ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
<<
มีนาคม 2558
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
6 มีนาคม 2558
 
 
ปรารถนารัก...อีกสักครั้ง? Believe...Again? (Yuri) ตอนที่ 13

เพลง Unloveable - mild

https://www.youtube.com/watch?v=0zYVkv1W4OQ&feature=youtu.be

-๑๓-

                    ‘โคลงเสียดาย’

       เสียดายรักแน่ไซร้   สุดฝืน แล้วเอย
ไร้ยอดชู้ชิดชื่น              ร่ำไห้
อกพี่ตรมเช้าคืน             สลดโศก อาลัย
พนมวอนเทพไท้            ส่งน้อง กลับคืนฯ     


คืนนั้นกว่าปริตต์จะกลับไปถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว ภาพบาดตาที่เพิ่งเห็นสดๆ ร้อนๆ ยังคงตามหลอกหลอน จนนอนกระสับกระส่ายไปตลอดทั้งคืน ในหัวของเขาเต็มไปด้วยเรื่องราวของเมธาวี...สาวผมยาว ใบหน้าคมสวยที่งดงามเหมือนหลุดออกจากภาพวาด

เขายังคงจดจำครั้งแรกที่ได้เจอเธอ ในงานรับน้องชมรมภาษาไทยตอนปีหนึ่ง ได้เห็นเมธาวีแสดงความสามารถด้วยการแต่งและอ่านโคลงต่อหน้ารุ่นพี่และเพื่อนร่วมชมรม

ป้องตะลึงและตกหลุมรักเมธาวีทันทีตั้งแต่ตอนนั้น และมีความคิดที่มั่นใจนักหนาว่า เขาจะทำให้เธอรับรัก และยอมแต่งงานกับเขาให้จงได้

แต่บัดนี้ความคิดนั้นกลายเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ จนชายหนุ่มรู้สึกสิ้นหวังท้อแท้ ความคิดล่องลอยไปถึงโคลงบทหนึ่งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโคลง ‘เสียดาย’ ที่เมธาวีได้แสดงในวันนั้น

'พนมวอนเทพไท้   ส่งน้อง กลับคืน…เป็นไปได้ไหมหนอ'

เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสอดส่ายสายตาไปทั่ว คาดหวังว่าจะได้พบเทพเทวาสักองค์ แต่กลายเป็นว่า ภาพความสนิทสนมของสองสาวได้กลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง

'มันไม่จริงใช่ไหมเม?...เมกับคุณภา...'

เขารีบสะบัดความคิดนั้นออกจากหัว ยังคงอยากให้สิ่งที่ได้รับรู้เป็นแค่เรื่องโกหกพกลมเท่านั้น แต่เมื่อนึกถึง ‘ข้อมูล’ ที่ได้ยินจากปากของรุ่นพี่ที่สนิทกัน จิตใจยิ่งร้อนรุ่มดุจมีกองเพลิงมหึมาเผาผลาญอยู่ภายใน และไม่มีวี่แววจะมอดดับลงง่ายๆ


สองวันก่อนเขาได้เจอกับเฉลิมพล รุ่นพี่ที่เป็นไกด์อยู่บริษัททัวร์อื่น จึงชวนกันไปสังสรรค์ตามประสาหนุ่มๆ ซึ่งทำให้ป้องได้รู้เรื่องบางอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน...เรื่องที่ทำให้เขาอยากจะตีอกชกหัวตัวเองที่สุด

“นี่แกยังติดต่อกับเมอยู่หรือเปล่า?”

เฉลิมพลไถ่ถามตามประสาคนที่สนิทสนมคุ้นเคย เขาจำหน้าหญิงสาวใบหน้าคม ผมยาวสีดำสนิท บุคลิกนิ่งๆ เงียบขรึมได้เป็นอย่างดี เมธาวีเป็นรุ่นน้องที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับเขาแต่คนละคณะ ผู้หญิงที่นายป้องตามติดเหมือนเงาตั้งแต่เรียนชั้นปีหนึ่ง

ตอนนั้นเขาคิดจะจีบเชฟสาวเลยด้วยซ้ำ...แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว

“ครับพี่ ผมแวะไปหาเมที่รีสอร์ตบ่อยๆ”

“งั้นเหรอ?”

