ไปรสะนียาคาร : กลิ่นอายแห่งการครุ่นคิดคำนึงถึง
16 ธันวาคม 2532
สวัสดีจ้า
สบายดีไหม เราไม่ค่อยสบายนะ เพิ่งหายจากไข้หวัด ดูแลตัวเองด้วยล่ะ ช่วงนี้อากาศหนาวแล้ว .....
คิดถึงนะ
.... ความเก่าก็เป็น trend หนึ่งที่เด็กรุ่นใหม่ถวิลหา พวกเค้าสนใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในยุค 90 โลกทีเป็น analog เต็มรูปแบบ โทรศัพท์หยอดเหรียญที่ต้องนัดหมายปลายทางว่าจะโทรไปตอนไหน หรือการเดินผ่านแผงรับซองจดหมายเพื่อลุ้นว่าจะมีชื่อเราอยู่บนนั้นไหม นั่นคงเป็นอะไรที่เด็กยุคใหม่คงงงใจ ว่าการสื่อสารของคนสมัยนั้นช่างยากเย็น เดี๋ยวนี้แค่ส่งไลน์แล้วไม่อ่านใน 10 นาที ก็ต้องสงสัยแล้วว่าทำอะไรอยู่ แตกต่างมากมายกับคนในสมัยนั้น ที่รอการเดินทางไปกลับของจดหมายได้ แม้ว่ามันจะใช้เวลากว่าสองสัปดาห์ก็ตามที นั่นทำให้เรามีเวลาที่อ่านมันซ้ำไปซ้ำมาอย่างมีคุณค่า ต่างจากปัจจุบันแค่เพียงปัดซ้าย ข้อความนั้นก็หายไปในพริบตา ปัจจุบันคุณค่าของจดหมายไม่ได้ใช้สำหรับการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ เหลือแค่ความจำว่ามันคือเอกสารในระบบราชการ ไม่ก็แค่หนังสือทวงหนี้ ไปรษณียาคารคือที่ทำการไปรษณีย์แห่งแรกของไทยตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงปากคลองรอบกรุง บริเวณสะพานพระปกเกล้าในปัจจุบัน อาคารนี้เป็นบ้านของพระปรีชากลการ อดีตเจ้าเมืองปราจีนบุรีที่ถูกประหารชีวิต สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2414 และถูกริบทรัพย์สินเป็นของแผ่นดินเมื่อปี 2422 เรื่องนี้อ่านผ่านๆ ก็ดูธรรมดาในยุคสมัยนั้น แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องไม่ปรกติ ที่ทำไมข้าราชการผู้ใหญ่ระดับเจ้าเมืองถึงต้องโทษระดับนี้ ทำไมถึงมีบ้านใหญ่โตระดับที่เอามาปรับปรุงเป็นที่ทำงานของหน่วยงานรัฐได้ แถมยังมีภรรยาเป็นชาวอังกฤษอีกด้วย ถือว่าใหม่มากในสมัยนั้นเลยทีเดียว เบื้องหลังแล้วมันคือการต่อสู้ทางอำนาจของขุนนางสองกลุ่ม ที่รุ่งเรืองขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 3 และจบลงที่อีกฝ่ายสามารถกุมอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ เมื่อภายหลังเหตุการณ์ครั้งนี้
แรกมีไปรษณีย์ไทยนั้นเกิดขึ้นเมื่อ สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ได้ทรงชักชวนพระเจ้าน้องยาเธออีก 6 พระองค์ ช่วยกันจดข่าวในพระราชสำนักแต่ละวัน มาพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือพิมพ์ข่าวรายวัน หนังสือข่าวเล่มแรกพิมพ์ออกเผยแพร่เมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2418 ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า COURT แปลว่าพระราชสำนัก ต่อมาใน พ.ศ. 2419 จึงใช้ชื่อภาษาไทยว่า ข่าวราชการ สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ทรงดำริให้มีคนเดินส่งหนังสือแก่ผู้รับหนังสือทุกคนในตอนเช้า โดยคิดเงินค่าสมาชิก และเมื่อคนส่งหนังสือไปส่งหนังสือที่บ้านสมาชิกผู้ใดแล้ว ผู้นั้นจะฝากจดหมายส่งถึงสมาชิกผู้ใดก็ได้ โดยจะต้องซื้อแสตมป์ปิดจดหมายของตน ที่จะฝากไปส่งและลงชื่อของตนเองทับแสตมป์แทนตรา เพื่อให้เป็นแสตมป์ที่จะนำไปใช้อีกไม่ได้ แสตมป์นั้นทำเป็นพระรูปเหมือนอย่างที่พิมพ์ไว้ข้างหน้าหนังสือ COURT ขายดวงละอัฐ และให้ซื้อได้จากโรงพิมพ์หนังสือข่าวราชการ ราคาค่าจ้างส่งจดหมายมีอัตราต่างกัน ถ้าอยู่ในคูพระนครชั้นในติดแสตมป์ 1 อัฐ ถ้าอยู่นอกคูพระนครออกไปต้องติดแสตมป์ 2 อัฐ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้ก่อตั้งการไปรษณีย์ จึงทรงแต่งตั้งให้สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการกรมไปรษณีย์ และได้ประกาศเปิดรับฝากเป็นการทดลองในเขตพระนครและธนบุรีขึ้น โดยใช้บ้านของพระปรีชากลการเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2426
วันนี้ต่อมาจึงถูกกำหนดเป็นวันสื่อสารแห่งชาติในทุกๆ ปี
