ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
 
มกราคม 2558
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
17 มกราคม 2558
 
 
ปรารถนารัก...อีกสักครั้ง? Believe...Again? (Yuri) ตอนที่ 1

-๑-

“สวัสดีค่ะ ภาวินีพูด” หล่อนกดรับสายโทรเข้าจากเพื่อนคนหนึ่ง ที่ไม่ถึงกับคุ้นเคยนัก

“วันก่อนฉันเห็นกะตาตัวเองเลยนะว่า คู่หมั้นเธอกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับผู้หญิงในผับ” เสียงผู้หญิงตามสายพูดอย่างเมามันใส่อารมณ์เต็มที่

“แค่นี้ก่อนนะ ฉันกำลังมีลูกค้า”

หล่อนพูดตัดบทเสียงเข้ม แล้วกดวางสายทันที ไม่ชอบพวกปากหอยปากปู วันๆ เอาแต่สอดรู้เรื่องชาวบ้าน

'ยิ้มสิภาวินี' เตือนตัวเอง

หญิงสาวฝืนยิ้มกว้าง พยายามปั้นหน้าให้ดูดีที่สุดอย่างเร็ว ก่อนออกจากห้องทำงานที่อยู่ชั้นสอง ไปพบกับลูกค้าที่รออยู่ชั้นล่าง

ภาวินีสาวหน้าสวยหวาน ร่างบอบบาง สูง 167 เซนติเมตร ไว้ผมบ๊อบสั้นประบ่า แต่งกายด้วยเสื้อผ้าดูเปรี้ยวนิดๆ ที่ออกแบบเองกับมือ ทรุดตัวลงไปนั่งเก้าอี้นวมตัวใหญ่ ตรงข้ามกับชายหนุ่มหน้าตาคมคาย วัยเกือบสามสิบ ว่าที่เจ้าบ่าว ที่กำลังนั่งกระสับกระส่ายอยู่ในร้านเสื้อของหล่อน...ห้องเสื้อ Artemis ร้านออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าชื่อดัง สองคูหาริมถนนใหญ่ย่านธุรกิจกลางเมืองกรุง

“สวัสดีค่ะ” หล่อนเอ่ยทักคนรักของลูกค้า พลางส่งยิ้มน้อยๆ ให้เฉกเช่นปกติ

ภาวินีกำลังลุ้นให้การขายชุดแต่งงานวันนี้ประสบความสำเร็จ ถ้าเพียงว่าที่เจ้าบ่าวเอ่ยปากว่า “สวยครับ” กับชุดของว่าที่เจ้าสาว การขายจะปิดลงได้อย่างรวดเร็ว เพราะหญิงสาวส่วนใหญ่ต้องการแค่...‘คำชื่นชมของคนรัก’ เท่านั้น

“สวัสดีครับ” เขาตอบกลับเสียงสั่นๆ ชายหนุ่มนั่งแทบไม่ติด ขณะรอหญิงคนรักที่กำลังลองชุดแต่งงานอยู่ที่ห้องลองเสื้อด้านหลัง ประหม่าเขินอายจนทำอะไรแทบไม่ถูก ทุกครั้งที่หันไปเห็นรอยยิ้มแสนเสน่ห์ของเจ้าของร้าน ไม่กล้าสบนัยน์ตาคมกริบของเจ้าหล่อนเลยด้วยซ้ำ

'ผู้หญิงอะไร สวยหยั่งกับนางแบบ...แต่ตาคมชะมัด'

ชายหนุ่มนึกอิจฉาผู้ชายโชคดี ที่จะได้อยู่เคียงข้างหล่อนในอนาคต...ซึ่ง ‘ไม่ใช่’ เขาอย่างแน่นอน

เมื่อคนรักเยื้องย่างมาปรากฏตัวในชุดเจ้าสาวสีขาวแสนสวย เขาลุกยืนพรวดขึ้น ตะลึงงันพร้อมอ้าปากค้าง หลุดพึมพำออกมาดั่งต้องมนตร์

“โอ้...”

“เป็นไงบ้างคะ?” ว่าที่เจ้าสาวเอียงคอถามคนรัก

และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่โชคเข้าข้างภาวินี เมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดชมหญิงสาวในชุดเจ้าสาวสีขาว

“สะ สวยมากครับ สวยมากจนผมแทบจำคุณไม่ได้” เขาเอ่ยชื่นชมอย่างพอใจ เดินสำรวจวนรอบตัวของหญิงคนรักอย่างละเอียดหลายรอบ...ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตกหลุมรักเธออีกหน

หล่อนอมยิ้มกับการแสดงความรักอย่างอ่อนโยน อบอุ่นของคู่รักตรงหน้า หางตาชำเลืองมอง ‘แสงดาว’...ลูกน้องคนสนิทวัยสามสิบสอง ที่หลุดพึมพำออกมาว่า

“น่าอิจฉาจัง...อยากได้แบบนี้สักคน”

สาวสวยได้แต่ขำในใจ และส่ายหน้ากับ ‘สาวโสดสนิท’ ที่ปรารถนาจะเจอกับรักแท้สักหนในชีวิต แต่เบื้องบนคงยังไม่ว่างส่งเสริมสักที อาจเพราะแสงดาวเป็นสาวผิวสีเข้มเกินกว่าจะเรียกผิวสองสี จมูกโด่งน้อยไปนิด เจ้าเนื้อไปหน่อย เลยยังไม่เข้าตาชายหนุ่มเลยสักคน คงได้แต่ร้องเพลง ‘รอ’ ต่อไป จนกว่าท่านกามเทพจะว่างจากภารกิจอื่น

