ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
 
พฤษภาคม 2558
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
2 พฤษภาคม 2558
 
 
อีกสักครั้ง? Again? ฉบับรีไรท์ ตอนที่ ๒

https://www.youtube.com/watch?v=jiBJNbts1IE



ประมาณหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น ก๊วนเพื่อนสนิทก็นัดเจอกันเพื่อพบปะพร้อมหน้าพร้อมตา หลังไม่เจอกันนานกว่าเจ็ดปี ที่ภัตตาคารของครอบครัวมนัสนันท์ ตอนแรกตั้งใจจะไปทานที่ร้านอื่น แต่ทันทีที่เชฟใหญ่เสนอตัวเป็นเจ้ามือ ทุกคนรีบตกปากรับคำอย่างรวดเร็วเพราะกลัวอีกฝ่ายเปลี่ยนใจ

ตอนนี้สมาชิกร่วมโต๊ะมีแค่สามคน ขาดไปหนึ่งที่ยังมาไม่ถึง เลยสั่งออเดิร์ฟกับเครื่องดื่ม เพื่อกินรอไปพลางๆ ก่อน กนกฉัตรนั่งเก้าอี้ตรงข้ามนัทชากับมนัสนันท์ เว้นที่นั่งข้างๆ เอาไว้สำหรับบงกช ที่ยังไม่แน่ใจนักว่า จะมาหรือเปล่า?

“แถบนี้หาร้านอร่อยยาก ร้านเชฟนันท์อร่อยที่ซู้ด” กนกฉัตรป้อยอเสียงอ่อนเสียงหวาน

“หวานมาเชียว ที่อร่อยเนี่ย เพราะฟรีรึเปล่ายะคุณฉัตร” มนัสนันท์แขวะคู่กัดตลอดกาล

“แหมคุณนันท์ ทำไมมองฉันในแง่ร้ายแบบนั้น นี่ฉันชมจากใจจริงเลยนะ” แสร้งตีหน้าเศร้า ราวกับเป็นนางเอกในละครหลังข่าว

“อ๋อเหรอ” เชฟใหญ่ทำหน้าไม่เชื่อ

“ใจร้าย” วิศวกรสาวต่อว่าเบาๆ พร้อมส่งค้อนวงใหญ่ให้เพื่อน

“ชิส์” มนัสนันท์ทำหน้าเบ้ให้สาวเปรี้ยวเฉกเช่นปกติ

นัทชาอมยิ้มฟังการจิกกัดของเพื่อนสองคน ที่ดูจะไม่เคยลดดีกรีลงจากตอนสมัยเรียนเลย เหมือนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่นานนัก ทั้งที่ถ้านับเวลากันจริงๆ ก็คงเกินสิบปี เธอแอบใจลอยไปไกล จนไม่ได้ฟังคำโต้เถียงของเพื่อนร่วมโต๊ะ จนกระทั่งได้ยินเสียงกนกฉัตรเรียกชื่อ

“นัท”

“หืม” สาวแว่นขานรับในลำคอ

“ตกลงแกรับงานโรงแรมเมืองชลฯ ใช่หรือเปล่า?” สาวเปรี้ยวถาม เพราะได้ยินสถาปนิกชายคนหนึ่งบ่นเสียดายที่ไม่ได้แสดงฝีมืองานนี้ แต่ก็ไม่ได้ซักต่อว่าใครได้ไป เพราะมัวแต่ยุ่งหัวปั่นกับงานของตัวเอง

“อือ คุณน้าเห็นแบบร่างของฉันแล้วถูกใจ เลยให้ทำ” นัทชาตอบเสร็จรีบจิบน้ำเปล่า เพื่อบรรเทาอาการเผ็ดร้อนในปาก เธอชื่นชอบรสชาติอาหารแม้จะรสจัดไปสักหน่อย ด้วยความเกรงใจจึงไม่หลุดปากบ่นออกมา

“เยี่ยมไปเลย” มนัสนันท์หรือเชฟใหญ่ทำหน้าดีใจตื่นเต้น พร้อมโอบไหล่อีกฝ่ายอย่างสนิทสนม

“งานนี้เขี้ยวเอาการ มีบริษัทอยากได้หลายเจ้าอยู่” วิศวกรสาวทำหน้าเครียดพูดเสียงเข้มจริงจัง ก่อนกระดกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีเข้มหมดไปเกือบครึ่งแก้ว แล้วทำเหยเกเพราะความขมขื่นอบอวลในช่องปาก

“ขนาดนั้นเชียว” เชฟใหญ่แสดงสีหน้าวิตกออกมาชัดเจน

“เท่าที่รู้มีอย่างน้อยสองเจ้าอยากได้ รายใหญ่ซะด้วย” เธอรู้ข่าววงในบริษัทอื่นมากพอสมควร ถือคติ ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’

“แล้วนัทจะสู้ไหวหรือเปล่า?” มนัสนันท์พึมพำอย่างกังวลออกมา

“มาถามฉันได้ไง ไปถามคนออกแบบสิคะ คุณนันท์ขา” สาวเปรี้ยวเริ่มยียวน นึกหมั่นไส้เชฟใหญ่ที่เป็นห่วงนัทชาออกนอกหน้า หยั่งกับสาวแว่นเป็นเด็กตัวเล็กเหมือนเดิมไม่มีผิด

แม่ครัวส่งค้อนหนึ่งวงให้คู่กัด ก่อนหันไปถามเพื่อนอีกคนด้วยสุ้มเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล

“ไหวไหมนัท?”

“ก็เต็มที่นั่นแหละ แค่ไหนแค่นั้น” เธอตอบด้วยประโยคที่คุ้นชินติดปาก สัมผัสได้ถึงความห่วงใยของเพื่อนที่มีให้สม่ำเสมอไม่เคยเปลี่ยน

หลายครั้งที่กนกฉัตรจะแขวะลับหลังว่า ‘ยายคุณนันท์ชอบทำหยั่งกับแกเป็นลูกน่ะ’ ซึ่งตอนนั้นเธอก็อดขำไม่ได้ แต่เมื่อนึกอีกทีก็เหมือนจะใกล้เคียงไม่น้อย

“ฉันเอาใจช่วยนะ ฉันเชื่อว่านัทต้องทำได้” เชฟใหญ่ยิ้มกว้างบีบมือของอีกฝ่ายที่วางบนโต๊ะเบาๆ พลอยทำให้สาวแว่นรู้สึกดีไปด้วย

“ขอบใจนะ” นัทชาพึมพำอย่างซาบซึ้ง

วิศวกรสาวหรี่ตาเพ่งมองเพื่อนสนิทสองคนสลับกันไปมา เริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม แต่เธอเลือกที่จะจับสังเกตต่อไป กนกฉัตรจัดเป็นพวกมีลางสังหรณ์ดีแบบแปลกๆ