เฉลิมพลลังเลใจ ไม่รู้ว่าควรจะบอกรุ่นน้องเกี่ยวกับ ‘ผู้หญิงคนนี้’ ดีหรือไม่? เรื่องที่เขาบังเอิญไปรู้จากเพื่อนสมัยเรียนมัธยมฯ ของเมธาวี เรื่องซึ่งเขาแน่ใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า...นายป้องไม่รู้แน่

“พี่พลถามถึงเม มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ชายหนุ่มสงสัย

ไกด์ที่อายุมากกว่าไม่ตอบคำถามนั้น จ้องหน้าคนที่นั่งตรงข้าม

“ถามจริงเถอะ แกจริงจังกับเมแค่ไหน?”

ป้องนิ่งงันไปชั่วขณะ แล้วตอบแบบไม่เต็มปากเต็มคำ ถึงสิ่งที่คิดมาตลอด แต่ไม่เคยเอ่ยเล่าให้ใครได้ร่วมรับรู้มาก่อน

“ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากแต่งงาน และอยู่กับเมตลอดชีวิต”

เฉลิมพลทำหน้านิ่งขรึมกับสิ่งที่ได้ยิน ท่าทางอีกฝ่ายจะเป็นเอามาก...มากกว่าที่เขาคิดไว้

“ขนาดนั้นเชียว”

“ครับพี่ ผมพูดจริงๆ”

“แล้วแกกับเม...ไปถึงไหนแล้วล่ะ?” เฉลิมพลถามตรงๆ

ป้องทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม แล้วส่ายหัวไปมาเป็นคำตอบ

“เฮ้ย! อะไรว่ะ แกคบกับยายนั่นมาตั้งนานหลายปีแล้วนะ” คนอายุมากกว่าโวยวายกับความไม่เอาไหนของรุ่นน้อง เฉลิมพลนึกว่าสองคนนี้มีอะไรกันไปเรียบร้อยแล้ว เพราะเห็นชายหนุ่มทุ่มเทให้สาวเจ้าเหลือเกิน

‘ถ้าเป็นฉัน...ยายเมไม่รอดถึงตอนนี้หรอก’

เฉลิมพลนึก ก่อนยกแก้วน้ำเมาขึ้นกระดกไปหนึ่งอึก

‘ใครจะไปเก่ง เหมือนพี่พลล่ะ...ผ่านผู้หญิงเป็นร้อย’

ป้องแอบคิดประชดประชันในใจ เมื่อเทียบความเจ้าชู้ระดับพระกาฬของคนตรงหน้า...เขาคงเป็นได้แค่ Level ต้นๆ เท่านั้น

“งั้นเรื่องที่ยายนิดบอกเกี่ยวกับเม ก็อาจจะจริงน่ะสิ” ไกด์รุ่นพี่พึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง ‘ยายนิด’ ที่พูดถึงคือ แฟนเก่าของเขาที่เคยเป็นเพื่อนร่วมห้องกับเมธาวีตอนเรียนมัธยมฯ

คนฟังหูผึ่งเมื่อได้ยินเรื่องที่เกี่ยวกับเม อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสนใจ

“เรื่องอะไรพี่พล?”

“ยายนิดเคยเล่าให้ฉันฟังว่า ตอนเรียน ม.ปลาย เมเคยมีแฟนอยู่คนหนึ่ง” เฉลิมพลเล่าตามที่ได้ยินมา

“เมเคยมีแฟน?” ปริตต์พูดทวนคำอย่างแปลกใจ ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลย...ดูเหมือนเขาจะรู้จักเมธาวีน้อยไปจริงๆ

“ใช่ ยายนิดบอกว่ารักกันมากด้วย แต่อีกคนต้องไปเมืองนอก ก็เลยจบกันไป...รู้สึกว่าแฟนเก่าเม จะชื่อ ‘กฤติกา’ หรือ ‘กฤติยา’ อะไรเนี่ยแหละ”

ป้องตกใจแทบหล่นจากเก้าอี้

“ฟะ แฟนเม เป็นผู้หญิงเหรอครับ?” เขายังไม่อยากเชื่อ และเข้าใจว่าอีกฝ่ายอำเล่น จึงกลั้นใจถามไปว่า “นี่พี่พล...พูดเล่นใช่ไหม?”

