ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
<<
กุมภาพันธ์ 2558
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
3 กุมภาพันธ์ 2558
 
 
ปรารถนารัก...อีกสักครั้ง? Believe...Again? (Yuri) ตอนที่ 4

เพลง ไม่เจ็บอย่างฉันใครจะเข้าใจ

-๔-

หล่อนงัวเงียตื่นขึ้นมา หลังจากเผลอร้องไห้จนผล็อยหลับไป และพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงในห้องตามลำพัง มองนาฬิกาข้อมือ 17.15 น.

'หลับไปนานเหมือนกันนะเนี่ย'

หญิงสาวคิดในใจ ยกมือบางขึ้นก่ายหน้าผากยังไม่อยากลุกนัก มึนศีรษะ และเจ็บกระบอกตาหลังผ่านการร้องไห้อย่างหนัก เหลือบมองไปรอบห้อง เห็นโพสต์-อิทสีเหลืองแปะที่กระจกเงาบานใหญ่ จึงลุกขึ้นไปอ่านเป็นข้อความของน้าสาว

‘อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกมาที่แค้มป์ไฟริมชายหาดนะคะ
น้าเชื่อว่าลูกจะต้องชอบแน่ๆ
น้านง’

หล่อนยกยิ้มที่มุมปาก สัมผัสได้ถึงความรักความห่วงใยที่ผู้ใหญ่คนนี้มีให้อย่างสม่ำเสมอ ก่อนเหลือบไปเห็นใบหน้าที่สะท้อนในกระจกเงา ก็ต้องตกใจกับความโทรมของตนเอง โดยเฉพาะขอบตาช้ำๆ แดงก่ำ บวมตุ่ย ไม่เหลือสภาพที่จะเรียกว่า ‘พอดูได้’ เลยสักนิด

หล่อนเชื่อคำโบราณที่ว่า ‘ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง’ ในสังคมปัจจุบันจะมีหญิงไทยสักกี่เปอร์เซนต์ที่ดูดีตามธรรมชาติ...น้อยมาก

'หน้าตาน่าเกลียดมากเลย คุณภาวินี'

บ่นตัวเองในใจ น้อยครั้งที่จะปล่อยให้ตัวเองดูโทรมขนาดนี้ เสียมาดนักออกแบบเสื้อผ้าชื่อดังหมด ไม่ว่าจะเศร้าขนาดไหนก็ยังคงติดรักสวยรักงาม หญิงสาวถอนหายใจยาวเหยียดอย่างเบื่อๆ ก่อนเดินไปหาเสื้อผ้าชุดใหม่ เผื่อเวลาแต่งหน้าทาแป้ง เพื่อกลบร่องรอยเศร้าหมอง ไม่ให้ประจานตัวเองมากนัก

เกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมา

สาวตาคมในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะ ก้าวเท้าออกจากห้องพัก แค่ไม่กี่ก้าวก็เห็นชายหาดสวยทอดยาวสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศเย็นสบาย สูดหายใจได้ออกซิเจนเต็มปอด ไม่เหมือนในเมืองกรุงที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เยอะจนแทบหาออกซิเจนไม่ได้

หล่อนมองไปยังเส้นขอบฟ้า ที่พระอาทิตย์ดวงโตสีส้มแสดใกล้จะลาลับอยู่รอมร่อ เป็นภาพธรรมชาติที่งดงามจนหญิงสาวอดใจไม่ไหว ยกมือถือราคาแพงขึ้นบันทึกรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกหลายรูป

'ที่นี่สวยมากจริงๆ'

ร่างบางมัวแต่สนใจแต่ความสวยงามรอบตัว จึงไม่ทันเห็นว่ามีใครกำลังเดินสวนมา

“เอ่อ น้านงให้มาตามค่ะ” เมธาวีพูดอย่างสุภาพ ยืนเว้นระยะห่างจากคนตรงหน้าหลายก้าว ไม่กล้าจะเอ่ยชื่อของอีกคนโดยเจ้าตัวไม่อนุญาต

หล่อนหมุนตัวไปมองเชฟสาว

“แล้วตอนนี้ น้านงอยู่ไหน?”