“โทษทีที่มาช้า” เสียงของใครคนหนึ่งดังจากด้านหลังของนัทชา

“นึกว่าจะมาพรุ่งนี้เสียอีก” วิศวกรสาวเปิดฉากกัดผู้มาใหม่ทันทีที่เห็นหน้า

“เกินไปย่ะคุณกนกฉัตร ฉันมัวแต่เสียเวลาแก้บทสัมภาษณ์ของรุ่นพี่ชนากานต์อยู่หลายรอบ เพราะเขียนไม่ถูกใจเจ้านาย หิวชะมัดมีอะไรกินบ้าง?” บงกชอธิบายปนบ่น พลางทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ โดยไม่ได้ดูว่ามีใครอีกคนหน้าซีดจนเกือบขาวเมื่อได้ยินคำว่า ‘ชนากานต์’

“นัท...” สาวนักข่าวงึมงำ เรียกชื่อคนที่นั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหลังเห็นใบหน้าชัดๆ พลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พลันแอบคิดในใจ

'ซวยแล้วฉัน'

“เอ่อ...กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” รีบเปลี่ยนเรื่องพูดแทบจะทันที

“หลายวันแล้วล่ะ” นัทชาตอบเสียงเย็น ใบหน้าคมเคร่งขรึม ทำให้บรรยากาศสนุกสนานบนโต๊ะอาหารเปลี่ยนเป็นตึงเครียดในพริบตา

กนกฉัตรเอียงตัวกระซิบต่อว่าบงกชให้ได้ยินกันเพียงสองคน

“พูดอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือเลยจริงๆ นะแก”

“ก็ฉันไม่เห็นนี่...แล้วทำไมแกไม่บอกฉันว่า นัทกลับมาแล้ว” อีกคนพูดเบาๆ ผ่านไรฟัน

“เซอร์ไพรส์ไง” สาวเปรี้ยวเอ่ยหน้าตาย

“เซอร์ไพรส์มากเลยทีนี้” บงกชประชดกลับแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเหลือบเห็นสายตาพิฆาตจากเชฟใหญ่ที่ส่งมาให้เธอแบบเต็มๆ ทำให้รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นสงบเสงี่ยมทันที

'น่ากลัวชะมัด'

นัทชานิ่งเงียบ ก้มหน้าแทบไม่ต่างจากรูปปั้น ทำเอาสามสาวไม่รู้จะทำยังไงต่อได้แต่มองหน้ากันไปมา สองสาวกล่าวโทษบงกชด้วยสายตา ซึ่งนักข่าวสาวได้แต่ทำหน้าแหยๆ

“ยกอาหารมาเลยดีไหม?” เชฟใหญ่ชวนขึ้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ และหวังว่าจะทำให้เพื่อนสนิทกลับมาร่าเริงเหมือนก่อนหน้านี้

“เอาสิ ฉันหิวแล้วล่ะ” กนกฉัตรรีบกระโดดรับไม้ทันที

“ฉันก็หิวเหมือนกัน” บงกชเออออ

“แล้วนัทล่ะ ทานเลยนะ?” เชฟสาวถามเสียงหวาน แสดงความเป็นห่วงออกมาชัด

นัทชาเงยหน้าขึ้นไม่พูดอะไร แค่พยักหน้า แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เพื่อนร่วมโต๊ะคลายความกังวลไปได้บ้าง

'เกือบแปดปี เจ้าบ้านี่ยังไม่เลิกฝังใจอีกเหรอเนี่ย'

กนกฉัตรนึกอย่างแปลกใจ ซึ่งไม่ต่างจากเพื่อนสนิทอีกสองคนนัก เพียงแต่ไม่มีใครกล้าปริปากออกมาดังๆ

ไม่กี่นาทีต่อมา อาหารอร่อยหน้าตาดีหลายจานก็มาวางเรียงจนเต็มโต๊ะ ชวนให้คนเห็นน้ำลายสอ ตามด้วยไวน์ชั้นเลิศที่เชฟใหญ่ตัดใจเปิดกรุสมบัติออกมาให้ลิ้มรส

ระหว่างรับประทาน บงกชกับกนกฉัตรผลัดกันเล่าเรื่องตลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกเดอตี้โจ๊ก เรียกเสียงหัวเราะได้บ่อยครั้ง ทำให้ความตึงเครียดค่อยๆ จางลงตามลำดับ ส่วนมนัสนันท์มีหน้าที่คะยั้นคะยอ ชิมโน่นชิมนี้ทำให้นัทชายิ้มแย้มออกมาได้บ้าง ไม่ฝืดเฝือเหมือนตอนแรก

และแล้วอาหารมื้อนั้นก็ผ่านไปด้วยดี ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย มีแต่อิ่มท้องและมึนเมาบ้างเล็กน้อย แม้จะไม่เฮฮาร่าเริงเหมือนสมัยวัยรุ่น แต่ความสนิทสนมกลมเกลียวของกลุ่มเพื่อนก็มิได้ลดน้อยถอยลงไป

สี่ทุ่มกว่าทุกคนก็สลายตัวแยกย้ายกลับรังของตัวเอง โดยสาวแว่นได้รับความอนุเคราะห์จากสาวเปรี้ยวแวะมาส่งถึงประตูบ้าน แต่อีกฝ่ายไม่กล้าเสนอหน้าไปให้มนรดาเห็น ด้วยเกรงว่าจะได้รับพรชุดใหญ่

“ไว้เจอกันพรุ่งนี้ที่ออฟฟิศ” วิศวกรสาวบอกก่อนที่เพื่อนจะลงจากรถอย่างงุ่มง่าม คืนนี้ดูเหมือนนัทชาจะดื่มหนักกว่าทุกคน แต่ก็ไม่ได้เมามายจนขาดสติ

“ขอบใจนะฉัตร” สาวร่างโปร่งพูดอย่างซาบซึ้ง เสียงอู้อี้กว่าปกติลงไปยืนโซเซข้างรถหน้าประตูบ้าน

“ไปเข้าบ้าน เดินระวังด้วย อย่าซุ่มซ่ามวัดพื้นล่ะ”

“อือ...บาย” นัทชาโบกมือลาเพื่อนอีกรอบ

“เออ ไปได้แล้ว” กนกฉัตรโบกไม้โบกมือไล่ รอจนเพื่อนไขประตูแล้วผลุบหายเข้าไปด้านใน จึงเคลื่อนรถออกไป เพื่อกลับบ้านตัวเอง

'ฉันโชคดีจริงๆ ที่มีเพื่อนแบบพวกเธอ'

นัทชาคิดในใจ ใบหน้าคมอมยิ้มน้อยๆ ก่อนผล็อยหลับบนเตียงไปด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์