“ถ้าไม่เชื่อฉัน...แกก็ลองถามเมดูสิ” เฉลิมพลเอ่ยกึ่งท้าทาย


ผ่านมาหลายวัน ป้องยังไม่สบโอกาสถามเชฟสาวสักที อาจเพราะเขาไม่กล้าก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของอีกคน หรือเพราะกลัวว่าเรื่องนั้นจะเป็นความจริง

จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่า เมธาวีเป็น ‘เลส’ แต่เท่าที่เห็นชัดเต็มสองตา เชฟสาวเอาใจใส่ภาวินีอย่างสนิทสนม แบบถึงเนื้อถึงตัว ประคับประคองปานจะกอดขนาดนั้น แถมยังค้างคืนห้องเดียวกันด้วย ก็มีโอกาสที่ ‘ข่าวกรอง’ จะเป็นเรื่องจริง ประกอบกับญาติผู้ใหญ่ของสองสาวเป็นคนรักกัน หากหลานสาวจะเดินซ้ำรอยบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

'บ้าเอ๊ย!'

ชายหนุ่มสบถในใจ หงุดหงิดแทบคลั่ง เมื่อคิดว่าที่ผ่านมาหลายปี ตนหลงรักผิดคนมาตลอด เมธาวีไม่มีทางรับรักเขา เธอคบเขาเพียงเพราะสงสารหรือเห็นใจเท่านั้น...แต่ไม่เคยมีใจให้เขาจริงๆ

ไกด์หนุ่มขบไม่แตก หาข้อสรุปไม่ได้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อ ได้แต่นอนตาค้างฟุ้งซ่าน คิดเวียนวน จนเห็นแสงรำไรลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา

'สว่างแล้วเหรอเนี่ย'

ป้องครางในใจ หลังไม่ได้หลับแม้แต่งีบเดียว เหลือบมองเวลา ก็คิดว่าคงต้องเตรียมตัวไปทำงาน
ถ้าหากวันนี้ไม่ติดออกทัวร์ เขาคงแจ้นไปหาเชฟสาวแล้ว แต่ไม่รู้ว่า หากเจอหน้าของเมธาวี เขาจะมีความกล้าพอที่จะถามเรื่องนี้หรือเปล่า?...เรื่องคาใจที่ทำให้สติจะแตกอยู่รอมร่อ

'โอ๊ย!…เอาไงดีว่ะ?'


ประมาณเจ็ดโมงเช้า ห้องรับแขกภายในเรือนสีรุ้งจะเป็นห้องอาหารขนาดย่อมๆ ที่จะมีนงรามและรสรินแวะมาทานมื้อเช้ากับสองสาวทุกวันโดยเมธาวีจะเป็นคนเตรียม ซึ่งโดยมากจะเป็นกาแฟ ขนมปัง ข้าวต้มหมู หรือโจ๊กหมู

เหตุผลหลักที่มาทานมื้อเช้าที่ห้องนี้ คือเพื่อเยี่ยมคนป่วย ที่ตอนนี้อาการทุเลาจนใกล้จะหายเป็นปกติ

และอีกเจตนาหนึ่งของนงรามคือ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของคนทั้งสี่ให้พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ไม่อยากให้เมินเฉยหรือเย็นชาต่อกัน เหมือนที่ผ่านๆ มา...โดยเฉพาะมวยคู่เอกคือ ภาวินีกับรสริน