“แค้มป์ไฟค่ะ” เมธาวีชี้ไปยังอีกด้านที่อยู่ไกลออกไปพอสมควร

ภาวินีพยักหน้ารับทราบ แล้วทั้งคู่ก็เดินเคียงกันไป...แบบห่างๆ

หล่อนเหลือบมองเพื่อนร่วมทางที่ดูจะเงียบขรึม ไม่ปริปากพูดอะไรเลยสักคำ แถมเว้นระยะมากกว่าแขนเอื้อมถึงเสียอีก ดูยังไงก็ทะแม่งๆ อยู่

'เดินห่างซะขนาดนี้...มีปัญหาอะไรกับฉันหรือเปล่าเนี่ย?'

ร่างบางฉุกคิดขึ้นมาว่า รสรินน่าจะเคยเล่าพฤติกรรมอันสุดแสนน่า ‘ประทับใจ’ ของหล่อนให้หลานสาวฟังบ้างไม่มากก็น้อย คิดอย่างนี้แล้วก็ไม่แปลกใจที่เมธาวีจะดูเกร็งๆ เมื่ออยู่ใกล้หล่อน

'คงกลัวจะโดนวีนสินะ'

คิดแบบนี้แล้วร่างบางก็เผลอยิ้มกว้างเจ้าเล่ห์ออกมา

“คะ?” เมธาวีอดสงสัยขึ้นไม่ได้ เมื่อเหลือบเห็นอีกฝ่ายยิ้มสวยเต็มหน้า พาลทำให้ก้อนเนื้อขนาดกำมือที่อยู่ในอกกระเพื่อมขึ้นแบบไม่มีเหตุผล

'มีแอบมองกันด้วย นึกว่าจะไม่สนใจกันเสียอีก'

หล่อนคิดในใจ แต่ปากก็ตอบไปว่า

“‘ฉัน’ ก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”

หล่อนไม่นึกหมั่นไส้หรือรังเกียจหลานของ ‘คู่ปรับ’ เท่าไหร่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเมธาวีคงได้รับลูกหลงแจกแถมบ้างไม่มากก็น้อย แต่บังเอิญตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์จะทะเลาะกับใคร แต่ไม่อยากแทนตัวสนิทสนมว่า ‘พี่’ แค่ ‘ฉัน’ ดูเว้นระยะกำลังพอดี

“ค่ะ” เชฟสาวตอบเสียงเรียบ ไม่กล้าที่จะชวนคุยด้วยอีก เพราะเกรงจะเป็นการเสียมารยาท ขณะที่อีกคนกำลังใช้ความคิด

เมื่ออีกฝ่ายนิ่งเงียบนานเกินไป หล่อนจึงเริ่มถามขึ้นบ้าง

“น้องเม เป็นคนไม่ค่อยพูดเหรอ?”

เมธาวีทำหน้าสับสนระคนแปลกใจ และที่ได้ยินหล่อนเรียก ‘น้องเม’ เดาว่าคงเรียกตามนงราม สาวร่างสูงรู้สึกว่าภาวินีช่างเรียกได้ไพเราะจับใจแบบบอกไม่ถูก? ทำให้รู้สึกชอบชื่อของตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม

“ทำไมคะ?” เธอถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็น้องเม ‘เงียบเกิน’ ไม่พอใจอะไรฉันหรือเปล่า?” หล่อนกล่าวเสียงเรียบเย็น เย็นเกินไป จนคนฟังสัมผัสได้ถึงอารมณ์ลบบางอย่างที่ส่งปะปนออกมาด้วย...ความหงุดหงิด

เมธาวีอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าการเงียบจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่หรืออารมณ์เสีย เดาใจไม่ถูกเลยจริงๆ ปกติเธอก็ไม่ใช่คนคุยเก่งช่างพูดเท่าไหร่ ...ชอบเป็นนักฟังที่ดีมากกว่า

“เอ่อ เม เมแค่ไม่รู้จะชวนคุยอะไร?” อธิบายอย่างตะกุกตะกัก

หล่อนหยุดเดิน พลอยทำให้เชฟสาวต้องหยุดด้วย ร่างบางหันไปสบตาอีกฝ่ายเขม็ง ก่อนเอ่ยถามย้ำ

“แค่นั้น?”

“ค่ะ แค่นั้น” เชฟสาวตอบอย่างหนักแน่น

“แล้วไป” ภาวินีพึมพำเบาๆ เมื่อไม่เห็นสัญญาณโกหกใดๆ จากอีกคนเลยแม้แต่น้อย ก่อนก้าวเท้าเดินต่อโดยมีเมธาวีเดินคู่ในจังหวะใกล้เคียงกัน แต่เว้นระยะห่างน้อยลงกว่าเดิม...ระยะมือเอื้อมถึง

'ช่างสงสัยเหมือนกันนะเนี่ย'

เชฟสาวคิด แต่ไม่กล้าเหลือบมองหล่อนอีก เกรงจะต้องสบตากับนัยน์ตาแสนคมคู่นั้นอีก

ผ่านไปไม่ถึงนาที หล่อนก็เริ่มชวนคุย

“ทำไมถึงเลือกเป็นเชฟ?”

