โยตื่น” มือเล็กๆ ของแฝดน้องเขย่าไหล่ของหญิงสาวหลายหน แต่ไม่เป็นผล “ไม่ตื่นอ่ะ”

พิมพ์ดาวเหลียวมองหาอะไรบางอย่าง แล้วเจอกระดาษทิชชูจึงดึงออกมาหนึ่งแผ่น ม้วนเป็นแท่ง แหย่ไปที่ปลายจมูกโด่งของโยธกา...และได้ผล

“ฮัดเช้ย!”

เด็กทั้งคู่หัวเราะคิกคัก เมื่อเห็นสาวร่างสูงจามออกมาแรงๆ

โยธกาลืมตามอง ‘ตัวป่วน’ ทั้งสอง และเห็นหลักฐานในมือน้อยๆ ของเด็กคนหนึ่ง ก็รู้ว่าตนโดนแกล้ง

“นี่พวกเธอ แกล้งฉันทำไม?” ถามด้วยเสียงไม่พอใจนัก

“ปวดฉี่” พิมพ์ดาวบอกเหตุผลด้วยท่าทางน่าสงสาร

“โอเคค่ะ เจ้าหญิงน้อย” สาวร่างสูงพูดแบบเซ็งๆ งัวเงียลุกขึ้นนั่งแล้วอุ้มเด็กหญิงไปทำธุระในห้องน้ำจนเสร็จเรียบร้อย ก่อนนำอีกคนตามไปทำธุระทีหลัง

“เช้านี้ทานอะไรกันดี?” หญิงสาวถาม หลังนำแขกตัวน้อยลงบันไดไปชั้นล่างทีละคน

“ข้าวต้ม” / “โจ๊ก” สองเสียงตอบพร้อมๆ กัน

'เฮ้อ! ฉันไม่น่าถามเลยจริงๆ'

โยธกาบ่นกับตัวเองในใจ คิดวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างรวดเร็ว เธอไม่มีเวลามากนัก อีกไม่กี่ชั่วโมงต้องไปเสนอโปรเจคสำคัญที่บริษัทซึ่งไม่ควรจะไปถึงชักช้าด้วยประการทั้งปวง

“ขอเปลี่ยนเป็นไข่ดาวคนละฟอง กับนมสดคนละแก้วแทนได้ไหมคะ?” หญิงสาวต่อรอง

เด็กหญิงสองคนมองหน้ากัน ผงกหัว แล้วพิมพ์เดือนก็ตอบ

“ก็ได้ค่ะ”

“รอแป๊บหนึ่งนะ ไปนั่งเล่นตรงโน้นกันก่อน เสร็จแล้วฉันจะเรียก” เจ้าของบ้านบอก

“ค่ะ” สองเสียงเล็กๆ รับคำอย่างยินดี แล้วถลาวิ่งไปยังโซนเลโก้เพื่อเล่นต่อจากเมื่อวานอย่างสนุกสนาน

'เลี้ยงเด็กนี่...ยุ่งเอาการ'

ร่างสูงคิดในใจ แล้วคว้ามือถือเดินเข้าไปในครัว เพื่อโทรปรึกษาเพื่อนเกี่ยวกับเด็กสองคนที่บังเอิญเก็บมาได้

“แกโทรแจ้งความกับตำรวจแล้วหรือยัง?” จุฑามาศถามขึ้น หลังฟังเรื่องทั้งหมดโดยสรุปจากโยธกา

'แย่จริง! ฉันลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท'

“ยังเลยเมื่อวานกลับมามัวแต่ยุ่งๆ เลยลืมน่ะ”

“รีบโทรแจ้งความก่อน ไม่งั้นแกอาจจะโดนข้อหาโจรลักพาตัวเด็ก” คนในสายเตือน

“เออเนอะ” โยธกาเห็นพ้องด้วย ก่อนถามต่อ “ว่าแต่ เดี๋ยวฉันเอาเดือนกับดาวไปฝากแกที่ร้านได้ไหม? วันนี้ฉันต้องไปพรีเซนต์งานน่ะ คงเอาเด็กๆ ไปด้วยไม่ได้”