หลายนาทีต่อมา ลูกค้าสาวก้าวเท้ามาหาภาวินี และกล่าวชมพร้อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“ชุดนี้สวยถูกใจฉันมากเลยค่ะ พอดีตัว และใส่สบายมากค่ะ”

“จะให้แก้ตรงไหน ปรับตรงไหน บอกได้นะคะ” ร่างบางพูดอย่างใส่ใจ อยากให้ผลงานแต่ละชิ้นจากห้องเสื้อแห่งนี้ สร้างความพอใจกับลูกค้ามากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หล่อนรักงานนี้และทุ่มเททำด้วยใจรักจริงๆ

“ไม่ต้องแก้แล้วค่ะ ฉันชอบทุกอย่างเลย” หญิงสาวในชุดแต่งงานว่าอย่างร่าเริง มือข้างหนึ่งยังคงเกาะเกี่ยวกับมือของชายคนรักที่ยังคงตะลึงกับความงามของสาวเจ้าอยู่

“ดีใจจังที่ได้ยินแบบนั้นค่ะ” เจ้าของร้านยิ้มน้อยๆ

“งั้นฉันไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ กลัวจะซุ่มซ่ามทำชุดเปื้อน” ว่าที่เจ้าสาวพูดเบาๆ อย่างกังวล “เดี๋ยวมาค่ะ” เธอหันไปบอกกับเขาพร้อมบีบมือเบาๆ ก่อนจะคลายออกแล้วตรงไปยังห้องลองเสื้อ

ไม่กี่นาทีต่อมา หญิงสาวกลับมาในเสื้อผ้าชุดเดิมที่แต่งมา ส่วนชุดแต่งงานถูกส่งให้พนักงานบรรจุใส่ถุงพลาสติกใสยาวอย่างดี เพื่อให้เกิดรอยยับย่นน้อยที่สุดก่อนการใช้งานจริง

ลูกค้าชำระ ‘ค่าเสียหาย’ เป็นหลักหมื่นบาทปลายๆ กับสินค้าเกรดเอสุดพิเศษ ซึ่งถือว่าไม่แพงจนเกินไป เธอรับถุงสินค้ามาถือไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นัยน์ตาเป็นประกายที่ได้ของถูกใจ

“ขอบคุณนะคะ ที่มาใช้บริการห้องเสื้อของเรา” ภาวินีกล่าวอย่างสุภาพกับคู่รักที่กำลังจะออกจากร้าน

“ร้านคุณภาไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ ไว้ฉันจะแวะมาใช้บริการใหม่นะคะ สวัสดีค่ะ” หญิงสาวพูดทิ้งท้าย ตั้งใจจะเป็นลูกค้าประจำร้านนี้ต่อไป เพราะประทับใจสินค้าและบริการมาก เจ้าของร้านเป็นถึงนักออกแบบเสื้อชื่อดัง ที่ไม่ถือตัวเลยสักนิด...หายากมาก

“ยินดีมากค่ะ สวัสดีค่ะ”

หล่อนยืนมองส่งจนลูกค้าก้าวไปหลายสิบก้าว นึกอวยพรในใจให้ทั้งคู่ครองรักกันอย่างมีความสุขจนแก่เฒ่า ก่อนขึ้นไปยังห้องทำงานชั้น 2 เพื่อออกแบบชุดราตรีที่ค้างอยู่ต่อ โดยมีลูกน้องเดินตามมาไม่ห่าง

“คู่เมื่อกี้น่ารักนะคะ” แสงดาวพูดชมขึ้น ขณะก้าวขึ้นบันไดไปห้องทำงานข้างบน เธอสัมผัสได้ถึงความรักของคนทั้งคู่ได้ชัดเจน มากล้นจนน่าอิจฉา

“ค่ะ ดูรักกันมาก” คนสวยเห็นด้วย

“เฮ้อ...เมื่อไหร่จะเจอแบบนี้บ้างเนี่ย” ช่างตัดเสื้อบ่นอย่างไม่จริงจัง แล้วก็ยกพนมมือสูงท่วมหัว

“เจ้าประคู๊ณ ขอให้ดาวเจอเนื้อคู่ในวันสองวันนี้ทีเถอะ ลูกจะบนด้วยหัวหมูหนึ่งหัว ไก่หนึ่งตัว เหล้าอีกขวดก็ได้ค่ะ...ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มก็มาเข้าฝันบอกได้นะเจ้าคะ แค่ส่งคนรักจริงมาให้สักคนก็พอ”

“ขอให้สมหวังตามที่ขอนะคะ” ภาวินีอวยพรทีเล่นทีจริงกับท่าทางเกินๆ ของลูกน้อง

“แหม...” เธอส่งค้อนวงเล็กให้พอเป็นพิธีให้กับเจ้านาย

'ใครจะไปสู้คุณภาได้ละคะ…มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบเกิน' แสงดาวคิดประชดในใจ แต่ไม่กล้าพูดดังๆ ออกมา

ภาวินีเกิดในตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวย เรียนจบปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ จากอเมริกา ด้านการออกแบบเสื้อผ้า หลังเรียนจบทำงานกับห้องเสื้อชื่อดังในต่างประเทศหลายปี ก่อนบินกลับมาเปิดร้านนี้ด้วยทุนตัวเอง หลังเปิดร้านเพียงแค่สองปี ห้องเสื้อ Artemis แห่งนี้ก็ชื่อดังจนมีงานล้นมือ โดยหล่อนอายุย่าง 29 ปีเท่านั้น

ร่างบางมีคู่หมั้นเป็นตัวเป็นต้นแล้ว ชื่อ ‘พีระ’ นักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อ ที่คบหากันดูใจกันมาระยะหนึ่ง เป็นทายาทนักธุรกิจใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะแต่งงานกันในไม่กี่เดือนข้างหน้า

ภาวินี-พีระ จัดเป็นคู่สร้างคู่สมเลยทีเดียว เหมาะสมทุกด้านไม่ว่าจะชื่อเสียง ฐานะ ชาติตระกูล งานแต่งงานคงต้องจัดใหญ่โต มีหน้ามีตาดังคึกโครมทั้งเมืองแน่

“คงต้องฉลองหน่อยนะคะ เดือนนี้ยอดขายมากกว่าเดือนที่แล้วอีก” ภาวินีเอ่ยขึ้น หลังเดินมาถึงหน้าประตูห้องทำงานของตนเองชั้นสอง

“ฟังแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ” แสงดาวพูดตอบอย่างร่าเริง

เธอชื่นชมเจ้านายคนนี้มาก แม้จะเข้มงวดจู้จี้เข้มงวดไปบ้าง แต่ก็มีน้ำใจงาม ทำให้พนักงานในร้านช่วยกันทำงานอย่างถวายหัว ทำโอทีก็มีข้าวเย็นเลี้ยง ไม่ได้ทอดทิ้งเอาเปรียบเหมือนห้องเสื้ออื่น ที่เคยได้ยินมาว่า ‘เจ้านายขี้เหนียวสุดๆ ดีแต่สั่ง ให้ค่าแรงน้อย สวัสดิการก็ไม่ดีอีกต่างหาก’

“พรุ่งนี้กลางวันอยากทานอะไร ก็สั่งกันมาทานนะคะ”

หล่อนตามใจคนทานโดยไม่เกี่ยงราคา ส่วนใหญ่อาหารที่ฉลองก็โทรสั่งพิซซ่า ไก่ทอด ไม่ก็ข้าวเหนียวส้มตำลาบน้ำตกจากร้านเจ้าประจำที่อยู่ใกล้ๆ ห้องเสื้อ

“ได้ค่ะ เย็นพี่จะไปโหวตถามทุกคน” ช่างตัดเสื้อมือหนึ่งว่า

ในร้านมีพนักงานทั้งหมด 7 คน ซึ่งอยู่คนละส่วนของอาคารตามลักษณะงานของตน โดยชั้น 1 ไว้โชว์เสื้อและชุดต่างๆ ชั้น 2-3 เป็นห้องทำงานของส่วนออกแบบและช่างตัดเสื้อ ส่วนชั้น 4 จัดเป็นห้องเช่าราคาถูกสวัสดิการให้กับพนักงานที่บ้านอยู่ไกล ซึ่งตอนนี้ว่างอยู่ 1 ห้อง

“ขอบคุณค่ะ” ภาวินีตอบเสียงหวาน

แล้วทั้งสองก็แยกย้ายเดินไปทำงานที่ห้องของตัวเองที่อยู่ติดกัน

กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!

เสียงโทรศัพท์ในห้องทำงานของสาวสวยดังขึ้น แทบจะทันทีที่ทรุดตัวนั่งเก้าอี้ หล่อนรับสายด้วยสุ้มเสียงราบเรียบ

“ภาวินีค่ะ”

“ขอโทษนะภา คือเย็นนี้ผมติดงาน คงไปทานข้าวด้วยไม่ได้จริงๆ” เสียงตามสายพูดตอบกลับมาอย่างเกรงใจ เสียงของพีระ...คู่หมั้นของหล่อน

ร่างบางนิ่งไปนิดนึง “ไม่เป็นไรค่ะ”

“ขอบคุณครับ แล้วค่อยคุยกันนะ ผมขอไปทำงานต่อก่อน ฝากขอโทษคุณพ่อแทนผมด้วย”

“ค่ะ”

“แล้วเจอกันนะครับ” พูดจบ อีกฝ่ายก็วางสายไปอย่างรวดเร็ว

'อีกแล้วเหรอ'

ภาวินีนึกบ่นในใจ ถอนหายใจยาวอย่างเบื่อๆ แล้ววางโทรศัพท์ที่แป้นตามเดิม เอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างเนือยๆ สายตาคมจับจ้องแหวนเพชรที่สวมติดนิ้วนางข้างซ้าย...แหวนหมั้นของเขา

ช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาพีระยกเลิกนัดบ่อยมาก ตามแผนเดิมเย็นวันนี้ เขากับหล่อนจะไปทานข้าวเย็นที่บ้านบิดาของหล่อน เหมือนที่ทำเป็นประจำ เดือนละ 2-3 ครั้ง

ความเคลือบแคลงใจบางอย่างวูบเข้ามาในความคิด...เรื่องที่เพื่อนโทรมาบอกเมื่อสักครู่

'หรือเรื่องนั้น...จะเป็นเรื่องจริง?'