เป็นคำถามที่หลุดออกจากปากอย่างงงๆ ภาวินีไม่เข้าใจตัวเองนัก ว่าทำไมถึงได้ตั้งคำถามค่อนข้างไปทางส่วนตัวแบบนี้ ไม่ได้คุ้นเคยอะไรกันสักหน่อย...เพิ่งรู้จักไม่ถึงครึ่งวันเลยด้วยซ้ำ

คำถามนี้ เป็นคำถามที่เมธาวีถูกถามบ่อยครั้งตั้งแต่เลือกเรียน แต่ไม่นึกว่าหล่อนจะสนใจอยากรู้...ความฝันของเธอ

เมธาวียิ้มกว้างแบบที่ไม่คนไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก ปกติเธอยิ้มยากจะตายไป จนเพื่อนๆ สมัยเรียนให้สมญาว่า ‘เสือยิ้มยาก’ แต่ทำไมเมื่ออยู่ใกล้กับหล่อน ถึงได้ยิ้มง่ายยิ้มดายก็ไม่รู้

“เพราะคนเราต้องทานทุกวัน เมอยากทำอาหารอร่อยๆ ให้คนทานอิ่ม และมีความสุขค่ะ”

ภาวินีรู้สึกชอบน้ำเสียงร่าเริงของคนข้างๆ จึงชวนคุยต่อ

“แล้วถนัดทำอาหารประเภทไหนบ้างล่ะ?”

เธอนิ่งคิดนิดนึง “อาหารไทยค่ะ รองลงไปก็อาหารฝรั่งกับญี่ปุ่น”

“แล้วฉันจะมีโอกาสได้ชิมไหมเนี่ย?”

สาวสวยนึกสนุก และอยากทานอาหารฝีมือเชฟสาวขึ้นมากะทันหัน อยากรู้จริงๆ ว่า ‘ฝีมือดี’ แบบที่น้าสาวบอกน่ะ...ขนาดไหน? จะเก่งได้สักกี่ส่วนของรสริน?

“ถ้าอยากทาน ไว้เมจะทำให้ทานนะคะ” เชฟสาวพูดยิ้มๆ เพราะไม่คิดว่าอีกคนจะจริงจังอะไร ก็แค่ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยมากกว่า

ภาวินีนึกถึงรายการอาหารจากเมนูที่เห็นผ่านตาเมื่อตอนกลางวัน

“งั้นพรุ่งนี้มื้อเที่ยง ขอข้าวแกงกระหรี่กับสลัดหมูทอดน้ำใส”

'เอาจริงเหรอเนี่ย?'

ร่างสูงชะงักชำเลืองมองหน้าหล่อนอย่างสงสัย

สาวสวยเอียงคอมาถามเชฟสาว

“ได้ไหม?”

“อา...ได้ค่ะ” เชฟที่ดีต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าเสมอ

ภาวินีไม่พูดต่อ แค่ยกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก นึกยินดีที่อีกคนตามใจ

รอยยิ้มของคนข้างตัวทำให้เมธาวีรู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ หัวใจดวงน้อยสั่นแรง หวั่นไหว เข่าอ่อนยวบจนแทบยืนไม่อยู่ ไม่ต่างจากที่เห็น ‘รอยยิ้ม’ ของหล่อนครั้งแรกตอนกลางวันเลย จนนึกสงสัยอาการของตัวเอง

'นี่มันอะไรกัน?'