“ไม่มีปัญหา” จุฑามาศรับปากอย่างรวดเร็ว เธอไม่มีปัญหากับการดูแลเด็ก ค่อนข้างชอบเสียด้วยซ้ำ แม้อยากมีเด็กเป็นของตัวเอง แต่ติดที่ยังหาพ่อของลูกไม่ได้

“งั้นประมาณสองชั่วโมงเจอกัน” โยธกานัดเวลากับเพื่อน

“ได้ บาย”

“บาย”

หลังวางสาย นักวิจัยสาวทอดไข่ดาวสามฟอง เทนมสดใส่แก้ว ยกวางจานในถาดแล้วนำไปวางที่โต๊ะกินข้าว

“มาทานอาหารเช้ากันได้แล้วเด็กๆ” เอ่ยเรียกแขกตัวน้อย

เด็กแฝดลุกจากพื้น แล้วเดินมาหาโยธกาแบบไม่อิดออด บ่งบอกชัดว่าพวกเธอถูกฝึกมาเป็นอย่างดี ผิดกับเด็กส่วนใหญ่ในวัยเดียวกันที่คงแสดงอาการงอแงเอาแต่ใจ

หญิงสาวอุ้มแฝดน้องขึ้นนั่งเก้าอี้ แล้วตามด้วยแฝดพี่ เธอเริ่มแยกเด็กสองคนออกแล้วว่า คนไหนชื่ออะไร

โยธกาเลื่อนจานไข่ดาวมาวางตรงหน้าเด็กทั้งสอง ก่อนทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ตรงกลาง แล้วตัดอาหารเป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดพอดีคำ เพื่อป้อนเด็กแฝดสลับไปมาจนหมด ก่อนยื่นแก้วนมสดให้ดื่ม

“อิ่มไหมคะ?” สาวร่างสูงถามเสียงอ่อนโยน เพราะเกรงว่าเด็กน้อยจะทานไม่อิ่มท้อง

“อิ่มมากค่ะ” พิมพ์เดือนตอบลากเสียงยาว พร้อมยิ้มร่า

“โยใจดีมากค่ะ” พิมพ์ดาวยิ้มน้อยๆ เอ่ยชมเจ้าของบ้าน แสดงอาการขี้อายกว่าน้องสาวเยอะ

หญิงสาวอุ้มเด็กๆ ลงจากเก้าอี้ ก่อนทรุดตัวคุกเข่าตรงหน้า

“เรียกพี่โยดีกว่าไหมคะ?” โยธกาเสนออีกครั้ง ไม่ชินกับการที่พวกเด็กๆ เรียกชื่อเธอเฉยๆ คนละรุ่นกันเกินไป อายุห่างขนาดเป็นลูกเธอได้เลยทีเดียว

“ไม่เอา” พิมพ์เดือนยังคงปฏิเสธเหมือนเดิม หันไปมองพี่สาว “โยเหมือนแม่แพรเนอะ”

“ใช่...งั้นเรียก ‘แม่โย’ ดีไหม?” แฝดพี่ปรึกษากับน้องสาว โดยไม่สนใจคนที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงหน้า

“ดี” แฝดน้องเห็นด้วยทันที

“แม่โย” สองเสียงเล็กๆ ประสานขึ้นพร้อมเพรียง

'หา!'

โยธกาทำหน้าสับสนปนตกใจที่จู่ๆ ก็กลายเป็น ‘แม่’ แทนที่จะเป็น ‘พี่’ เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น?

“ฉันไม่ใช่แม่ของพวกเธอสักหน่อย” นักวิจัยสาวปฏิเสธเสียงดุๆ

พิมพ์ดาวเบ้ปากทำหน้าเศร้า น้ำตาคลอเบ้า ตกใจผสมหวาดกลัวที่จู่ๆ ก็โดนเอ็ด มีเสียงสะอึกสะอื้นในลำคอดังเล็ดลอดออกมา

“ดาวอย่าร้องไห้สิ” พิมพ์เดือนรีบโอบกอดปลอบพี่สาว ก่อนที่จะปล่อยโฮออกมา “แม่โยดุทำไม?”