นงรามมั่นใจว่า หากหลานสาวของตนได้รู้จัก ‘ธาตุแท้’ ของคนอื่น ไม่ด่วนสรุปผิวเผินจนเกินไป จะเห็นสิ่งดีงามที่ซ่อนอยู่ในตัวรสริน เธออยากเห็นคนที่เธอรักเป็นมิตรต่อกัน มากกว่าจงเกลียดจงชังกัน

'ในโลกนี้คงไม่มีมนุษย์หน้าไหน นิสัยดีเลิศเลอ หรือเลวร้ายสมบูรณ์แบบเหมือนในเทพนิยาย...ทุกคนล้วนมีดีชั่วปะปน แค่มีอะไรมากหรือน้อยเท่านั้น '

นั่นคือสิ่งที่นงรามเชื่อ หลังสัมผัสกับผู้คนมามาก

ในช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอเห็นแนวโน้มในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ภาวินีไม่แสดงอาการรังเกียจรังงอนรสรินมากเหมือนก่อน ยอมคุยด้วยดีๆ บางครั้งก็ร่วมแสดงความเห็นในบทสนทนา บางทีก็ร่วมหัวเราะ ราวกับไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งใดๆ กันมาก่อนเลย ทำให้นงรามมีความสุขและสบายใจมาก ที่เห็นหลานสาวกับคนรักเข้ากันได้

หลังทานอาหารเรียบร้อย ทั้งสามคนเตรียมลุกจากโต๊ะเพื่อสลายตัวไปทำธุระปะปังต่อ แต่ทุกคนต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของร่างบางเอ่ยขึ้น

“น้านงคะ”

น้าสาวเหลียวมองหลานสาว ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มจางๆ อบอุ่นมีเมตตาเป็นปกติ เอ่ยถามคนเรียกอย่างอ่อนโยน

“ภามีอะไรเหรอลูก?”

“เอ่อ ภาคิดว่า ภาคงไม่เป็นอะไรมากแล้ว ภาไม่อยากรบกวนน้องเมให้ลำบากมานอนเฝ้าอีก...แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

หล่อนพูดเสียงแผ่ว รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระให้เชฟสาวเหลือเกิน

เกือบสิบวันที่ล้มป่วย ร่างบางได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากอีกฝ่ายซึ่งแทบไม่ได้หลับนอน ต้องตื่นกลางดึกคืนละหลายรอบ เพื่อมาเช็คไข้ของหล่อนป้อนน้ำป้อนยา แถมกลางวันงานในครัวก็ยุ่งมาก มีแขกเยอะเกือบตลอด จนตอนนี้ร่างสูงดูหน้าซีดๆ เหมือนไม่ค่อยสบาย ภาวินีกลัวว่าอีกคนจะล้มป่วยเพราะพักผ่อนน้อย จึงอยากให้กลับไปนอนที่ห้องมากกว่า

นงรามมองหน้าคนพูดด้วยใบหน้านิ่งๆ แฝงความลังเล

“แน่ใจนะ?”

“ค่ะ...” หลานสาวยืนยัน แอบปรายตามองไปยังสาวร่างสูงที่ทำหน้าขรึมกว่าปกติ แวบหนึ่งในใจหล่อนรู้สึกผิดที่ไม่บอกกับอีกฝ่ายตรงๆ แต่ใช้วิธีร้องขอกับน้าสาว ‘กึ่งบังคับกึ่งไล่’...พอหมดประโยชน์ก็เฉดหัวส่ง

'สงสัยน้องเมจะโกรธ?'