เมื่อเข้าไปใกล้บริเวณแค้มป์ไฟ ก็ได้ยินเสียงดนตรีดังกระหึ่มผ่านลำโพงมา ต้นไม้โดยรอบตลอดแนวมีการประดับประดาดวงไฟระยิบระยับหลากสี เพื่อสร้างบรรยากาศให้โรแมนติก

คู่รักหลายคู่ทั้งคนไทยและต่างชาตินั่งควงแขนออดอ้อน บ้างก็ซบไหล่ บ้างก็ซุกไซ้ จนถึงกอดจูบสนิทสนมแบบไม่สนใจสายตาใคร ประหนึ่งว่าโลกนี้มีเพียงสองเราเท่านั้น

'มาทำอะไรกันแบบนี้ น่าเกลียดชะมัด'

ร่างบางบ่นในใจ รู้สึกอับอายขวยเขินเกินกว่าจะจ้องมอง ได้แต่เบนสายตาไปทางอื่น แล้วรีบก้าวเท้ายาวๆ เพื่อไปหาน้าสาว...ไม่อยากเป็นตากุ้งยิง

'ขี้อายเหมือนกันนะเนี่ย'

เมธาวีนึกขำกับอากัปกิริยาของหล่อน ตอนที่มาทำงานที่นี่ใหม่ๆ ก็ไม่ชินกับภาพคนกอดจูบกันตำตา แต่เธอเก็บอาการได้ดีกว่าภาวินีมาก

ผ่านไปสองปีตอนนี้เริ่มเฉยๆ ภูมิต้านทานเยอะขึ้น ลูกค้าอยากทำไรก็เชิญ แต่ถ้าเริ่มอนาจารเข้าข่ายเรตอาร์เรตเอ็กซ์ก็เรียกรปภ.มาเชิญกลับห้อง...ส่วนคู่รักจะไปทำอะไรกันต่อในห้อง ไม่ใช่ธุระของเธอ

เมื่อสองสาวไปถึงส่วนที่จัดไว้สำหรับแค้มป์ไฟ เห็นกองไฟกองโตลุกโชนอยู่เหมือนประกอบงานเลี้ยงโบราณ มีผู้คนจำนวนมากมายนับร้อยชีวิตกำลังร้องเพลงเฮฮา ดื่มกิน หรือไม่ก็เต้นรำรอบกองไฟอย่างสนุกสนาน ด้านข้างมีเวทีสำหรับนักดนตรีบรรเลงเพลงเต้นรำ Irish Music and Dance

ถัดไปด้านใน มีซุ้มอาหารซึ่งเน้นพวกบาร์บีคิว ของทะเลที่ปิ้งย่างร้อนๆ ให้เลือกทานตามอัธยาศัย รวมถึงข้าวผัดกุ้ง และพวกกับแกล้มอีกนิดหน่อย ส่วนอีกซุ้มเป็นเครื่องดื่มที่มีสารพัด ตั้งแต่ไร้แอลกอฮอล์ ไวน์ เบียร์ ไปจนถึงพวกดีกรีแรงๆ ที่จัดไว้เอาใจนักดื่มโดยเฉพาะ

โต๊ะเก้าอี้เตี้ยแบบญี่ปุ่นถูกจัดวางไว้หลายสิบตัว ซึ่งล้วนแล้วแต่มีคนนั่งอยู่ หาที่ว่างแทบไม่ได้ จำลองบรรยากาศแบบต่างประเทศ ผสมกับกิจกรรม Full Moon เข้าไว้ด้วยกัน โดยจัดเป็นเทศกาลปีละสองครั้งตอนพระจันทร์เต็มดวง คล้ายฟูลมูนปาร์ตี้ที่เกาะพะงัน

ร่างบางกวาดสายตามองไปโดยรอบอย่างสนใจ ไม่คิดว่าที่นี่จะมีกิจกรรมน่าสนใจแบบนี้ เริ่มไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไมกิจการถึงได้ขยายตัวรวดเร็ว

'น้านงทำได้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ'

“น้านงอยู่ทางโน่นค่ะ” เมธาวีบอกเพื่อนร่วมทางชี้นิ้วไปมุมหนึ่งด้านในไม่ไกลนัก แล้วสองสาวตรงไปด้านนั้นทันที

ที่ซุ้มอาหารรสรินกำลังง่วนอยู่กับการย่างปลาหมึก มีหนึ่งหญิงหนึ่งชายเป็นผู้ช่วยรับมือกับกุ้งและปลา แค้มป์ไฟคืนนี้มีแขกเยอะกว่าปกติ เริ่มงานได้ไม่ถึงสองชั่วโมงของสดที่เตรียมไว้พร่องไปเกือบครึ่ง นงรามต้องโทรสั่งของสดให้รีบมาส่ง ก่อนที่จะทำให้งานกร่อย

“ขอตัวก่อนนะคะ” เมธาวีพูดเบาๆ เมื่อเห็นอีกคนพยักหน้า จึงแยกตัวไปทำหน้าที่ของตน

“คนเยอะจังเลยนะคะ” หล่อนพูดกับน้าสาวที่เพิ่งเลิกคุยโทรศัพท์

“เยอะเกินคาดเลยล่ะ” นงรามตอบเสียงร่าเริง “แล้วภาคิดว่าแค้มป์ไฟที่นี่เป็นไงคะ พอไหวไหม?”