หลังทำงานเกือบสองอาทิตย์ นัทชาไม่อยากรบกวนญาติผู้ใหญ่ หรือเพื่อนเวลาไปไหนมาไหน แต่จะให้ขึ้นแท็กซี่บ่อยๆ ก็ไม่สะดวกใจนัก หลังเห็นข่าวอาชญากรรมพาดหัวหนังสือพิมพ์ ชวนให้หวาดผวาอยู่บ่อยๆ เป็นความเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างที่สุด

“เอ่อ คือว่า นัทตั้งใจว่าจะซื้อรถไว้ใช้สักคันค่ะน้ามน” นัทชาพูดอย่างอ้อมแอ้มเกรงอกเกรงใจ

“เอาสิ จะได้สะดวก” มนรดาเห็นด้วย ไม่อยากให้อีกฝ่ายอึดอัดที่ต้องคอยอาศัยพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา น้าสาวรู้จักนิสัยขี้เกรงใจ และชอบความเป็นส่วนตัวสูงของหลานสาวเป็นอย่างดี

“งั้นพรุ่งนี้นัทไปจัดการเลยนะคะ?” ถามกึ่งขออนุญาตกลายๆ

ผู้เป็นน้าส่งยิ้มให้อย่างรู้ทันกับความใจร้อนของหญิงสาว

“ไปเลือกดูก่อน เอาให้ถูกใจ ถ้าตังค์ไม่พอก็บอกนะ จะให้ยืมแบบไม่คิดดอก”

“ค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะ” เธอโล่งอกที่อีกคนเห็นชอบด้วย

สถาปนิกใหญ่ไม่ซักไซ้ไล่เรียงว่า นัทชาจะเลือกรถอะไร รุ่นไหน ยี่ห้อไหน หรือแม้แต่ราคาก็ไม่ไถ่ถามซักคำ เธอเชื่อในการตัดสินใจของอีกฝ่าย และถือคติว่า...‘เลือกรถตามใจเจ้าของ น่าจะดีที่สุด’


เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ นัทชารีบอาบน้ำแต่งตัว เพื่อออกไปยังศูนย์จำหน่ายรถนำเข้ายี่ห้อที่เธอหมายตาตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียน โดยหาข้อมูลรถรุ่นนี้ผ่านอินเทอร์เนต และทดลองขับมาแล้วตอนอยู่อเมริกา แต่เพื่อความมั่นใจ จึงขอทดลองขับอีกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ

“คุณครับ ช่วยขับเบาๆ หน่อยเถอะครับ ผมจะไม่ไหวแล้วนะครับ” เซลล์แมนหนุ่มกระซิบด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วน รู้สึกคลื่นไส้มากมายกับการที่ต้องนั่งรถกับเธอคนนี้

“โทษที ลืมตัวน่ะค่ะ” นัทชารีบลดความเร็วของรถลง แล้ววนไปจอดเทียบหน้าอาคารโดยไร้รอยขีดข่วน

ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด ค่อยๆ ลงจากพาหนะด้วยแข้งขาที่สั่นอ่อนปวกเปียก นึกบ่นอีกฝ่ายในใจ

'ยายคนนี้เป็นพวกนักบิดหลงสนามหรือเปล่า?'

“ตกลงฉันซื้อรุ่นนี้สีดำ”

สาวร่างโปร่งไม่ลังเลใจที่จะควักกระเป๋าเกือบ ‘เก้าแสนบาท’ เพื่อสนองความชอบส่วนตัว พนักงานขายหนุ่มจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง พร้อมชุดของแถมครบตามที่ลงโฆษณาไว้

สาวแว่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เกือบตลอดทางที่ขับรถคันใหม่ ตั้งใจจะไปโชว์น้าสาวที่บ้านเป็นคนแรก

มนรดาตกใจแทบเป็นลม เมื่อเห็นพาหนะของหลานสาวมาจอดอยู่ในโรงรถ ชี้นิ้วสั่นระริกไปยังมอเตอร์ไซด์สีดำคันใหญ่ แล้วหันมามองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

“อย่าบอกนะว่า เราจะขี่ ‘ไอ้นี่’ ในกรุงเทพฯ จริงๆ?”

“ใช่ค่ะ” นัทชายืนยัน ฝืนเต็มที่ไม่ให้หลุดยิ้มหรือหัวเราะออกมา กับท่าทางตลกๆ ของญาติผู้ใหญ่

สถาปนิกใหญ่ส่ายหน้าอย่างเบื่อๆ

“น้าคิดไม่ถึงเลยนะว่า นัทจะซื้อรถแบบนี้”

“นัทชอบมาตั้งนานแล้วล่ะค่ะ แต่อยู่ที่โน่นไม่ค่อยได้ไปไหน เลยไม่รู้จะซื้อทำไม” เล่าด้วยน้ำเสียงหลงใหลในพาหนะสองล้อนี้อย่างมาก

ดูคาติ ไฮเปอร์สตราด้า 2013 สีดำ มอเตอร์ไซด์ยอดนิยมของพวกมีฐานะ ด้วยราคาเกือบเก้าแสน...ถือว่าแพงไม่ใช่เล่น ราคาที่สามารถซื้อเก๋งรุ่นท๊อปบางยี่ห้อได้เลยด้วยซ้ำ

มนรดาเพ่งเจ้ารถยักษ์ตรงหน้า พร้อมสำรวจรูปร่างของมันอย่างละเอียด ยอมรับว่าดีไซน์ของคันนี้ดูดี ต่างจากสองล้อทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ยี่ห้อดังที่เคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง แต่เธอไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก

'สงสัยวันจันทร์ ฉันคงต้องให้นัทไปทำประกันชีวิต หรือไม่ก็เตรียมจองศาลาสวด'

นั่นคือความคิดแรกๆ ที่ปรากฏในหัวของสถาปนิกใหญ่ เธอได้แต่ตามใจหลานสาวคนเดียวอย่างปลงๆ

บ่ายวันเสาร์ถึงวันอาทิตย์ทั้งวัน นัทชาคลุกอยู่กับของเล่นใหม่เฝ้าเช็ดถูลูบไล้ ทำความสะอาดอย่างรักใคร่ทะนุถนอม หลายครั้งที่เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข ซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยนัก

สำหรับหญิงสาวที่ได้รับสมญาว่า ‘สาวเฉยยิ้มยาก’ เป็นความรู้สึกเบิกบานใจที่เธอแทบจะลืมเลือนไปนานแล้วว่าเป็นอย่างไร?