“ไม่หรอก พีไม่ใช่คนแบบนั้น” หล่อนเผลอหลุดปากเถียงกับตัวเอง แล้วรีบสะบัดหัวขับความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไปจากสมอง ไม่อยากให้ตัวเองสติแตกกับข่าวลือไร้สาระ

หญิงสาวพยายามตั้งสมาธิขีดเขียนแบบชุดราตรีที่ลูกค้ามาสั่งไว้ต่อ ทำงานเพลินจนแสงดาวแวะมาลากลับบ้านตอนห้าโมงเกือบครึ่ง

หล่อนจึงเก็บของและเตรียมตัวกลับบ้าง หยิบหนังสือนิตยสารใหม่สองเล่ม กับกระเป๋าสะพายแบรนด์ดังรุ่นลิมิตเต็ท ก่อนออกเจอพนักงานสาวสองคนที่พักอยู่ชั้น 4 โดยไม่ลืมทักทายร่ำลา แล้วออกประตูด้านหลัง ขึ้นรถเบนซ์ซีคลาสสีเงินป้ายแดง ตรงไปบ้านของพ่อตามนัด

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา รถเก๋งคันงามก็สงบนิ่งในโรงรถภายในเขตคฤหาสน์หลังใหญ่ ปกติร่างบางไม่ได้นอนค้างที่บ้านนี้ จะกลับมาเฉพาะช่วงเสาร์อาทิตย์ หล่อนย้ายไปอยู่คอนโดที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน โดยให้เหตุผลว่าเบื่อรถติด คอนโดนั้นใกล้ที่ร้านมากเดินทางแค่สิบกว่านาทีก็ถึง

ทันทีที่สาวผมสั้นก้าวเข้าไปในบ้าน ภูวดลที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้รับแขกชุดใหญ่ เงยหน้าวางหนังสือในมือลงทันที และทักทายลูกสาวอย่างดีใจ

“มาแล้วเหรอภา”

“สวัสดีค่ะพ่อ” หล่อนยกมือไหว้บิดาอย่างอ่อนน้อม เมื่อทรุดตัวลงนั่งที่ว่างข้างตัวอีกฝ่าย

“ไหว้พระเถอะลูก” พ่อพูดพลางลูบหัวลูกสาวเบาๆ อย่างรักใคร่

สำหรับภูวดล หล่อนเป็นดุจแก้วตาดวงใจเลยทีเดียว เป็นตัวแทนภรรยาที่เสียชีวิตไปเมื่อนานมาแล้ว...ยิ่งมองภาวินีก็เหมือนแม่มาก

“แล้วพีล่ะ?” ผู้เป็นพ่อถาม เมื่อไม่เห็นอีกคนที่ ‘ควร’ จะมาด้วย

“พีบอกว่าติดงาน ฝากขอโทษคุณพ่อมาด้วยค่ะ” สาวสวยพูดเสียงเรียบ ไม่แสดงอะไรผิดปกติบนใบหน้า

ชายวัยห้าสิบเศษเลิกคิ้วอย่างสงสัย เริ่มมีคำถามบางอย่างในใจกับพฤติกรรม ‘ว่าที่ลูกเขย’ ที่ดูจะหายหน้าหายตาบ่อยเกินไป

'จะติดธุระอะไรกันบ่อยๆ ไม่เจอหน้ามาเป็นเดือนแล้วนะ...แปลก'

ก่อนหน้าที่จะหมั้นกันชายหนุ่มมาที่นี่บ่อยมากจนหัวกระไดแทบไม่เคยแห้ง เอาโน่นเอานี่มาฝาก ชวนคุยสารพัด แต่พอหมั้นกันแล้วดูจะเหินห่างไปจนผิดสังเกต โดยเฉพาะช่วงเดือนสองเดือนหลัง

เขาสังเกตเห็นลูกสาวมีสีหน้านิ่ง เหมือนไม่มีความสุขสดชื่นเท่าไหร่ จึงไม่อยากซักไซ้ไล่เบี้ย

อันที่จริงภูวดลก็ไม่ได้ปลาบปลื้มพีระอะไรนัก แต่เขาตามใจภาวินี เพราะเห็นสองคนรักชอบกัน อยากให้หล่อนมีความสุขกับชีวิตแต่งงาน ทำทุกอย่างเพื่อความสุขของลูกสาวเป็นที่ตั้ง

“หิวหรือยัง?” เอ่ยถามลูกสาวอย่างอ่อนโยน เหมือนอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ

“ยังค่ะ รอพี่ภูก่อน” ‘พี่ภู’ ที่หล่อนเอ่ยถึง คือพี่ชายเพียงคนเดียวที่อายุห่างกันสองปี...ภูวนัย

“เดี๋ยวก็น่าจะมา สงสัยจะรถติด...วันนี้วันศุกร์ด้วยนี่”

“ค่ะ รถติดมาก” หญิงสาวเห็นด้วย แล้วนึกขึ้นได้จึงหยิบของที่ติดมือมาด้วยยื่นให้อีกฝ่าย “หนูเอาหนังสือมาฝากพ่อด้วยนะคะ”

“ขอบใจนะลูก มีอะไรน่าสนใจบ้างเนี่ย?”