เธออยากได้คำติชมจากหลาน เพื่อปรับปรุงให้กิจการที่นี่เจริญขึ้น รับฟังทุกความคิดเห็น เน้นสร้างจุดเด่นจุดแข็งของธุรกิจ ลดข้อด้อยให้มากที่สุด เป็นวิธีการที่นงรามใช้มาตลอดหลายปี และได้ผลดีมากด้วย

“บอกตรงๆ ว่า ภาไม่นึกว่าที่นี่จะมีอะไรแบบนี้ด้วย...เยี่ยมมากเลยค่ะ” หลานสาวตอบอย่างตรงไปตรงมา

“น้าดีใจที่ภาชอบ”

“ท่าทางคนที่มาที่นี่ ดูมีความสุขมากเลยนะคะ” หล่อนพูดขึ้นลอยๆ เสียงเศร้า หลังสังเกตเห็นแขกเกินครึ่งมากับคนรัก แบ่งตามรสนิยมครบทุกกลุ่มทุกแบบ ชายหญิง ชายชาย และหญิงหญิง

“กิจกรรมนี้จัดขึ้นโดยมีความเชื่อที่ว่า หากได้มากับคู่รัก ความรักของพวกเขาจะยั่งยืน ส่วนคนที่ไร้คู่ก็จะได้พบกับตัวจริงในไม่ช้า” นงรามอธิบายวัตถุประสงค์ของการจัดงานคืนนี้...การบูชาพระจันทร์วันเพ็ญ

“หืม?” หล่อนหันมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“เป็นความเชื่อน่ะ” น้าสาวพูดยิ้มๆ เดาได้ว่าอีกคนกำลังคิดอะไรอยู่

“ฟังแล้วงมงายไปนะคะ” หล่อนพูดสิ่งที่คิดออกมา

ภาวินีเป็นพวกหัวสมัยใหม่ เชื่อในวิทยาศาสตร์ เป็นนักเรียนนอก มีความเป็นฝรั่งสูง ประกอบกับใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเกือบสิบปี หัวโบราณจริงก็ไม่กี่เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้รับการปลูกฝังมาจากนงรามนั่นแหละ

“เรื่องบางอย่างก็พูดยากนะ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่...” นงรามพูด

'…โดยเฉพาะเรื่องพรหมลิขิต'

ผู้เป็นน้าคิดต่อในใจ ไม่กล้าพูดออกไป กลัวจะไปกระทบต่อมน้ำตาของหล่อนเข้าอีกรอบ

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้สักสิบปีเธอก็ไม่เคยเชื่อเรื่อง ‘ชะตาฟ้าลิขิต’ อะไรทำนองนี้สักเท่าไหร่ ค่อนข้างจะแอนตี้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อเจอกับตนเอง ‘ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ’

ผู้หญิงธรรมดาที่ชอบผู้ชายอยู่ดีๆ มาลงเอยอยู่กินกับเพศเดียวกัน ไม่เรียกว่าพรหมลิขิตแล้วเรียกอะไร...ตลกร้าย?

“หาอะไรทานก่อนดีกว่า น้าเริ่มหิวแล้วล่ะ” นงรามเปลี่ยนเรื่องคุยจูงมือนิ่มของหล่อน ไปหยุดตรงหน้าซุ้มอาหาร แล้วหันไปบอกอย่างอ่อนโยนเหมือนหญิงสาวตรงหน้าเป็นเด็กตัวเล็กๆ “อยากทานอะไรก็เลือกนะ”

“ค่ะน้านง”

ภาวินีรับคำ หยิบจานกับช้อนส้อมใส่ถาด ตักข้าวผัดกุ้งหนึ่งทัพพี แล้วหยิบกุ้งกับปลาหมึกปิ้งมาอย่างละสองไม้ โดยไม่ลืมราดน้ำจิ้มรสเผ็ด และหยิบน้ำเย็นมาสองแก้ว

ส่วนนงรามตักข้าวใส่จานของตน พร้อมกับแกล้มสองสามอย่าง

“ถ้าไม่พอ รับเพิ่มอีกได้นะคะ” เมธาวีซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นพูดกับหล่อน