เช้าวันจันทร์ น้าหลานแยกกันเดินทางไปทำงานเป็นครั้งแรก โดยมนรดาต้องออกไปเช้ากว่าปกติ เพื่อไปเตรียมตัวพบลูกค้ารายใหญ่ ก่อนออกนอกประตูก็หันมากำชับหลานสาวเป็นครั้งที่ยี่สิบ ด้วยความเป็นห่วง

“เจอกันที่ทำงานนะนัท ขี่ระวังๆ หน่อยล่ะ”

“ค่ะ อีกไม่เกินชั่วโมงเจอกันค่ะ” สาวแว่นยิ้มน้อยๆ พร้อมรับคำ

นัทชามายืนส่งสถาปนิกใหญ่ที่ประตูรถ โบกไม้โบกมือให้น้าสาว ก่อนที่เก๋งคันหรูจะเคลื่อนพ้นประตูบ้าน จึงกลับเข้าไปในบ้าน เพื่อแต่งตัวเตรียมออกไปทำงานบ้าง

สาวแว่นเลือกสวมยีนสีดำซีด ใส่เชิ้ตสีเทาแขนยาวคลุมทับด้วยแจ๊คเกตสีน้ำเงินเข้มตัวโคร่ง ผูกรวบผมยาวแล้วทบขึ้น เพื่อไม่ให้ละต้นคอ ก่อนสวมหมวกกันน็อกเต็มใบสีดำคาดแดง ขยับขึ้นนั่งคร่อมมอเตอร์ไบด์คันโปรด

'ได้เวลาซิ่งแล้วเพื่อนยาก'

นึกในใจ ก่อนบิดกุญแจสตาร์ท

บรึ้น! บรึ้น! บรึ้น!

เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มราวฟ้าผ่า

หลังอุ่นเครื่องด้วยการบิดคันเร่งอยู่นานเกือบนาที จึงออกรถอย่างช้าๆ มอเตอร์ไซด์คันใหญ่ที่มีเสียงดัง เรียกความสนใจผู้คนที่พบเห็นไม่น้อย สายตาหลายคู่จับจ้องด้วยความชื่นชมปนอิจฉา ด้วยนึกว่า ‘เจ้าหนุ่ม’ นี่คงมีเงินหนา ถึงได้ออกสองล้อราคาแพงแบบนี้มาอวดสาว

แต่แล้ว ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น บริเวณสี่แยกที่ไม่ไกลจาก Finest Corp. เท่าไหร่

เอี๊ยด! โครม!

เสียงที่เกิดจากการเบรก และปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้น

มอเตอร์ไซด์คันใหญ่ไถลพุ่งไปข้างหน้า หลังถูก BMW ป้ายแดงเสยท้ายเข้าให้อย่างจัง ทำให้นัทชาลงไปนอนเอียงกะเท่เร่ วัดพื้นถนนอยู่ข้างใต้รถคันเก่งที่ตะแคงอยู่บนพื้น เธอสอดตัวออกมาอย่างช้าๆ เพราะความที่เป็นมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ ที่พักเท้าหลังซึ่งยื่นออกมาค้ำตัวรถไว้ จึงไม่ทับส่วนใดของร่างกาย

'เจ็บชะมัด'

เธอนึกในใจ รู้สึกเจ็บแปลบที่ขาขวา คาดว่าคงเป็นแผลตอนรถลื่นไถล จึงไม่กล้าลุกยืน แค่นั่งเหยียดขาอยู่ข้างดูคาตินั้น

“คะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ชายเจ้าของรถที่ขับชนวิ่งมาถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก มองร่างที่สวมหมวกกันน็อกอย่างเป็นห่วง เขารู้ตัวว่าตนเองผิดเต็มประตูที่เหยียบคันเร่งแรงเกินไป จึงเบรกไม่ทัน

“ไปหาหมอไหมคะ?” น้ำเสียงถามอย่างห่วงใยดังมาจากหญิงสาว ที่มายืนข้างกายผู้ชายคนนั้น คาดว่าทั้งคู่น่าจะมารถคันเดียวกัน

สาวแว่นรู้สึกว่า สุ้มเสียงหวานนั้นช่างคุ้นหูนัก จึงเงยศีรษะที่สวมหมวกนิรภัยขึ้นมอง แล้วก็ต้องตาโตค้างตะลึงอยู่อย่างนั้น ใบหน้าสวยของ ‘หล่อน’ ผู้ที่เฝ้าหลอกหลอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันปรากฏตรงหน้า หัวใจดวงน้อยของนัทชาเจ็บแปลบ เหมือนถูกของแหลมนับร้อยทะลวงทะลุเข้าไปพร้อมกัน

เธอเผลอสำรวจคนตรงหน้าอย่างลืมตัว หล่อนเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเห็นครั้งสุดท้ายบ้าง แต่ใบหน้าสวยหวานนั้นยังคงตราตรึงไม่เปลี่ยน ทรงผมยักโศกสีเข้มเกือบดำยาวปะบ่า รูปร่างบอบบางอ้อนแอ้น สวมเสื้อเชิ้ตสีม่วงอ่อนทับด้วยสูทสีดำเข้ารูป กระโปรงสีดำยาวประมาณเข่า

'ทำไมกรุงเทพฯ ถึงได้แคบนักนะ?'

นึกครวญครางในใจ ไม่นึกว่าจะบังเอิญขนาดนี้ เมืองหลวงก็ไม่เล็กสักหน่อย หรือโชคชะตาจะเล่นตลก

“ลุกไหวไหมคะ?” เจ้าของเสียงหวานถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นคนบนพื้นนั่งนิ่ง จึงขยับตัวเข้าไปใกล้หมายจะช่วยพยุง “ให้ฉันช่วยนะ”

“มะ ไม่เป็นไร” นัทชาได้สติ รีบปฏิเสธพร้อมยกมือห้าม แอบนึกดีใจที่เลือกสวมหมวกกันน็อกแบบเต็มใบ ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายต้องรู้แน่ว่า เธอเป็นใคร? แต่ถ้าให้ดีควรจะรีบไปจากตรงนี้โดยเร็ว ก่อนที่ ‘ความลับ’ จะแตกออกมา

ชายหญิงคู่นั้นทำหน้าแปลกใจเมื่อได้รู้ว่า คู่กรณีเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย แต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็มีคนกลางมาขัดจังหวะ

“ขอดูใบขับขี่ด้วยครับทั้งสองคนเลย” ตำรวจจราจรว่าเสียงเรียบ ส่งสายตามองคู่กรณีอย่างหงุดหงิด ที่มาชนกันในช่วงเวลาเร่งด่วนแบบนี้ “โทรตามบริษัทประกันด้วยครับ”

“ครับ” ชายหนุ่มยื่นบัตรจากกระเป๋าให้อย่างรู้งาน ก่อนยกมือถือกดหาเซลล์ประกันของตน

สถาปนิกสาวขยับตัวลุกยืนช้าๆ หยิบกระเป๋าสตางค์จากกระเป๋ากางเกงยีนฝืนเต็มที่ไม่ให้หลุดร้องออกมา ก่อนควักเอาใบขับขี่ส่งให้ตำรวจ