เขารับนิตยสารมาพลิกดูอย่างสนใจ ภูวดลเป็นสถาปนิกใหญ่ เป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ ทำหมู่บ้านจัดสรรและคอนโดกลางเมืองหลายแห่ง

พ่อลูกนั่งคุยกันเรื่องจิปาถะหลายต่อหลายเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่การวิพากษ์เรื่องหนังละครน้ำเน่า เรียกเสียงหัวเราะดังได้ตลอด

ไม่นานชายหนุ่มหน้าตาคมสัน ผิวสองสี วัยสามสิบต้นๆ ซึ่งมีส่วนคล้ายคลึงกับภูวดลตอนหนุ่มมาก ก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้องรับแขก และรีบกล่าวขอโทษทันทีที่เจอกับเจ้าของบ้าน

“ขอโทษครับ ผมออกจากบริษัทช้าไปหน่อย”

“ไม่เป็นไร” ผู้พ่อยิ้มน้อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ หันไปชวนลูกสาว “ไปทานข้าวกันลูก”

“แล้วนายพีล่ะ?” พี่ชายกระซิบถามน้องสาว เมื่อไม่เห็นเพื่อนสนิทที่ควบตำแหน่งคู่หมั้นของน้องสาวด้วย

“ติดงานค่ะ” หล่อนตอบสั้นๆ แล้วลุกเดินตามบิดาไปยังโต๊ะทานข้าวสำหรับแปดที่นั่ง ที่สาวใช้เริ่มตักข้าวใส่จาน

'หืม?...'

ภูวนัยยืนนิ่ง ขมวดคิ้วกลอกตาอย่างใช้ความคิด จนได้ยินบิดาเรียกจึงขานรับคำ แล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ขวามือของภูวดลที่อยู่หัวโต๊ะ ตรงข้ามกับเก้าอี้ภาวินี กับข้าวสี่อย่างที่ล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดของลูกๆ ถูกจัดวางตรงหน้า ส่งกลิ่นหอมฉุยชวนท้องร้องโครกคราก

“น่าอร่อยจัง” หญิงสาวเอ่ยด้วยท่าทางหิวอย่างเห็นได้ชัด

“ทานเยอะๆ นะ ของโปรดลูกทั้งนั้น” ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างเอาใจ

เขาจำได้แม่นยำว่า ลูกแต่ละคนชอบอะไรไม่ชอบอะไร พยายามทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกันให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

“ทานนะคะ” หล่อนฉีกยิ้มกว้างสวย ใช้ช้อนกลางตักอาหารตรงหน้าทันที...หมูทอดกระเทียมพริกไทย

ขณะที่ภูวนัยนั่งสงบปากคำ ทานข้าวเงียบๆ แค่ยิ้มแย้มเออออเป็นระยะกับการสนทนาของพ่อและน้องสาว เขาชอบบรรยากาศแห่งความสุขแบบนี้ เวลาแห่งความสุขของครอบครัว

...ได้แต่แอบหวังว่า ‘สิ่งที่เขากังวล’ จะไม่เป็นเรื่องจริง

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จประมาณเกือบสองทุ่ม สมาชิกทั้งสามก็ย้ายไปนั่งเล่นที่เก้าอี้รับแขก เพื่อดูโทรทัศน์ร่วมกันและคุยเรื่องทั่วไปเรื่อยเปื่อย มีเสียงหัวเราะคิกคักดังเป็นระยะกับมุขตลกที่หัวหน้าครอบครัวนำมาเล่าสู่กันฟัง

แต่แล้วเสียงข้อความเข้าจากมือถือของภาวินีดังขึ้น เจ้าของเครื่องเอื้อมมือหยิบ เห็นหน้าจอโชว์ชื่อ ‘เกษรา’ ผู้ส่ง

'ส่งอะไรมาเนี่ย?'

หล่อนนึกสงสัย พอกดเปิดดู ก็ต้องนั่งอึ้ง ใบหน้าสวยที่ยิ้มแย้มเมื่อสักครู่กลายเป็นบึ้งตึง ดูรูปถ่ายสามรูปที่ถูกส่งมาด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง...รูปของพีระ

“มีอะไรเหรอลูก?” ภูวดลถาม หลังสังเกตเห็นอากัปกิริยาของลูกสาวเปลี่ยนไป

หล่อนเม้มริมฝีปากล่าง กำมือถือแน่น จนน่ากลัวว่ามันอาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนพึมพำออกมาเสียงเศร้า

“เขาทำแบบนี้กับหนูได้อย่างไร?”

ภูวนัยชะโงกหน้าไปดูสิ่งที่ปรากฏอยู่ในจอมือถือนั้น แล้วก็ต้องกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ นึกไม่ถึงว่าข่าวซุบซิบที่ได้ยินมาจะเป็นเรื่องจริง...พีระกำลังควงผู้หญิงอีกคน

“ไอ้บ้านี่...”

บรรยากาศในบ้านเงียบกริบ ทั้งสามล้วนตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง และแล้วเสียงโทรเข้ามือถือของภาวินีก็ดังขึ้น โชว์ชื่อผู้โทรเข้า ‘เกษรา’ ร่างบางรีบกดรับสาย

“เขาอยู่ที่ไหน?” หล่อนถามเสียงเย็น แล้วรอฟังคำตอบในชั่วอึดใจ ที่เหมือนยาวนานเป็นกัปกัลป์

“ที่ผับฉันน่ะ ว่าแต่เธอจะมาดูรึเปล่า?” เสียงตามสายตอบ ก่อนถามกลับเสียงเรียบ

“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้...แค่นี้นะ”