คนฟังแค่พยักหน้า เมื่อตักอาหารเสร็จ ก็เดินตามน้าสาวไปนั่งโต๊ะว่างที่อยู่ไม่ไกลจากซุ้มอาหารนัก

“ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่?” รสรินถามหลานสาวอย่างสงสัย เพราะบังเอิญได้ยินคำเชิญชวนของเชฟสาวเข้าพอดี

“ไม่ได้สนิทนะคะ แค่คุยกันได้เฉยๆ” คนเป็นหลานตอบ โดยไม่ละความสนใจจากงานตรงหน้า

เมธาวีไม่คิดว่าภาวินีจะยอมสนิทกับใครง่ายๆ โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งรู้จักอย่างเธอ แค่คำแทนตัว ‘ฉัน’ ก็น่าจะบอกอะไรได้มากพอสมควร...คนละ ‘ชั้น’

“งั้นเหรอ?” เชฟใหญ่ไม่ค่อยเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายเท่าไหร่ แต่เธอแค่สังหรณ์ใจ หาหลักฐานมาอ้างอิงไม่ได้

...คงต้องดูกันต่อไป ว่า Six Senses ของเธอทำงานถูกต้องไหม?

หลังนั่งทานอะไรไปไม่กี่คำ ภาวินีหันไปเห็นเมธาวีคุยกับผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันที่กำลังช่วยอยู่ที่ซุ้มอาหารอย่างสนิทสนม แถมหัวเราะต่อกระซิกกัน ‘ไม่เหมือน’ กับตอนอยู่กับหล่อนเลย จึงนึกเดาไปว่า เขาน่าจะเป็น ‘คนพิเศษ’

“ผู้ชายคนนั้นใครคะ? คนที่ยืนใกล้ๆ กับน้องเม” ร่างบางอดเอ่ยปากถามออกไปไม่ได้

นงรามมองตามสายตาคมของหล่อน

“อ๋อ ตาป้องเป็นเพื่อนของน้องเม ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ได้ทำงานที่นี่หรอกนะ เป็นไกด์บริษัทที่ทางเราร่วมงานด้วย”

'เพื่อน? ดูยังไงก็ไม่เหมือน'

หล่อนตั้งข้อสงสัยในใจ ปากก็เลยถามต่อไปว่า

“ท่าทางสนิทกันนะคะ”

“ตาป้องเป็นคนนิสัยดี ขยันขันแข็ง ท่าทางจะจริงจังกับน้องเมมาก” นงรามพูดกลางๆ

เธอไม่แน่ใจเลยว่าเมธาวีจะเลือกผู้ชายคนนี้ เท่าที่เห็นร่างสูงวางตัวกับเขาไม่เหมือนเป็นคนพิเศษเท่าไหร่ เหมือนเพื่อนมากกว่า แต่ก็นั่นแหละคู่รักหลายคู่ลงเอยกัน หลังเริ่มต้นจากความเป็นเพื่อน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเดาอนาคต ต้องปล่อยให้เจ้าตัวตัดสินใจเอาเอง

'แบบนี้คงไม่ใช่เลส...เหมือนน้าสินะ'

ภาวินีสรุปในใจ ก่อนหันมาให้ความสนใจกับอาหารอร่อยตรงหน้า

“อร่อยไหม?” ผู้เป็นน้าถาม

“ค่ะ” หล่อนตอบ

“ฝีมือน้องเมทำได้อร่อยทีเดียว” เจ้าของรีสอร์ตออกอาการชื่นชมหลานสาวของคนรักมาก “ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ ช่วยแบ่งเบางานน้ากับคุณรสไปเยอะมาก”

'น้านงชมมากเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?'

ภาวินีไม่อยากจะเชื่อว่า เชฟใหม่ที่ผ่านงานไม่กี่ปีแบบเมธาวี จะเก่งกาจอะไรนักหนา ฝีมือไม่น่าถึงครึ่งของรสรินเลยด้วยซ้ำ

“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”

“น้าพูดจริงนะไม่ได้ชมเลย...แต่เสียดายอีกไม่นาน น้องเมก็คงไม่ได้ทำงานที่นี่แล้วล่ะ” นงรามพูดเสียงเศร้าๆ

หล่อนรู้สึกแปลกๆ เหมือนใจหาย

“ทำไมละคะ?”