เจ้าหน้าที่จราจรรับบัตรนั้นไว้ อ่านชื่อสกุลที่เขียนอยู่บนนั้น

“คุณนัทชามีเบอร์ประกันฯ หรือเปล่าครับ? เดี๋ยวผมโทรให้”

ตำรวจสังเกตเห็นรอยฝุ่นเปื้อนที่ขากางเกงของเธอ แต่ไม่เห็นรอยเลือด คาดว่าผู้เสียหายคงไม่บาดเจ็บมากนัก ประกอบกับอยากจัดการเรื่องตรงนี้ให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อจะได้เลื่อนรถไม่ให้กีดขวางถนนที่กำลังคับคั่งจนเหลือแค่สองเลน

“เอ่อ มีค่ะอยู่ใต้เบาะ” สาวแว่นตอบเสียงอู้อี้ ไม่ยอมถอดหมวกที่สวมออก เพราะไม่อยากเปิดเผยใบหน้าให้ใครเห็น โดยเฉพาะ ‘หล่อน’ ที่อยู่ห่างแค่ไม่กี่ก้าว ยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับ ‘ชนากานต์’ ตอนนี้

'นัทชา'

สาวเสียงหวานทวนชื่อที่ได้ยินในใจ นัยน์ตาคู่สวยลอบสำรวจร่างของคนตรงหน้าอย่างละเอียด รู้สึกคุ้นตากับลักษณะท่าทาง น้ำเสียง แต่ยังไม่มั่นใจนักว่าจะใช่ ‘นัทชา’ ที่หล่อนรู้จักหรือเปล่า?

ตำรวจนายนั้นเดินไปยังพาหนะสองล้อที่นอนสงบ ค้นเอกสารแล้วติดต่อกับบริษัทประกันฯ เพื่อให้มาที่เกิดเหตุโดยเร็ว ก่อนนำกุญแจรถมาส่งคืนเจ้าของ

“เรียบร้อยแล้วครับ”

“ขอบคุณค่ะ”

นัทชาเดาว่า คนขับชนเธอเป็น ‘แฟน’ ของหล่อน ในใจยิ่งปวดร้าวเมื่อคิดว่า ตนไม่มีอะไรเทียบกับผู้ชายคนนี้ได้เลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นฐานะ ชื่อเสียง หน้าที่การงาน หรือแม้แต่หน้าตาที่ดูหล่อเหลาหยั่งกับนายแบบ ผิวขาวตี๋ รูปร่างสูงใหญ่แต่ไม่หนา ดูดีมีสง่าราศี สมเป็นลูกเศรษฐี

...สาวสวยหนุ่มหล่อ เหมาะเป็นคู่สร้างคู่สมกันจริงๆ

สาวร่างโปร่งลอบมองการแสดงออก ที่ฝ่ายชายแสดงออกกับฝ่ายหญิงผ่านหน้ากากสีเข้ม เห็นสายตาหวานเชื่อมที่หมอนั่นจ้องหล่อน คนตาไม่บอดมองยังไงก็รู้ว่า เขาคิดยังไงกับชนากานต์? ก้อนเนื้อดวงน้อยๆ ที่เคยคิดว่าเข้มแข็งชาด้านกลับเจ็บปวดแสบทรมาน เหมือนถูกทิงเจอร์ไอโอดินราดบนแผลสด ได้แต่เสมองไปยังทางอื่น เพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นภาพบาดตาบาดใจ

เธอขยับมองนาฬิกาข้อมือแทบจะทุกๆ สองนาที นึกอยากให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นโดยเร็ว จะได้ไม่ต้องทนเห็นภาพ ‘คู่รัก’ ยืนกระหนุงกระหนิงนานนัก แค่นี้หัวใจก็บอบช้ำจวนเจียนจะสลายอยู่แล้ว

'ทำไมถึงมาช้านักนะ'

นึกบ่นในใจ หลังยืนกระต่ายขาเดียวนานหลายสิบนาทีก็เริ่มเมื่อย ทรงตัวได้ไม่ดีโอนเอนจะล้มมิล้มแหล่

หล่อนสังเกตเห็นอาการซวนเซของนัทชา จึงก้าวมาจับยึดข้อศอกของคู่กรณี กึ่งประคองพยุงอีกฝ่ายไม่ให้ล้ม

“ขอบคุณค่ะ” นัทชาพึมพำแค่ได้ยินเพียงสองคน

'เข้มแข็งไว้นัทชา'

เตือนตัวเองในใจ แต่หัวใจเจ้ากรรมกลับไม่เชื่อฟังเจ้าของ เต้นแรงโครมคราม จนกลัวว่าก้อนเนื้อนั้นจะกระโดดออกมานอกร่าง ในใจแอบคิดอยากอยู่ใกล้ชิดกับ ‘หล่อน’ แบบนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์

“ยินดีค่ะ” ชนากานต์พยักหน้า และอมยิ้มน้อยๆ กระชับมือเรียวจับแขนของอีกคนไว้แน่น รู้สึกคุ้นเคยมากมายอย่างบอกไม่ถูกเมื่ออยู่ใกล้กันแบบนี้

เมื่อตัวแทนของบริษัทประกันสองฝ่ายมาถึง และเจรจาตกลงเป็นที่น่าพอใจ โดยฝ่ายรถเก๋งออกค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถดูคาติ ส่วนค่าทำขวัญอื่นๆ ค่อยตกลงกันทีหลัง ซึ่งนัทชาไม่คิดติดใจอะไรจึงเฉยเสีย

หล่อนชำเลืองมองคนข้างกายเป็นระยะอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นท่าทางการเคลื่อนไหว สำเนียงการพูดจาและอีกหลายอย่าง จนสาวสวยมั่นใจว่า...นัทชาคนนี้คือรุ่นน้องของตนแน่นอน

หญิงสาวมีธุระที่ต้องการจะคุยด้วย แม้ว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่อยากแม้จะมองหน้าหล่อนเลยก็ตาม มีหลายเรื่องค้างคาใจที่ต้องการสะสางกับสาวร่างโปร่ง และคิดว่าโอกาสทองนั้นได้มาถึงแล้ว

หล่อนตัดสินใจแน่วแน่ว่า...ครั้งนี้จะไม่ยอมพลาดเด็ดขาด

“ผมจะให้ทางอู่มาเอาดูคาติไปซ่อม เรียบร้อยแล้ว ผมจะโทรมาบอกนะครับ” ตัวแทนบริษัทประกันกล่าวอย่างสุภาพ

“ค่ะ” นัทชารับคำ พร้อมส่งกุญแจบิ๊กไบด์ให้ไป

เมื่อตัวแทนประกันของสองฝ่ายตกลงเรียบร้อย ก็แยกย้ายกันกลับ เหลือแค่คู่กรณีสามคนยืนอยู่