ภาวินีตัดสินใจโดยไม่จำเป็นต้องคิดนาน ไม่ยอมพลาดโอกาสแบบนี้แน่ แม้ว่าสิ่งที่เห็นอาจจะปวดใจมากกว่าภาพถ่ายไม่รู้กี่ร้อยเท่าก็ตาม

หล่อนกดเลิกสนทนา หันมองผู้เป็นพ่อที่นั่งข้างๆ ด้วยตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้

“เดี๋ยวหนูมานะคะพ่อ”

“ใจเย็นๆ นะลูก บางทีมันอาจจะไม่ใช่แบบที่เราเข้าใจก็ได้” ภูวดลเตือนอย่างเป็นห่วง กลัวความใจร้อนจะทำให้ลูกสาวด่วนทำอะไรแบบไม่ยั้งคิด หล่อนเป็นคนแบบไหนนั้น...เขาย่อมรู้จักดีที่สุด

“หนูถึงอยากเห็นด้วยตาของตัวเองไงคะ” สาวสวยตอบเสียงสั่น ข่มใจอย่างยากเย็นไม่ให้น้ำตาไหลริน ไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมา ไม่อยากให้คนในครอบครัวต้องมาเป็นห่วงกับเรื่องส่วนตัวของตน

ทำไมภาวินีจะไม่รู้ข่าวลือของเขา ในเมื่อห้องเสื้อ Artemis ของหล่อน คือสถานที่ที่ ‘เจ้ากรมข่าวลือ’ มารวมตัวกันเป็นปกติ ไม่ต่างจากสมาคมแม่บ้านทหารบกสักเท่าไหร่

ที่ผ่านมาหญิงสาวแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะส่วนหนึ่งลึกๆ ในใจกลัวว่าเรื่องที่ได้ยิน...จะเป็นเรื่องจริง

ร่างบางอยากจะเชื่อว่า พีระยังคงรักและซื่อสัตย์กับหล่อน ตราบเท่าที่ไม่มีพยานหลักฐานคาหนังคาเขา แต่เมื่อเพื่อนสนิทส่งหลักฐานมาให้แบบนี้ มีหรือที่ภาวินีจะปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆ หล่อนไม่ใช่คนโง่ และจะไม่ยอมเป็นคนโง่ด้วย

...แม้ว่าเจ็บครั้งนี้อาจจะสาหัสไม่น้อยก็ตาม

“งั้นหนูไปก่อนนะคะ” หล่อนเอื้อมหยิบกุญแจรถและกระเป๋าสะพาย

“พี่ไปด้วย เอากุญแจมาพี่ขับให้” ภูวนัยเสนอตัว พลางดึงกุญแจรถของอีกฝ่ายมาถือไว้แทน

หล่อนจ้องหน้าพี่ชายแต่ไม่โต้เถียงหรือแย่งกุญแจคืนเหมือนทุกครั้ง ตอนนี้อยากรู้แค่ว่าเขานอกใจจริงๆ หรือเปล่าเท่านั้น อยากไปเห็นหน้าพีระให้เร็วที่สุด

ส่วนชายหนุ่มอยากไปเห็นหน้า ‘เพื่อนเลว’ ดูสิว่าจะแก้ตัวยังไง?

ก่อนหน้านี้ พีระเคยรับปากกับเขาเป็นมั่นเหมาะว่าจะรักซื่อสัตย์กับภาวินีคนเดียว เขาจึงยอมเป็นพ่อสื่อให้ แต่ที่ไหนได้ แค่หมั้นไม่ทันไร ‘ลาย’ ก็ออกซะแล้ว

ชายหนุ่มไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายจิตใจน้องสาวของเขาฝ่ายเดียวแน่ นึกอยากจะอัดหน้าหล่อให้เสียโฉมไปเลย...จะได้ไม่กล้าไปหลีสาวที่ไหนอีก

'พ่อจะอัดให้ ‘เสือ’ เป็น ‘แมว’ เลย...คอยดู' เขานึกอาฆาตเพื่อนในใจ

“ดี พ่อจะได้ไม่เป็นห่วง” ภูวดลเห็นดีด้วย พลางเตือนลูกชาย “เราก็อย่าขับรถเร็วนักล่ะ”

“ครับพ่อ” ภูวนัยรับคำ แล้วก้าวเท้ายาวๆ ตามน้องสาวที่ตรงลิ่วออกประตูไปแล้ว

เมื่อรถของสองพี่น้องออกไปจากเขตบ้าน ผู้เป็นพ่อได้แต่ยืนมองรูปถ่ายของภรรยาขนาดใหญ่ที่ติดผนังด้วยสีหน้ากังวล และนึกคุยกับภรรยาที่เสียไปในใจ

'ยังไงคุณก็ช่วยคุ้มครองลูกของเราด้วยนะ บอกตรงๆ ผมไม่สบายใจเลยจริงๆ'

“ขับเร็วๆ หน่อยได้ไหมคะ” หล่อนบอกพี่ชาย ที่ขับรถช้าเกินไปไม่ทันใจเลยจริงๆ...110 กม./ชม.