“คุณรสอยากให้น้องเมไปหาประสบการณ์ ไม่อยากให้มาจมปลักอยู่แบบนี้ น้าเสียดายนะ เด็กดีมีฝีมือ แต่ก็เห็นด้วยกับคุณรส”

“ก็จริง” หล่อนพึมพำตอบ เข้าใจความคิดของผู้ใหญ่ทั้งสอง เพราะก่อนที่จะมาเปิดห้องเสื้อของตน ภาวินีเองก็ต้องไปฝึกงานหลายแห่ง เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ที่ไม่มีสอนในโรงเรียน

...คนเราจะหยุดเรียนรู้ไม่ได้ แค่รู้น้อย รู้ช้ากว่าคนอื่น ก็อาจจะตกยุค ล้าหลังเป็นเต่าล้านปีได้ง่ายๆ

ทั้งคู่คุยน้อยลงสลับกับรับประทานอาหาร หลังซุ้มอาหารไม่วุ่นวาย รสรินยกถาดอาหารและเครื่องดื่มมานั่งร่วมโต๊ะด้วย โดยเธอเลือกที่จะสงบปากสงบคำ เป็นผู้ฟังที่ดีเลิศ ไม่ได้กลัวหรือเกรงใจภาวินี...หากแต่กลัวอด ‘สัญญา’ ที่จะเรียกร้องคืนนี้จากคนรักต่างหาก

‘อดข้าวมื้อสองมื้อแค่โหยหิว
...อดเชยชิมนงรามแทบขาดใจ’

ก่อนสามทุ่ม ผู้ใหญ่ทั้งคู่ขอตัวกลับที่พัก เพื่อไป ‘ปฏิบัติตามสัญญาสามยก’ ปล่อยให้ภาวินีต้องนั่งว้าเหว่เอกาเพียงลำพัง

เสียงเพลงบนเวทีเปลี่ยนจังหวะจากเร็วเป็นช้าเอาใจแขก จังหวะช้าๆ ชวนซบไซ้ยิ่งนัก คู่รักหลายคู่เคลิบเคลิ้มตามทำนองเพลง ชวนคนไร้คู่ให้อิจฉาตาร้อน ช่างเป็นกิจกรรมที่ไม่ควรมาคนเดียวเลย...บาดตาบาดใจ

หล่อนนึกหงุดหงิดคู่รักหลายคู่ที่นั่งโต๊ะใกล้ๆ ที่ไม่นั่งฟังเพลงเฉยๆ หากแต่กอดจูบนัวเนียซุกไซ้จนนึกหมั่นไส้ขึ้นมา

'ใจคอจะโชว์สดกันตรงนี้เลยรึไง?'

ภาวินีนึกประชดในใจ ก่อนลุกไปซุ้มเครื่องดื่มที่อยู่ติดกับซุ้มอาหาร แล้วไปสะดุดตากับเจ้ากระป๋องน้ำสีเงินเข้า เลยคว้าติดมือมาด้วยสี่กระป๋อง เบียร์ยี่ห้อที่เคยดื่มตอนอยู่ต่างประเทศ ซึ่งมีดีกรีแรงเอาการ

หลังกลับมานั่งที่โต๊ะเดิม หล่อนเปิดฝากระป๋อง ก่อนยกจิบน้ำเมา สายตาคู่คมเงยขึ้นชื่นชมความงดงามของธรรมชาติ ท้องฟ้าที่มีจันทราดวงโตลอยเด่น ปล่อยใจให้คล้อยไปตามจังหวะเพลง Can't take my eyes off you

...เพลงที่พีระเคยดีดกีตาร์ และร้องตอนที่จีบหล่อนใหม่ๆ ในงานวันเกิดของภูวดล

...เพลงที่ทำให้หล่อนกับเขา เริ่มต้นคบหากันฉันคนรัก

...ยิ่งฟังก็ยิ่งเจ็บ แผลสดที่ไม่ทันแห้งดี ถูกคุ้ยเขี่ยให้ฉีกขาดอีกครั้ง

ภาพตรงหน้าทับซ้อนกับความทรงจำเลวร้ายที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆ ทำให้ภาวินีร้อนรุ่ม คว้าน้ำเมาขึ้นซดรวดเดียวหมด ก่อนคว้าอีกกระป๋องมาเปิดแล้วซดต่อ

'คนบ้า คนหลายใจ คนใจร้าย...'