ปริวัตรเจ้าของรถหรูยื่นกระดาษแผ่นเล็กให้คู่กรณี

“นี่นามบัตรผม ถ้ามีปัญหาเรื่องรถ หรือค่าเสียหายก็โทรนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ” นัทชารับไว้ตามมารยาท

“คุณกานต์จะไปออฟฟิศเลยหรือเปล่าครับ? เดี๋ยวผมโทรให้รถมารับ” ชายหนุ่มหันไปถามผู้หญิงอีกคนที่มากับเขา

“ไม่เป็นไรค่ะ วัตรรีบไปที่ทำงานเถอะค่ะ ฉันจะพาคุณนัทชาไปโรงพยาบาลก่อน” ชนากานต์ตอบด้วยโทนเสียงที่ค่อนข้างเป็นทางการ

“ผม-” พูดไม่ทันจบก็โดนตัดบทเอาดื้อๆ

“เดี๋ยวฉันดูแลคุณนัทชาเอง คุณไปประชุมเถอะนี่ก็สายมากแล้ว” หล่อนไม่สนใจฟังอีกคน หันกลับมาชวนคนที่สวมหมวกกันน็อก “ไปค่ะ”

“ไม่ต้องมั้งคะ ฉันไม่เจ็บเท่าไหร่” สาวแว่นพยายามปฏิเสธ แต่โดนสาวหวานยึดข้อศอกไว้แน่น

“ไม่ได้ค่ะ คุณควรจะไปเช็คร่างกายสักหน่อย เรื่องค่าใช้จ่ายฉันรับผิดชอบเอง” ชนากานต์พูดเสียงแข็งกึ่งบังคับ โบกแท็กซี่ที่ผ่านมา แล้วลากนัทชาขึ้นรถไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที

'แย่ชะมัด'

ปริวัตรบ่นในใจ ยืนมองจนแท๊กซี่คันนั้นหายปะปนไปบนท้องถนน ถอนหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกใหญ่ รู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้ง ก่อนกดมือถือสั่งให้รถที่บ้านมารับ


ระหว่างนั่งบนแท็กซี่ ชนากานต์เอียงคอชำเลืองมองคนที่นั่งข้างๆ และสิ่งแรกที่อยากได้มากที่สุดในตอนนี้คือ หล่อนอยากเห็นใบหน้าคมของอีกฝ่ายชัดๆ...ใบหน้าที่แสนจะรักและคิดถึง

“คุณนัทชาไม่ร้อนเหรอคะ ถอดหมวกกันน็อกก่อนดีไหม?”

“มะ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันชอบใส่แบบนี้มากกว่า ถอดแล้วเดี๋ยวไปลืมทิ้งไว้ จะหายเสียเปล่าๆ” ปฏิเสธขึ้นแทบจะทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ

“ตามใจค่ะ” แอบน้อยใจที่คนข้างกายทำเหมือนเป็นคนอื่น

แล้วทั้งคู่ก็นั่งเงียบตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างมองออกนอกหน้าต่างคนละด้าน อยู่ในภวังค์ความคิดของตน โดยหารู้ไม่ว่า ต่างคิดถึงเรื่องของอีกคนที่นั่งอยู่ติดกัน

เมื่อแท็กซี่จอดเทียบที่ทางเข้าฉุกเฉิน ชนากานต์ชำระค่าโดยสารเรียบร้อย แต่ไม่ทันจะลงจากรถ บุรุษพยาบาลสามคนวิ่งหน้าตื่นมาพร้อมเข็นเตียงคนเจ็บ

“พวกผมมารับคนเจ็บ”

“โน่นค่ะ” สาวสวยชี้ไปยังนัทชา ที่กำลังพยายามจะออกจากตัวรถโดยสารอย่างยากลำบาก

หนึ่งในชายชุดขาวรีบไปประคองคนเจ็บ ก่อนพยุงมาใกล้กับเตียงที่ตั้งรออยู่

“ช้าๆ ครับ นอนบนเตียงดีกว่า จะได้ไม่เจ็บมาก”

ฉันไม่ได้เจ็บมากมายสักหน่อย ทำไมต้องใช้เปลด้วย

นัทชานึกเถียง แต่ไม่ทันจะอ้าปากพูดห้ามปราม

“ใช่ครับ ให้พวกผมพาไปเร็วกว่าเยอะ จะได้ไม่เจ็บด้วย” ชายอีกคนเอ่ยเสริม

“นอนสิคะ ‘นัท’” ชนากานต์บอกอย่างอ่อนโยน

คำเรียกขานที่เปลี่ยนไป ทำให้สาวแว่นตัวแข็งทื่อ กลั้นใจเงยหน้าสบตาอีกคนที่จ้องเธออยู่ก่อน ความรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

'รู้แล้วเหรอเนี่ย'

หล่อนสบตากับรุ่นน้อง พร้อมยิ้มมุมปากน้อยๆ เหมือนจะบอกว่า ‘ฉันรู้ตั้งนานแล้วว่าเธอเป็นใคร?’

คนเจ็บหน้าบึ้ง รู้สึกหงุดหงิดที่ ‘ความลับ’ แตกเร็วกว่าที่คิด

“นอนค่ะ” ชนากานต์พูด พร้อมกระตุกแขนเสื้อของอีกคนเบาๆ

“ถอดหมวกก่อนครับ” บุรุษพยาบาลบอก

นัทชาได้แต่ทำตามอย่างไม่มีทางเลือก ถอดหมวกนิรภัยใบใหญ่ที่สวมออก เผยให้เห็นใบหน้าคมที่เหงื่อไหลซึมไรผมยาวสีเข้มที่ยุ่งเหยิง ยกมือลูบผมคร่าวๆ ก่อนเอนตัวลงนอนในเตียงนั้น

“บอกให้ถอดหมวกออกก็ไม่เชื่อ ร้อนจะแย่ ทนใส่อยู่ได้” หล่อนต่อว่าเสียงหวานแบบไม่จริงจัง ยัดกระดาษทิชชู่ใส่มือให้สามสี่แผ่น ถือวิสาสะคว้าหมวกกันน็อกสีดำจากมืออีกคนมาถือไว้ เป็นตัวประกัน

สาวแว่นชะงักเผลอส่งค้อนให้ ไม่พูดขอบคุณสักคำ ยกกระดาษบางซับหน้าที่มีเหงื่อชุ่มโชก แล้วเตียงของเธอก็ถูกเข็นเข้าไปในตัวอาคารสีขาวทันที โดยชนากานต์สาวเท้าตามไม่ห่างนัก

“ญาติช่วยทำบัตรให้คนไข้ด้วยนะครับ” บุรุษพยาบาลคนหนึ่งบอกกับสาวหวานในชุดทำงานที่ตามมา ด้วยเข้าใจว่าคงจะรู้จักกัน