โยธกาทำหน้าเหวอเมื่อถูกเด็กสามขวบดุกลับ และเมื่อเห็นน้ำใสๆ ไหลนองอาบแก้มของพิมพ์ดาว นึกสงสารจึงยกมือเรียวขึ้นซับน้ำตา ก่อนดึงเด็กหญิงมากอด

“ฉันขอโทษนะดาว อย่าร้องนะคะ” พูดเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล เธอเป็นพวกแพ้น้ำตาสุดๆ แม้ภายนอกจะดูเข้มแข็ง แต่จิตใจอ่อนไหวง่าย

“แม่โย...” พิมพ์ดาวพึมพำเรียกอีกฝ่ายเสียงสั่นเครือ

“อือ แม่โยก็แม่โย” ยอมตามใจสองพิมพ์ในที่สุด

“เย้!” พิมพ์เดือนร้องออกมาอย่างยินดี โผเข้าสวมกอดโยธกาบ้าง

แล้วพิมพ์ดาวก็ยิ้มกว้าง หัวเราะเบาๆ ทั้งที่น้ำตายังไม่แห้งดี

'เฮ้อ! เด็กหนอเด็ก เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ เข้าใจยากจริงๆ'

โยธกาได้แต่คิดบ่นในใจ สองแขนโอบกอดเด็กแฝดไว้ เธอไม่รู้เลยว่า ความผูกพันได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น

หลังจากนั้น หญิงสาวนำเด็กน้อยทั้งสองไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทีละคน เป็นเสื้อผ้ากระโปรงชุดเดิมที่ซักสะอาดแล้ว ก่อนรีบอาบน้ำแต่งตัวบ้างเพื่อไปเสนองาน

“เดี๋ยวฉันจะพาพวกเธอไปทานเค้กกับไอติม สนใจไหมคะ?”

“สนค่ะ แม่โย” พิมพ์เดือนพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น

'แม่โยใจดีสุดๆ'

แฝดพี่คิดในใจ ยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาคู่สวยเป็นประกายระยิบระยับ เธอเรียบร้อย ขี้อาย และไม่ช่างพูดเท่าน้องสาว

สาวร่างสูงมองเด็กทั้งคู่ที่น่ารักคนละแบบ แล้วอดคิดไม่ได้ว่า

'ลูกยังน่ารักซะขนาดนี้ แม่แพรจะสวยขนาดไหนกันนะ?...คิดบ้าอะไรโย'

นึกตำหนิตัวเอง ก่อนสะบัดความคิดประหลาดๆ ออกไปจากหัว

เธอเช็คความเรียบร้อยของตัวเองที่แต่งกายดูเรียบร้อยกว่าทุกวัน หยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊คและเอกสารที่ต้องใช้ในวันนี้ จูงมือเด็กแฝดออกจากบ้าน โดยไม่ลืมล็อคประตูบ้านและประตูรั้ว โบกแท็กซี่ไปร้านของจุฑามาศที่อยู่ถัดไปอีกไม่กี่ซอย

…ร้าน Lily Cake & Beverage

โยธกาพาพิมพ์ดาวกับพิมพ์เดือนเข้าไปภายในร้านของเพื่อน ที่มีขนาดหนึ่งคู่หา แต่จัดได้สวยงามน่านั่ง โดยเลือกโต๊ะสี่ที่นั่งแบบเตี้ยที่พวกเด็กๆ จะได้นั่งแบบสบายๆ

“โย” จุฑามาศเดินมาทักทายเพื่อน ก่อนมองยังคู่แฝดที่เหมือนกันอย่างกับแกะ เว้นแต่แต่งกายด้วยกระโปรงคนละสี

“สวัสดีค่ะเด็กๆ ฉันชื่อมาศ เป็นเพื่อนสนิทของโย” เจ้าของร้านแนะนำตัว

“สวัสดีน้ามาศก่อนค่ะ” โยธกาเตือน ซึ่งเด็กทั้งสองก็ทำตาม ไหว้คนตรงหน้าอย่างอ่อนน้อม

“ไหว้สวยซะด้วย” จุฑามาศชม รู้สึกเอ็นดูเด็กแฝดอย่างบอกไม่ถูก “ชื่ออะไรคะ?”