ร่างบางนึกต่อว่าพีระเป็นชุด ความน้อยใจเสียใจที่พยายามเก็บกดไว้ล้นทะลัก ไม่ต่างจากภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิดสักเท่าไหร่ ร้อนแรงแผดเผาหัวใจให้บอบช้ำอีกรอบ...รอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้

หญิงสาวไม่เคยรู้สึกผิดหวังมากมายขนาดนี้มาก่อน อาจเพราะก่อนหน้านี้ หล่อนไม่เคยจริงจังกับความรักมากนัก แค่คบแค่ควงชั่วครั้งชั่วคราว เบื่อก็เลิกราทางใครทางมัน พีระเป็นคนแรกที่หล่อนคิดจริงจังด้วย และเขาก็ทำร้ายจิตใจกันอย่างที่สุด

...รักมาก เชื่อใจมาก เวลาผิดหวังก็เจ็บเป็นทวีคูณ แทบตายทั้งเป็น หล่อนเพิ่งเข้าใจว่า ทำไมคนโบราณถึงสอนให้รู้จักคำว่า ‘อะไรๆ ก็ไม่เที่ยง’

แล้วนักดนตรีก็เล่นเพลง And I love you so อีกเพลงที่ตอกย้ำก้อนเนื้อในอกให้เลือดสาด บทเพลงที่เขาร้องให้ในวันหมั้นที่ผ่านมาไม่นานนี้เอง

ภาวินีรู้สึกเหมือนหัวใจสลายจนต้องปิดเปลือกตาลง หมายสกัดกั้นไม่ให้น้ำตาทะลักล้นออกมาประจานตัวเอง แค้นใจเสียใจมากมาย จนหาคำบรรยายไม่ได้

'ฉันคงไม่มีค่าไม่ดีพอ...คุณถึงทำกับฉันแบบนี้ ใช่ไหมคะพีระ?'

ร่างบางคิดเองเออเองในใจ

หล่อนเปิดเปลือกตาคู่คมขึ้น กระดกเบียร์ในมือหมดไปอีกกระป๋อง ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเพิ่มสูง จนมองเห็นภาพเบลอภาพซ้อน น้ำใสๆ ไหลรินเป็นทางเปื้อนใบหน้าสวยหวาน

“เม” ป้องเรียกชื่อเชฟสาวที่กำลังง่วนกับงานตรงหน้า

“อะไรเหรอป้อง?” เธอถามโดยไม่ได้ละสายตาจากการปิ้งปลาหมึกกับของทะเลตรงหน้า

“หลานสาวน้านงซดเบียร์เป็นน้ำเลยนะนั่น จะไหวหรือเปล่า?” ชายหนุ่มพูดอย่างเป็นห่วง

เขารู้ฤทธิ์เจ้าเบียร์กระป๋องยี่ห้อนี้ดีว่า ‘แรง’ ขนาดไหน แค่ซดไม่กี่กระป๋องก็ทำเอาเมาหัวทิ่มไม่เป็นผู้เป็นคน บ่ายอีกวันปวดหัวแทบระเบิด

เมธาวีเอี้ยวตัวมองไปยังโต๊ะที่หล่อนนั่งอยู่ และสังเกตเห็นร่างบางนั่งทรงตัวไม่ตรงนัก แถมยังยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้งหลายครั้ง ก่อนยกเบียร์ขึ้นอึกแล้วอึกเล่า ประหนึ่งของเหลวนั้นเป็นแค่น้ำเปล่า

'เมาแล้วสิท่า...'

เชฟสาวไม่ทันจะตกลงใจว่าจะทำอย่างไรดีกับ ‘เมรีขี้เมา’ ก็มีฝรั่งหน้าหล่อผมสีทองคนหนึ่ง อายุสามสิบเศษ เดินไปนั่งร่วมโต๊ะกับหล่อนโดยไม่ได้รับเชิญ

สาวร่างสูงเคยเห็นหมอนี่พูดจากำกวมกับพนักงานสาวๆ หลายคน ประมาณว่าจีบ แต่ไม่มีใครเล่นด้วย แถมเคยเห็นเขาหิ้วสาวจากไหนไม่รู้มาค้างด้วยไม่ค่อยซ้ำหน้าในรอบหลายวัน...เสือผู้หญิงตัวพ่อชัดๆ

เธอไม่ต้องใช้สมองคิดมากก็รู้ว่า ฝรั่งขี้นกมีเจตนาไม่ดีไม่งามนักกับภาวินี เมธาวีเริ่มนึกปวดหัวตุ๊บๆ ขึ้นมาทันที

'งานเข้าแน่คืนนี้...เอาไงดีล่ะเนี่ย?'

OoXoO



Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2558 14:50:18 น. 0 comments
Counter : 869 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com