สาวสวยจึงก้าวเท้าเร็วๆ เพื่อบอกให้ผู้ชายคนที่เข็นเตียงให้หยุด แล้วเอ่ยกับคนเจ็บด้วยเสียงอ่อนโยน

“ขอบัตรประชาชนด้วยค่ะ พี่จะไปทำบัตรให้”

เธอถอนใจเบาๆ ได้แต่ทำตาม ขยับตัวหยิบบัตรจากกระเป๋าตังค์ส่งให้ ก่อนถูกส่งตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉิน

ชนากานต์ไปที่เคาน์เตอร์เพื่อทำบัตร กรอกรายละเอียดทุกอย่างในกระดาษจนครบ อุปโลกน์ให้ตัวเองเป็นญาติของผู้ป่วยเสร็จสรรพ ก่อนยื่นกระดาษคืนให้เจ้าหน้าที่ แล้วหาที่นั่งรอนัทชาหน้าห้องฉุกเฉิน

สาวหวานก้มมองบัตรประชาชนในมือ แล้วผุดยิ้มน้อยๆ ออกมา นิ้วโป้งเรียวยาวลูบไล้ไปบนรูปถ่ายนั้นอย่างเบามือ ความรู้สึกคิดถึงผุดขึ้นมากมายจนอัดแน่นแทบทะลักออกมาท่วมนองพื้น

...คนในรูปจะรู้บ้างไหมว่า มีใครเฝ้าคิดถึงโหยหาจนปวดทรมานหัวใจมากขนาดไหน?

'ทำไมนัทถึงหายหน้าไปหลายปี โดยไม่บอกกล่าวกันสักคำ?'

เป็นคำถามคาใจข้อแรกๆ ที่หล่อนอยากทราบคำตอบ และหมายมั่นปั้นมือที่จะรู้ในวันนี้ให้จงได้

ยี่สิบนาทีต่อมาประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออก นัทชานั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นซึ่งบุรุษพยาบาลคนหนึ่งเข็น ใบหน้าคมค่อนข้างซีดกว่าปกติ

ชนากานต์ใจหายวาบ รีบลุกขึ้นสาวเท้าไปหา ผิดจากบุคลิกสุขุมลุ่มลึกจากที่เป็นยามปกติ

“เป็นอย่างไรบ้างคะ?” น้ำเสียงหวานไพเราะอ่อนโยน แฝงความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง แต่นัทชานิ่งเงียบไม่ยอมเปิดปาก หล่อนจึงเงยหน้าเป็นเชิงถามกับบุรุษพยาบาล

“เย็บหกเข็มครับ แต่แผลไม่ลึก” ชายในชุดขาวบอกเสียงทุ้มนุ่มบุ้ยใบ้ตาไปที่ขาขวาของคนเจ็บ

หล่อนเผลอทำตาโต ด้วยไม่นึกว่าแผลจะร้ายแรงถึงขั้นเย็บ แล้วก็นึกขำแต่ไม่กล้าหลุดหัวเราะ ด้วยเกรงจะทำให้อีกคนหงุดหงิดมากไปกว่านี้ ชนากานต์ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะหน้าซีดขาวเกือบเท่ากระดาษ

จุดอ่อนสำคัญอย่างหนึ่งของสาวแว่น ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้คือ...นัทชากลัวเข็มมากมาย

“มีคำแนะนำไหมคะ?” ร่างบางสอบถามเขา เผื่อมีอะไรที่ควรรู้เป็นพิเศษสำหรับคนไข้

“งดของแสลงพวกไข่ อาหารทะเล แล้วก็พวกของหมักดอง ถ้าให้ดีก็ทานพวกโปรตีนเยอะๆ หน่อย” เขาตอบอย่างคล่องแคล่ว

“ค่ะ แล้วต้องมาตัดไหมหรือเปล่าคะ?” หล่อนถามต่อ

“ไม่ต้องครับ คุณหมอเย็บแบบใช้ไหมละลาย ประมาณสองอาทิตย์แผลน่าจะแห้งสนิท” ชายหนุ่มบอกอย่างละเอียด เพราะเป็นผู้ช่วยหมอเองกับมือ ชี้นิ้วไปแผนกรับยาที่อยู่ห่างออกไป “เดี๋ยวรอรับยาทางด้านโน้นนะครับ”

“ขอบคุณนะคะ” ร่างบางส่งยิ้มหวานให้เขา โดยไม่ทันสังเกตเห็นสายตาคู่คมที่ลอบชำเลืองมองเป็นระยะ

'โปรยเสน่ห์ไปเรื่อย เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน'

นัทชาแอบค่อนขอดในใจ ทำตาประหลักประเหลือก ยกมือขึ้นกอดอกด้วยความหงุดหงิดผสมหมั่นไส้

“ไปรอรับยากันค่ะ เสร็จแล้วจะได้กลับบ้าน” สาวสวยกล่าวลอยๆ ส่งหมวกนิรภัยคืนให้อีกฝ่าย ก่อนออกแรงเข็นเก้าอี้ล้อใหญ่ไปม้านั่งที่ตั้งอยู่หน้าแผนกรับยา ทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ว่างใกล้ๆ คู่กับรถเข็นนั้น

“จะกลับก็กลับไปก่อนก็ได้ มีธุระไม่ใช่เหรอ?” เธอพูดกับหล่อนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เจอกันในวันนี้ โดยไม่หันมองหน้าอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ

ชนากานต์สัมผัสได้ถึงความเย็นชาสุดขั้ว ที่แฝงมาในประโยคไล่กลายๆ นั้นเป็นอย่างดี ปกติรุ่นน้องจะไม่พูดประโยคห้วนสั้นแบบนี้ เว้นแต่กับคนแปลกหน้า หรือคนที่ถูกรังเกียจเข้าไส้ ซึ่งหล่อนไม่กล้าคิดว่าตัวเองถูกจัดอยู่กลุ่มไหน

“พี่ไม่รีบหรอก พี่อยากอยู่กับนัทนานๆ เรามีเรื่องต้องคุยกันนะคะ” พูดแผ่วเบาแทบไม่ต่างจากกระซิบ

สาวแว่นออกอาการชะงัก ก่อนสวนกลับด้วยคำพูดเรียบง่าย แต่ร้ายกาจกับหัวใจคนฟังอย่างที่สุด

“แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุย”

“นัท...” ครางชื่ออีกฝ่ายออกมาอย่างเศร้าสร้อย แต่ไม่มีคำพูดใดๆ ตามมา ชนากานต์รู้สึกเหมือนถูกลิ่มยาวนับร้อยเสียบทะลุทั่วร่าง ทรมานแสนสาหัสเหมือนตายทั้งเป็น