“เดือนกับดาวค่ะ” พิมพ์เดือนเป็นคนตอบ ดูเรียบร้อยผิดกับตอนอยู่กับโยธกามาก

'ทำไมถึงต่างกับตอนอยู่กับฉันนัก?'

สาวร่างสูงคิด มองเด็กแฝดแบบไม่ค่อยเข้าใจ

“อยากทานอะไร ก็เลือกนะคะ” จุฑามาศยื่นเมนูที่เป็นรูปภาพให้คนละเล่ม แล้วหันไปคุยกับเพื่อนสนิทที่นั่งนิ่ง “แจ้งความแล้วใช่ไหม?”

“เรียบร้อย” นักวิจัยสาวผงกหัว “เดี๋ยวบ่ายๆ หลังเสนองานเสร็จ ว่าจะแวะไปโรงพัก เผื่อมีใครแจ้งความเด็กหายไว้”

“ก็ดี เด็กน่ารักๆ แบบนี้ พ่อแม่คงคิดถึงแย่” เจ้าของร้านพูดเปรยขึ้น นึกสงสารหัวอกผู้ปกครองขึ้นมา ก่อนหันมาแซว “แล้วเมื่อคืนเป็นไงบ้าง เลี้ยงเด็กสนุกไหม?”

สาวร่างสูงส่ายหน้า พร้อมเบ้ปาก

“เห็นเรียบร้อยแบบนี้ แต่บทจะซนเอาการเหมือนกันนะ”

คนฟังหลุดขำออกมา เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ถึงกับชอบเด็กนัก แม้จะมีน้องสาวก็เถอะ ด้วยเป็นคนขี้รำคาญ และมีโลกส่วนตัวสูง

“เด็กๆ ก็แบบนี้แหละ ไม่ร้องไห้โยเยก็ดีแล้ว”

โยธกาหันมองไปยังเด็กหญิงทั้งคู่ ที่เงยหน้ามองเธออยู่ก่อน

“เลือกได้หรือยังคะ?”

“เดือนเอาแบบนี้” พิมพ์เดือนจิ้มไปยังเค้กช็อกโกแลต

“แล้วดาวล่ะ?”

“แบบนี้ค่ะแม่โย” แฝดพี่ชี้ไปยังเค้กสีชมพู

'ว้าว! คืนเดียวกลายเป็นแม่ไปซะแล้ว เพื่อนเรา'

จุฑามาศคิดอย่างประหลาดใจ

ไม่ค่อยเห็นเพื่อนแสดงความอ่อนโยนออกมาแบบนี้บ่อยนัก ทั้งที่รู้จักกันเป็นสิบปี เธอยอมรับว่าอีกฝ่ายหน้าตาไม่ธรรมดา เป็นพวกสวยคม มีหนุ่มๆ ตามจีบหลายคน แต่โยธกาไม่เคยหยิบยื่นความพิเศษให้กับใคร สุดท้ายพวกมาขายขนมจีบก็เลิกราไปเอง เพื่อนเธอจึงครองความเป็นโสดไว้ได้อย่างเหนียวแน่นมาก

เธออยากรู้ว่าใครจะเข้าตาเพื่อน พลันนึกถึงคำทำนายเรื่องคู่ครองของอีกฝ่ายที่หมอดูทำนายไว้ ก็ยังกึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ...ว่าเป็นไปได้หรือ?

“เค้กช็อกโกแลตกับสตอเบอรี่” โยธกาสั่งขนม พลางส่งเมนูคืนให้เจ้าของร้าน “ของฉันเค้กกาแฟ”

“ได้เลยค่ะ” จุฑามาศรับคำ รับเมนูมาถือไว้ แล้วเดินไปยังตู้ขนม เพื่อเตรียมเค้กให้ลูกค้าพิเศษ

โยธกามองใบหน้าน่ารักของสองคน แล้วเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน

“เดี๋ยวฉันจะไปทำงานสักพัก เดือนกับดาวอยู่ที่นี่กับน้ามาศก่อนได้ไหมคะ?”