ภูวนัยถอนหายใจเฮือก ชำเลืองมองหญิงสาวผ่านหางตา ก่อนกดคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีกหน่อย อย่างน้อยเขารู้สึกปลอดภัยที่ขับเอง ไม่ปล่อยให้ภาวินีเป็นคนขับ

...มีไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่า น้องสาวคนนี้บทจะใจร้อนขึ้นมาก น่ากลัวขนาดไหน

ประมาณยี่สิบนาทีต่อมา ทั้งคู่ไปถึงผับใหญ่กลางเมือง และเมื่อจอดรถ สองพี่น้องก็เห็นรถบีเอ็มดับเบิลยูของพีระจอดไม่ไกล เป็นการยืนยันว่า ข่าวที่รู้ไม่ผิด...เขาอยู่ที่นี่จริงๆ

ทั้งสองตรงรี่ไปยังทางเข้าซึ่งมีชายสามคนร่างใหญ่สูงหนา หน้าดุเฝ้าอยู่ เพื่อตรวจบัตรประชาชนและรักษาความปลอดภัย หนึ่งในสามพยักหน้าน้อยๆ ให้หล่อนเพราะจำแม่นว่าเป็น ‘เพื่อน’ ของเจ้านาย

ภาวินีเดินนำพี่ชายเข้าไปด้านในอย่างคุ้นเคย เสียงเพลงเปิดดังลั่นในจังหวะ Waltz แสงไฟหลากสีกระพริบสลัวเพื่อสร้างบรรยากาศ กลิ่นบุหรี่กลิ่นเหล้าคลุ้งตลบอบอวลไปหมด

หล่อนสอดส่ายสายตาหาเจ้าของร้าน ที่กำลังยืนผสมเหล้าให้ลูกค้าอยู่ จึงเดินไปหยุดยืนตรงหน้าเคาน์เตอร์แล้วเคาะสองหน พลางเรียกชื่ออีกฝ่ายเบาๆ

“เกษ”

หญิงสาวหน้าหวานผมซอยยาว ที่กำลังง่วนกับการผสมของมึนเมา เงยหน้ามองคนเรียกชื่อ แล้วโบ้ยสายตาไปส่วนด้านในของผับ

“อยู่ทางโน้นแน่ะ กลางฟลอร์ กำลังกอดกันนัวเชียว”

“ขอบใจ” หล่อนตอบเสียงเรียบ ข่มอารมณ์เดือดภายในด้วยใบหน้านิ่ง แล้วตรงลิ่วไปยังจุดที่คาดว่า ‘คู่หมั้นของตน’ น่าจะอยู่กับใครอีกคน

“รอพี่ด้วยภา” เสียงพี่ชายร้องเรียกหล่อน รีบก้าวยาวๆ ตามภาวินีไปอย่างเร็ว ในใจเขาไม่ได้รู้สึกห่วงพีระสักเท่าไหร่ คนเลวไม่สมควรได้รับการสงสารหรือเห็นใจ

เกษราเผลอยิ้มเยาะตามหลังพี่ชายของเพื่อนสนิทอย่างเบื่อๆ เธอเคยเตือนภาวินีแล้วหลายหนว่า พีระไม่ใช่คนดี แต่หล่อนไม่เชื่อเธอเพราะเชื่อคำของภูวนัยมากกว่า แต่ในฐานะเพื่อนสนิทเธอไม่เคยถอดทิ้งภาวินี รู้อะไรก็บอกตรงๆ ไม่อยากให้เพื่อนกิน ‘น้ำใต้ศอก ซดน้ำตาแทนข้าว’

คิดเสียว่า ‘ชีช้ำ’ ตอนนี้ ดีกว่าต้องไปตรอมใจภายหลัง อย่างน้อยก็ยังไม่ได้แต่งงานกัน

เกษรามั่นใจว่า คนที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมอย่างภาวินี การจะหาคนใหม่ไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด ถือคติว่า ‘หากเจอคนไม่รักดี ก็หาใหม่ หาไปเรื่อย...หาจนกว่าจะเจอคนที่ใช่’

หล่อนเดินไปไม่กี่สิบก้าว ก็เห็นภาพบาดตาบาดหัวใจ พีระซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตฟ้าพับแขนกางเกงผ้าสีดำ กำลังประทับจูบอย่างดูดดื่มกับหญิงสาวคนหนึ่ง สองมือหนาของเขาโอบเอวบางอีกฝ่ายหลวมๆ กอดกันแนบสนิทบดเบียดแบบไม่เหลือช่องว่าง

...ดูยังไงก็ไม่เหมือนแค่เพื่อนหรือคนรู้จักแน่ๆ

ภาวินีชะงักเท้า รู้สึกเจ็บแปลบมากมายนับไม่ถ้วนที่ก้อนเนื้อในอกด้านซ้าย น้ำใสๆ เอ่อล้นจนแทบจะไหลทะลักออกมา คิดไม่ถึงว่าพีระจะนอกใจหล่อนจริงๆ

'เสียแรงที่ฉันรัก และไว้ใจคุณมาตลอด…คนหลอกลวง'

ภูวนัยที่มาหยุดยืนข้างหลัง เอามือหนาแตะบ่าบางของหล่อนเบาๆ เหมือนจะเตือนสติ

“ภา...”