“ขอให้ถือว่า เราไม่เคยรู้จักกันเลย...น่าจะดีกว่า” คนเจ็บพูดเสียงแหบแห้งกว่าปกติ

“ทำไมล่ะนัท? พี่ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่า ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น? จู่ๆ นัทก็หายไป-” หล่อนพูดไม่ทันจบประโยค ก็ถูกแทรกขึ้น

“ก็ไม่ต้องรู้ต่อไป”

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพี่โดยตรง พี่มีสิทธิ์ที่จะรู้ ไม่ใช่เหรอคะ?” สาวสวยยืนกรานไม่ยอมแพ้

“ไม่จำเป็น” สถาปนิกสาวตอบห้วนกระด้างไร้หางเสียง

ชนากานต์หงุดหงิดกับความดื้อรั้นหัวชนฝาของคนตรงหน้า ถ้าไม่ติดว่าอยู่ที่โรงพยาบาล คงจะสอบปากคำได้ง่ายกว่านี้ สมองคิดหาแผนจะจัดการ แต่ก็ถูกขัดจังหวะเสียก่อน

“คุณนัทชา รับยาด้วยค่ะ” เสียงเจ้าหน้าที่แผนกยาดังขึ้น

หล่อนลุกไปชำระเงิน และรับยามาสี่อย่าง เป็นยาแก้ไข้แก้ปวด ยาแก้อักเสบ ยานอนหลับ และตลับยาทาลดรอยแผลเป็น แล้วเดินกลับมายืนข้างๆ รถเข็น

“ไปค่ะกลับบ้าน เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ไม่ต้องหรอก แค่นี้ก็เกรงใจมากแล้ว” สาวร่างโปร่งพูดเสียงแข็ง

“สำหรับเรา ต้องใช้คำพูดแบบนี้ด้วยเหรอคะ?” สาวสวยกล่าวแผ่วเบาอย่างอ่อนใจ

“ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น ไม่มี ‘เรา’ อีกแล้ว” ยังคงโต้แย้งเสียงเย็นชา นัทชากำหมัดที่วางข้างตัวแน่น ด้วยกลัวว่าตนเองจะใจอ่อนแพ้พ่ายกับหล่อน ฝืนใจไม่ยอมทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ เธอไม่อยากบาดเจ็บเจียนตายเหมือนครั้งก่อน...แต่มันก็ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน

“กลับบ้านก่อนค่ะ เรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง” ชนากานต์ไม่สนใจคำปฏิเสธนั้น ยังคงเข็นรถล้อใหญ่ของนัทชาไปจนเกือบถึงทางออก

“ตอบหน่อยได้ไหม ตอบฉันหน่อย ว่าเธอคิดถึงกัน...”

เสียงเพลงริงโทนมือถือของชนากานต์ดังขึ้น

ชนากานต์หยุดเข็นรถ หยิบมือถือมาดูว่าใครโทรมา? แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้าที่กำลังกระพริบอยู่ ‘ปริวัตร’ ใช้เวลาตัดสินใจอยู่หลายวินาทีก่อนจะกดรับ

“วัตรมีอะไรหรือเปล่าคะ?” หล่อนเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงที่ฟังแล้วกึ่งเป็นทางการพอสมควร

นัทชาเอียงตัวมองสาวสวยผ่านทางหางตา ชื่อผู้ชายที่ทำให้เธอบาดเจ็บในวันนี้…ปริวัตร ธนพัฒน์ไพศาล

'ห่างกันนานๆ ไม่ได้เลย...พวกตัวติดกัน'

สาวร่างโปร่งนึกค่อนขอดในใจ เผลอส่งค้อนให้แบบลืมตัว

“ทำไมคะ?” ชนากานต์ถามเสียงจริงจัง ใบหน้าสวยหวานขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย บ่งบอกชัดว่าต้องมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น หล่อนสาวเท้าออกห่างจากเก้าอี้ล้อใหญ่ ด้วยไม่อยากให้ใครได้ยินบทสนทนานั้น แล้วไปยืนหันหลังพิงเสามองไปอีกทางอย่างใช้ความคิด

สาวแว่นฉวยโอกาสทองที่บังเอิญแวะผ่านมา ค่อยๆ ลุกกระโผลกกระเผลกอย่างเงียบกริบที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมหยิบหมวกกันน็อกและถุงยา ขึ้นแท็กซี่ที่จอดเทียบรออยู่ตรงทางออก โดยไม่หันกลับไปมองหล่อนแม้แต่แวบเดียว

'ลาก่อนค่ะคุณกานต์ หวังว่าเราคงไม่ต้องพบกันอีก'

การพบกันในวันนี้ ทำให้หัวใจดวงน้อยที่คิดว่าเข้มแข็งจนเกือบเหมือนเดิมกลับอ่อนยวบ ปวดรวดร้าวมากมาย สร้างแผลใหม่ซ้ำเติมเข้าไปอีกนับไม่ถ้วน หลับตาแน่นกล้ำกลืนเก็บเอาความขมขื่นไว้ภายใน ไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น

...ตอนนี้นัทชาได้แต่หวังว่า ตัวเองจะไม่ร้องไห้ออกมาเสียก่อนที่จะถึงบ้าน


ชนากานต์กดปุ่มเลิกคุย หันกลับมามองรถเข็นที่ตอนนี้ว่างเปล่า ได้แต่ถอนหายใจยาวออกมาอย่างผิดหวัง ที่ปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือไป

“เผลอไม่ได้เลยจริงๆ หนีไปไหนอีกแล้ว” บ่นพึมพำกับตัวเอง

หญิงสาวตัดสินใจขึ้นแท็กซี่ไปตามที่อยู่ในบัตรประชาชน พอไปถึงหน้าบ้าน กดกริ่งอยู่หลายหนก็เงียบไม่มีใครออกมาเลยสักคน หล่อนได้แต่ล่าถอยกลับไปตั้งหลัก...แต่ยังไม่ยอมถอดใจเรื่องนัทชาง่ายๆ

การบังเอิญเจอกันวันนี้ ทำให้ความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนอยู่ก้นบึ้งในหัวใจผุดขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกที่เคยคิดว่า เป็นแค่คนพิเศษรุนแรงขึ้น อาจจะรุนแรงลึกซึ้งมากกว่าตอนนั้นเสียด้วยซ้ำ ลึกซึ้งมากมายจนตนเองยังแปลกใจ

คนอย่างหล่อน ถ้าจะทำอะไรไม่เคยยอมรามืออะไรง่ายๆ ยิ่งเป็นเรื่องของนัทชาด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีวันยอมหยุดเพียงแค่นี้เด็ดขาด

'พี่ไม่ยอมจบง่ายๆ แค่นี้หรอกนะคะ'

OoXoO

ขอบคุณที่กรุณาติดตามค่ะ

นาง



Create Date : 02 พฤษภาคม 2558
Last Update : 2 พฤษภาคม 2558 17:21:33 น. 0 comments
Counter : 711 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com