“แม่โยจะไปนานไหมคะ?” พิมพ์ดาวถามเสียงเศร้า

เธอรับรู้ได้ถึงความกลัวที่แฝงอยู่ในประโยคคำถามนั้น จึงยกมือเรียวลูบหัวเล็กๆ ของแฝดพี่

“ไม่นานค่ะ”

“ไม่นานแน่นะ” พิมพ์เดือนถามย้ำเหมือนไม่มั่นใจ

“ค่ะ ฉันจะไปตามหาแม่แพรให้ดาวกับเดือนด้วยดีไหม?” บอกถึงสิ่งที่ตั้งใจจะไปทำ

“จริงนะ” น้ำเสียงของพิมพ์ดาวดูสดใสขึ้นกว่าเดิม

“จริงสิ” โยธกาย้ำหนักแน่น

“สัญญานะ” แฝดพี่ยื่นนิ้วก้อยขวาออกมา และแฝดน้องก็ทำแบบเดียวกัน

สาวร่างสูงมองนิ้วน้อยๆ ของเด็กทั้งคู่ ก่อนยื่นมือสองข้างออกไปเกี่ยวกับนิ้วของคนตรงหน้าอย่างไม่ลังเล

“สัญญาค่ะ”

ก่อนออกจากร้านขนม โยธกาหันไปกระซิบถามอะไรบางอย่างกับเพื่อนสนิท แล้วก็ต้องช็อกไม่น้อยกับคำตอบ

“แกจำไม่ผิดแน่นะ” เธอถามย้ำอีกครั้ง

“เออสิ ฝันแบบนี้จะเจอเนื้อคู่แน่นอน เร็วๆ นี้ด้วย ในเว็บพี่นางก็เขียนบอกไว้ ‘ถ้าฝันข้างขึ้นหรือใกล้สว่าง’ ชัวร์มาก” จุฑามาศยืนยันหนักแน่น “ยิ่งฝันติดๆ กันแบบนี้ ไม่น่านานก็เจอ”

“เร็วขนาดนั้นเชียว?” คนฟังพูดอย่างคลางแคลงใจ

'ไม่จริงมั้ง...'

สาวร่างสูงยังคงค้านในใจ ไม่ถึงกับปักใจเชื่อเรื่องศาสตร์ลี้ลับนัก

“อาฮะ ไม่เชื่อก็รอดูสิ” เจ้าของร้านท้าทายกลายๆ

“ไปแล้ว เดี๋ยวบ่ายๆ มานะคะเดือนดาว” ตัดบทจบดื้อๆ ยกมือลูบหัวเด็กน้อยทั้งสองคนละที แล้วก้าวออกไปจากร้าน ทิ้งสองพิมพ์ให้นั่งทานขนมอยู่กับเพื่อนสนิท

จุฑามาศมองโยธกาที่กำลังโบกแท็กซี่อยู่หน้าร้าน

'ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าใครจะเป็นแฟนเธอโยธกา จะเป็นแบบที่พี่นางบอกไว้ไหมนะ?'

หลังแม่โยคล้อยหลังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คู่แฝดพากันสะอื้นขึ้นเบาๆ น้ำตาคลอเบ้า เบ้หน้าเหมือนจะร้องไห้ เมื่อรู้สึกว้าเหว่เหมือนถูกทอดทิ้ง

“ฮือ แม่โย...หนูจะหาแม่...” พิมพ์ดาวเริ่มร้องขึ้นก่อน

“แม่...ฮือ...” พิมพ์เดือนประสานเสียงแหลมสูงไม่ต่างกัน

'ซวยแล้วฉัน'

จุฑามาศคิดในใจ ไม่คิดว่าสองพิมพ์จะงอแงเร็วขนาดนี้ รีบใช้ทิชชูซับน้ำตาเด็กทั้งสอง และปลอบโยนไม่ขาดปาก แต่สถานการณ์ก็ไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่กลับเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเด็กน้อยผู้แสนน่ารักกลายเป็นปีศาจน้อย จนเด็กลูกจ้างในร้านกับลูกค้าเริ่มชำเลืองมองมายังเจ้าของร้าน

“เดี๋ยวแม่โยก็มาค่ะ แม่โยไปทำงาน” พยายามอธิบายจนลิ้นแทบจะพันกัน แต่ก็ไร้ผล

ทั้งคู่เริ่มงอแงมากขึ้น ร้องเสียงดัง และน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม

“หาแม่...ฮึก...”