แต่หล่อนกลับคิดว่า การได้เห็นกันจะจะแบบนี้ คงไม่ต้องพูดอะไรมาก ไม่ต้องรอนัดสืบพยานหรือตรวจสอบหลักฐาน ข้ามขั้นตอนไปใช้กระบี่อาญาสิทธิ์เลยเหมาะกว่า ภาวินีตัดสินใจเด็ดขาดในวินาทีนั้นว่าควรจะทำอะไรบางอย่าง...อะไรที่หล่อนไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องทำกับเขา

“พี่ภูไม่ต้องพูดอะไรค่ะ ภาจัดการเอง”

นักออกแบบสาวหายใจลึกๆ เข้าออกสองครั้ง เชิดหน้าขึ้นสูง มองตรงไปข้างหน้า สาวเท้าอย่างมั่นคงไปยังฟลอร์เต้นรำ ไปหาพีระที่ยังคงจูบกอดสาวคนนั้นอย่างหลงใหล โดยไม่รับรู้ถึงชะตากรรมของตัวเองเลยสักนิด และเมื่ออยู่ในระยะมือเอื้อมถึง หล่อนหยุดยืน และเอ่ยชื่อเขาออกมาดังๆ

“คุณพีระ”

ชายหนุ่มหันมองคนเรียก แล้วก็ผงะตกใจ ชักสองมือที่โอบเอวสาวออก ก้าวถอยห่างจากอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ

“ภะ ภา...” พีระพูดตะกุกตะกักติดอ่างอย่างกะทันหัน นึกกลัวเกรงสายตาคมกริบของหล่อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

หญิงสาวคนนั้นหันมองตามสายตาของพีระ แล้วยิ้มเยาะที่มุมปากให้กับภาวินีเหมือนเย้ยว่า...หล่อนแพ้ฉันแล้ว

'กรองพร?'

ภาวินีชะงัก เมื่อเห็นวงหน้าสวยของมือที่สามอย่างถนัด ทำเอามือเย็นเฉียบ โมโหจนเลือดขึ้นหน้า เผลอกัดริมฝีปากล่างจนห้อเลือด ไม่นึกว่าพีระจะคบหากับ ‘คู่แค้นคู่แข่ง’ ของตนตั้งแต่สมัยเรียน

“ภา ผม...” เขาพยายามจะแก้ตัวกับคู่หมั้น

เพี๊ยะ!

ภาวินีสะบัดมือขวาตบหน้า ‘คู่หมั้น’ เต็มแรง จนเขาหน้าชาหมุนไปตามแรงตบ และทันทีที่เขาหันหน้ากลับมาเพื่อมองหล่อน ก็โดนแหวนหมั้นปาโดนหน้า พร้อมคำประกาศอิสรภาพดังลั่น

“เราเลิกกัน” พูดจบ สาวสวยสะบัดหน้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งไปจากตรงนั้น

“ภา...” พีระครางเรียกชื่อหล่อน ขยับเท้าหมายจะตามไป แต่แล้วก็โดนกระชากคอเสื้อ ให้หันหน้าไปรับหมัดแข็งๆ ประเคนเข้าที่แก้มเต็มแรง จนเขาทรุดตัวลงไปนั่งแปะกับพื้น ร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดออกมา

“โอ๊ย!”

“แกห้ามมายุ่งกับน้องสาวฉันอีก เข้าใจไหมไอ้พี?” พี่ชายของภาวินีขู่ ยืนค้ำพลางชี้หน้าอดีตเพื่อนสนิทด้วยความแค้น

พีระยกมือกุมหน้าที่ถูกชก แล้วผงกหัวรับคำอย่างลนลาน เพราะรู้ฤทธิ์ของอีกฝ่ายดีว่า ถ้าโมโหสุดขีดแล้วจะโหดขนาดไหน เขายังไม่อยากเป็นกระสอบทราย

“จำใส่สมองไว้ให้ดี ไอ้พี” ภูวนัยย้ำอีกรอบ ก่อนประเคนลูกเตะแถมให้ ‘คนเลว’ แรงๆ อีกที แล้ววิ่งตามน้องสาวไป

“โอ๊ย! เจ็บชะมัด...”

พีระครางโอดโอย ยกมือกุมหน้า เก็บแหวนนั้น พยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลโดยมีกรองพรประคับประคองกลับมานั่งที่โต๊ะ และหารู้ไม่ว่าเหตุการณ์คืนนี้โดนปาปารัสซี่แอบถ่ายรูปเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว

หล่อนวิ่งไปยืนร้องไห้สะอึกสะอื้น ที่มุมมืดข้างรถยนต์ของตัวเอง แค้นใจที่โดนผู้ชายคนนั้นหลอกลวง หลอกให้รักจนหมดหัวใจ แล้วก็ไปมีคนใหม่ ทั้งที่คบกันมาเกินสองปี และเพิ่งหมั้นกันไปได้ไม่นาน

เขาไม่ใช่รักแรกของภาวินี แต่เป็นผู้ชายคนแรกที่หล่อนหวังจะใช้ชีวิตร่วมกันจนนาทีสุดท้ายของชีวิต

แล้วภาพบาดตาบาดใจเมื่อสักครู่ ก็วนเวียนมาปรากฏในสมองอีกครั้ง น้ำตาก็ไหลพรากอาบสองแก้มเนียนไม่รู้กี่สายต่อกี่สาย ณ เวลานี้ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งว่าเข้มแข็ง ในเมื่อหัวใจบอบบางแตกกระจุยกระจายหาชิ้นดีแทบไม่ได้ รวดร้าวใจจนไม่รู้จะพรรณนาออกมาเป็นคำพูดอย่างไรดี

‘ทำไมต้องหลอกกันด้วย…ทำไมต้องทำแบบนี้'

OoXoO



Create Date : 17 มกราคม 2558
Last Update : 17 มกราคม 2558 23:38:54 น. 0 comments
Counter : 797 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com