แต่ก่อนหน้านั้นในปี พ.ศ. 2418 กรมโทรเลขได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว โดยขึ้นอยู่กับกระทรวงกลาโหม เนื่องจากวัตถุประสงค์ในครั้งนั้นคือ การสร้างสายโทรเลขจากกระทรวงกลาโหมด้านมุมวังสราญรมย์ ไปยังสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อฟังข่าวการเข้ามาของเรือต่างๆ ต่อมาในปี พ.ศ. 2441 เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการกราบบังคมทูลเสนอความเห็นว่า กรมโทรเลขและกรมไปรษณีย์เป็นงานในด้านสื่อสารด้วยกัน ควรรวมเป็นหน่วยเดียวกัน เพื่อความสะดวกแก่การดำเนินงาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมหน่วยงานทั้งสองเข้าด้วยกันเรียกว่า กรมไปรษณีย์โทรเลข
วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่เสด็จพระราชดำเนิน มาทำพิธีเปิดสะพานพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งอยู่ข้างอาคารไปรษณียาคาร ในวันเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 150 ปี เป็นสะพานแห่งแรกที่ใช้สัญจรทางบกเชื่อมระหว่างกรุงเทพมหานครและฝั่งธนบุรี
ในเวลานั้นบ้านเมืองเกิดข่าวลือหนาหูว่า จะมีการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เมื่อถึงวันจริงกลับไม่เกิดเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้น วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ไปรษณียาคารเป็นสถานที่แห่งแรก ที่คณะราษฎรจะต้องทำการบุกยึดเพื่อตัดระบบการสื่อสาร โดยกลุ่มคณะราษฎรสายพลเรือนนำโดย หลวงโกวิทอภัยวงศ์ (ควง อภัยวงศ์) และนายประยูร ภมรมนตรี ที่รับราชการที่นี่จึงรู้ถึงระบบการทำงานดี โดยมีคณะราษฎรสายทหารเรือช่วยคุ้มกันเพียงไม่กี่คน โดยจะเริ่มทำการในเวลา 04.00 น. และตัดการสื่อสารให้เสร็จก่อนเวลา 05.00 น. เพื่อมิให้ผู้คนสงสัย แม้คณะราษฎรสามารถกระทำการได้สำเร็จ แต่ก็มีเจ้าพนักงานคนหนึ่งหนีไปแจ้งความ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ พระยาอธิกรณ์ประกาศ (หลุย จาติกวณิช)อธิบดีกรมตำรวจทราบเรื่อง จึงรุดเข้าวังบางขุนพรหมเพื่อถวายรายงานแด่ผู้สำเร็จราชการ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต แต่นั่นก็สายไปเสียแล้ว
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การไปรษณีย์ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จึงได้ย้ายสถานที่ทำงานไปรวมกับที่ทำการไปรษณีย์แห่งที่ 2 ที่ถนนเจริญกรุง และเปลี่ยนชื่อเป็นที่ทำการไปรษณีย์กลาง เมื่อปี พ.ศ. 2483
อาคารเดิมถูกปรับปรุงเป็นอาคารเรียนของโรงเรียนกรมไปรษณีย์และโทรเลข เพื่อเป็นสถานที่ผลิตพนักงานไปรษณีย์ให้บริการประชาชน ในปี พ.ศ.2496 เมื่อเมืองเจริญขึ้นสะพานพระพุทธยอดฟ้าไม่สามารถรองรับปริมาณการจราจได้อีกต่อไป กรมทางหลวงชนบทจึงมีโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนาน ที่แล้วเสร็จแล้วเปิดใช้งานในชื่อสะพานพระปกเกล้า เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2527 โดยจำเป็นต้องมีการเวนคืนพื้นที่ของไปรษณียาคารสำหรับการก่อสร้างในปี 2525 อาคารโบราณสมัยรัชกาลที่ 5 หลังหนึ่งได้หายไปเป็นเวลาเกือบ 20 ปี ด้วยความงามของอาคารอันเป็นเอกลักษณ์ในความทรงจำของคนกรุงเทพ จึงได้มีเสียงเรียกร้องให้มีการสร้างอาคารหลังนี้ขึ้นมาใหม่ แต่เนื่องด้วยพื้นที่อันจำกัด จึงสามารถทำเพียงการอาคารจำลองได้เท่านั้น ในปี พ.ศ. 2546 โดยใช้แบบของอาคารและผังกระดาษมาตราส่วน 1:75 ที่เก็บไว้ที่กรมไปรษณีย์โทรเลขมาเป็นแบบ
กรมทางหลวงชนบทได้ก่อสร้างอาคารจำลอง 2 ชั้นครึ่งเฉพาะส่วนมุขด้านหน้าของอาคาร มีความลึก 3.5 เมตรและความกว้าง 25 เมตร ด้วยงบประมาณ 10 ล้านบาท เป็นอาคารเปล่าๆ หลังการสร้างเสร็จ อาคารจำลองแห่งนี้ได้ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยมิได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ ตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้แต่แรกว่าจะให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงวิวัฒนการการสื่อสาร จนในที่สุดก็ได้มีการบูรณะซ่อมแซม และตกแต่งใหม่เพื่อให้เป็นอาคารสำหรับ แสดงประวัติศาสตร์ของการไปรษณีย์ไทย โดยได้เปิดการใช้งานอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา บริเวณชั้นล่างมีการเปิดจำหน่ายแสตมป์ไปรษณีย์ที่ระลึก และสามารถใช้บริการธุรกรรมได้เช่นเดียวกับไปรณีย์ทั่วไป
Create Date : 16 ธันวาคม 2563 |
Last Update : 21 ธันวาคม 2563 13:37:26 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1049 Pageviews. |
|
|
|