“แม่...จะ หา แม่...ฮือ”

'เวรกรรม! เอาไงดีล่ะเนี่ย?'

สองเสียงแข่งกันร้องจนจุฑามาศเริ่มอ่อนใจ และคิดได้แค่ทางออกเดียวในเวลานั้น

“น้ามาศสัญญาว่าอีกสักพัก จะพาไปหาแม่โย แต่ตอนนี้เดือนกับดาวต้องหยุดร้องก่อน ไม่งั้นน้ามาศไม่พาไป” เธอต่อรองกับเด็กๆ

“จริงนะ?” พิมพ์เดือนถามเสียงอู้อี้

ขณะที่อีกคนจ้องตาแป๋วรอฟังคำตอบ เงียบเสียงร้องแทบจะทันที

“จริงสิค่ะ” จุฑามาศยืนยันเสียงอ่อนโยน อดสงสารไม่ได้ “ตอนนี้ก็หยุดร้อง แล้วนั่งทานไอติมให้หมด อีกแป๊บเดียวเราก็จะไปหาแม่โยกัน”

เด็กหญิงทั้งสองพยักหน้ารับคำโดยดี ค่อยๆ หายสะอื้น

จุฑามาศใช้ทิชชูซับน้ำตา ที่เลอะเปื้อนหน้าน่ารักของเด็กทั้งคู่ออกจนหมด แล้วป้อนไอศกรีมสองพิมพ์คำเล็กๆ โดยตั้งใจจะไปหาโยธกาในช่วงเที่ยง และหวังว่าเพื่อนจะเสนองานเสร็จแล้ว

'โทษทีโย...ฉันไม่มีปัญญารับมือจริงๆ'


โยธกาลงจากแท็กซี่ก่อนถึงตึกจีคอส แล้วเดินไปยังถนนทางเข้าที่มีรถตำรวจจอดอยู่หลายคัน วันนี้มีผู้คนพลุกพล่านกว่าทุกวัน ดูจากการแต่งตัวแล้วคาดว่าคงเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ แต่งกายคล้ายกับก๊อปปี้จากหนังฝรั่ง ซึ่งเธอไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่า ทำไมคนไทยต้องใส่สูทสีดำหนาเตอะ ทั้งที่เมืองไทยร้อนแทบตับแตก

'เกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย?'

หญิงสาวคิดคลางแคลงใจ ขณะก้าวเท้าเข้าไปในตัวอาคาร รู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่จับจ้องจนน่าอึดอัด เธอแสดงบัตรว่าเป็นพนักงานจีคอส ก่อนผ่านด่านตรวจหน้าประตูเหมือนกับในห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นเครื่องตรวจจับโลหะและเครื่องเอ็กซเรย์

'หรือจะมีการขู่วางระเบิดที่นี่?'

เริ่มเดาในใจเรื่อยเปื่อย ก้าวเท้าตรงดิ่งไปยังประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีพนักงานคนสวยหน้าเดิมนั่งอยู่ตั้งแต่วันแรกที่เธอมาทำงานที่นี่

“มีเรื่องอะไรเหรอ?” โยธกาถามเบาๆ ราวกับกำลังเจรจาเรื่องคอขาดบาดตายอยู่

สาวประชาสัมพันธ์ฝืนส่งยิ้มให้คนถาม

“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เห็นแต่ตำรวจหลายคนขึ้นไปชั้นบริหารฯ ค่ะ” ตอบเท่าที่รู้ ทำหน้าเบื่อๆ ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยที่ต้องคอยตอบคำถามแบบเดียวกันซ้ำๆ มากกว่าสิบหนในหนึ่งชั่วโมง

“ขอบคุณนะ” พึมพำ พลางส่งยิ้มน้อยๆ ก่อนก้าวเท้าเข้าลิฟต์เพื่อไปห้องแล็บ ๔ และเจอกับพัทธมนนั่งโต๊ะทำงานประจำอยู่ก่อนเช่นทุกวัน