หล่อนเดาเมื่อเห็นคิ้วเรียวเข้มนั้นขมวดเข้าหากัน ภาวินีตั้งใจจะหาโอกาสอธิบายกับอีกคน ด้วยไม่อยากให้เชฟสาวเข้าใจผิด คิดว่ารังเกียจ

“งั้นก็ตามใจ” ผู้เป็นน้าตอบตกลงในที่สุด

แล้วการสนทนาก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์เข้า เชฟสาวหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาอ่านชื่อคนโทรเข้า เผลอเม้มริมฝีปากอย่างหงุดหงิด แล้วกดปุ่มสีแดง โดยไม่เสียเวลาขบคิด…ดูเหมือนสายเช้านี้จะมาผิดเวลา ดันโทรมาตอนเมธาวีกำลังอารมณ์ไม่ดี

เพียงไม่ถึงนาที เสียงโทรเข้าก็ดังขึ้นอีก เธอก็ยังคงกดวางอีกรอบด้วยสีหน้านิ่งเฉย เหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร

อากัปกิริยาทั้งหมดของเมธาวีนั้น หาได้รอดพ้นจากสายตาคมกริบของน้าสาวทั้งสองไม่

มีเพียงภาวินีที่ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แค่ทำหน้าสงสัยแต่ไม่กล้าถามไถ่ เพราะดูจะเป็นการสอดรู้ยุ่งเรื่องส่วนตัว เสียมารยาทยิ่ง จึงนิ่งเฉยเสีย

นงรามชวนคุย เพื่อคลี่คลายบรรยากาศให้ดีขึ้น

“ยังไงเย็นนี้ ลูกน่าจะออกไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายที่ชายหาด แล้วค่อยไปทานมื้อเย็นที่ร้าน ฉลองที่หายป่วย”

“ดีค่ะ” หล่อนยิ้มร่า ดีใจที่จะได้ไปข้างนอก...ไกลกว่าระเบียง

แล้วมือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง เมธาวียกขึ้นอ่านชื่อคนโทรเข้าแล้วถอนใจออกมาอย่างเบื่อๆ แต่ก่อนที่เธอจะทันกดวางสายอีกรอบ

รสรินที่นั่งเงียบอยู่นาน ก็พูดเสียงเย็นขึ้น เพื่อเตือนสติหลานสาว

“เม น้าว่ารับสายดีกว่าไหม?...อีกฝ่ายอาจจะมีธุระด่วน”

คนฟังชะงัก นิ่งคิดไปเพียงชั่วขณะ

“งั้นเมขอตัวก่อนค่ะ” พูดจบ ลุกขึ้นก้าวยาวๆ ออกไปจากเรือนสีรุ้ง เพื่อคุยกับคนโทรมาให้จบๆ หงุดหงิดที่อีกคนไม่ยอมฟังสิ่งที่เธอเคยบอกไว้

“หากเมว่างจะโทรกลับ ไม่ต้องโทรซ้ำๆ เข้าใจไหมป้อง”

ภาวินีมองตามแผ่นหลังบอบบางของสาวร่างสูง ด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนเหลียวกลับไปมองผู้เป็นน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

“คงไม่มีอะไรหรอกลูก หนุ่มสาวก็แบบนี้ เดี๋ยวก็รักเดี๋ยวก็งอน” น้าสาวเฉลยด้วยคำพูดกลางๆ แต่บ่งบอกชัดว่า ผู้โทรมาคือ ‘ป้อง’

หล่อนอึ้งไปกับคำตอบ เพราะหลายวันที่ผ่านมาร่างบางจับอารมณ์ผิดปกติของเชฟสาวไม่ได้เลย เมธาวีไม่ได้แสดงอาการเศร้าซึมหรือทุกข์ใจใดๆ ให้เห็น ดูค่อนข้างมีชีวิตชีวามากเสียด้วยซ้ำ

'ทะเลาะกับแฟนอยู่เหรอเนี่ย?...ดูไม่ออกเลยจริงๆ'

สาวสวยคิดอย่างประหลาดใจ

รสรินแค่นิ่งฟังไม่ออกความเห็นใดๆ รู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งที่คนรักของตนพูดนั้นถูกแค่เพียงส่วนเดียว เธอรู้จักนิสัยเจ้าเมดีว่า ไม่ค่อยแสดงอาการแบบนี้กับใคร...เว้นแต่เหลือทนแล้วจริงๆ

'โชคดีนะนายป้อง…'

OoXoO



Create Date : 06 มีนาคม 2558
Last Update : 6 มีนาคม 2558 12:28:19 น. 0 comments
Counter : 919 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com