“สวัสดีค่ะพี่มน” เอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง

“สวัสดีค่ะคุณโย เตรียมตัวพร้อมไหมคะ?” เลขาฯ สาวประจำห้องแล็บถามด้วยความเป็นห่วง เธอไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับวันสำคัญประจำปีของแล็บ ๔

“จะว่าพร้อม ก็พร้อมอ่ะนะ” โยธกาตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ดูเหมือนว่า ทุกคนในแล็บจะคาดหวังกับเธอไว้สูงมาก...สูงเกินไป ทั้งที่นี่เป็นการเสนอโปรเจคครั้งแรกของเธอ

'อย่าคาดหวังกับฉันนักได้ไหม?'

อยากจะพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่กล้า การทำลายความหวังคนอื่นไม่ใช่นิสัยของเธอ

พัทธมนขยับข้อมือมองเวลา

“อีกประมาณสิบห้านาที คุณโยก็ขึ้นไปที่ชั้น ๙ นะคะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง จะได้ช่วยถือเอกสารด้วย” เสนอความช่วยเหลือกับมือใหม่หัดขับ เพราะดูแล้วคงขนสมบัติไปด้วยพะรุงพะรัง

“ขอบคุณค่ะ งั้นโยไปเตรียมของก่อนนะคะ” กล่าวอย่างยินดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปแดน ‘สนธยา’ เพียงลำพัง

สิบนาทีต่อมา

“คุณโยอยู่คนเดียวได้ใช่ไหมคะ?” พัทธมนถามขึ้น ขณะที่ทั้งสองนั่งรออยู่หน้าห้องประชุมเล็กที่มีคนของแล็บอื่นนั่งอยู่ด้วย ซึ่งแน่นอนว่า คนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่แผ่ออร่าแบบ ‘เป็นมิตร’ สุดๆ ออกมา...ราวกับเป็นศัตรูคู่แค้นตั้งแต่ชาติปางก่อน ถ้าฆ่าได้คงฟันคอกันไปนานแล้ว

“เอ่อ ขอโยไปห้องน้ำก่อนได้ไหมคะ?” นักวิจัยสาวพูดกึ่งขอร้อง รู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศแบบนี้ เหมือนหลุดเข้าไปสมรภูมิรบอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่ทุกคนล้วนแล้วแต่ทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน

'มันจะอะไรกันนักหนา?'

แอบบ่นในใจ

“ได้ค่ะ ตามสบาย” เลขาฯ สาวกล่าวอย่างอ่อนโยน เข้าใจความกดดันของอีกฝ่าย ที่เหมือนโดนปล่อยเกาะมาเป็นแนวหน้างานนี้

...หากไม่ได้เหรียญกล้าหาญ ก็โดนด่ายับ

แต่เธอก็รู้ถึงความปรารถนาดีของปาลิน หัวหน้าห้องแล็บ ๔ แม้จะเลือกใช้วิธี ‘ถีบให้ตกหน้าผา เพื่อให้ลูกสิงห์แข็งแกร่ง’ ก็ตาม

“ขอบคุณค่ะ”

โยธกาก้าวเท้าไปตามทางเดิน จนสุดมุมตึกที่เป็นห้องน้ำ เธอยืนจ้องหน้าตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ ใบหน้าคมที่สะท้อนดูซีดขาว ขอบตาสีคล้ำกว่าปกติ อาจเพราะเมื่อเช้ารีบเกิน จึงไม่ทันทาแป้งกลบร่องรอยได้ทั้งหมด

'ใกล้จะเป็นหมีแพนด้าเข้าไปทุกทีแล้วฉัน'

บ่นกับความโทรมของตัวเอง

ดูๆ ไปแล้วโยธกาไม่เหมาะที่จะทำงานในจีคอสนัก เธอไม่ใช่พวกรักสวยรักงาม ไม่ชอบแต่งหน้าเข้ม ไม่ชอบใช้น้ำหอม หากคนไม่คุ้นเคยรู้ว่า สาวร่างสูงทำงานที่ไหน คงมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ประหนึ่งว่าพูดโกหก

“เธอทำงานที่บริษัทผลิตเครื่องสำอางอันดับต้นๆ ของไทยเนี่ยนะ...พูดเล่นหรือเปล่า?”

เป็นคำเสียดสีของเพื่อนหลายคนที่ไม่คิดว่า สาวร่างสูงจะทำงานที่นี่ เพราะโยธกาใช้แค่ทาครีมกันแดด ทาแป้งเด็ก กับลิปมันเท่านั้น

คลิก!

เสียงประตูห้องน้ำบานหนึ่งเปิดออก

เผยให้เห็นหญิงสาวผมยาวสยายเกือบถึงกลางหลัง สวมชุดเสื้อสูทกระโปรงเข้ารูป คล้ายพนักงานกินเงินเดือน แต่เสื้อผ้าดูเนี๊ยบกว่ามาก ดูสง่างามแบบสบายๆ ก้าวย่างอย่างเชื่อมั่นในตัวเอง ตรงไปล้างมือที่อ่างน้ำซึ่งมีกระจกเงาติดอยู่ตลอดแนวผนังห้องน้ำ

โยธกาชำเลืองมองอีกฝ่าย ผ่านเงาสะท้อนบนกระจกตรงหน้า ไม่กล้าสบตาด้วยเพราะเกรงจะเป็นการเสียมารยาท และเมื่อเห็นรูปหน้าของผู้หญิงคนนั้นชัดๆ

...เธอถึงกับตะลึงพรึงเพริดไปหลายวินาที

'สวยชะมัด! คนอะไรสวยอย่างกับนางแบบ...แต่ทำไมถึงได้ดูเศร้านักนะ?'

โยธกาบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น ทั้งที่เพิ่งเห็นหน้าของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก ผู้หญิงคนนี้สวยจนน่าใจหาย สวยขึ้นทุกนาที...ไม่สิทุกวินาทีต่างหาก ใบหน้าสวยดูคุ้นตาเหลือเกิน เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่นึกไม่ออก

แม้ทำงานที่จีคอสมาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม แต่เธอรู้จักพนักงานที่นี่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นนักวิจัยด้วยกันมากกว่า

หลังล้างมือเสร็จ แพรวาเงยหน้าขึ้นมองกระจกเงาและเห็นสายตาของคนที่ยืนข้างๆ จ้องหล่อนอยู่ก่อน จึงหันไปมองโยธกาตรงๆ ด้วยความขุ่นเคือง แต่ไม่พูดอะไรแค่ส่งสายตาดุเขียวปั้ด และค้อนวงใหญ่เต็มวงให้ ก่อนก้าวออกจากห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว

'ว้าว! สวยแต่ท่าทางดุจัง...สงสัยเมื่อเช้าจะทะเลาะกับแฟนมา'

นักวิจัยสาวคิดติดตลก จนเผลอยิ้มกับตัวเอง ก่อนล้างมือแล้วเดินออกไปบ้าง

...โคลงเคลิ้ม

พลันพบพักตร์นุชเจ้า....หัวใจ ไหววาบ
โฉมแม่งามเกินใคร.......ในหล้า
หลงประหม่าเคลิ้มไป....ตรอมเสน่ห์ นางเอย
เรียมใคร่อยากเห็นหน้า..แน่งน้อง ค่ำเช้าฯ

OoXoO

สำหรับต้นฉบับเรื่องนี้ใกล้เสร็จสมบูรณ์มากแล้วค่ะ อยู่ระหว่างรอคุณพี่เล็กกลานาถ บอกอตรวจค่ะ
แต่จะใช้เวลาอีกเท่าไหร่ อันนี้ไม่ทราบจริงๆ

ถ้าอย่างไรก็ช่วยใจเย็นๆ นิดนะคะ...ไรท์ก็อยากให้เสร็จเร็วๆ เหมือนกันค่ะ

ขอบคุณที่กรุณาติดตาม และคอยถามไถ่ให้กำลังใจนะคะ

นาง

OoXoO



Create Date : 24 สิงหาคม 2558
Last Update : 24 สิงหาคม 2558 19:32:17 น. 0 comments
Counter : 879 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com