Apple has lost a visionary and creative genius, and the world has lost an amazing human being.

But his spirit will forever be the foundation of Apple. 6 October 2011

<<
มีนาคม 2560
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
15 มีนาคม 2560

ปริศนาบนศิลาที่หลับใหล : ปราสาทบันทายฉมาร์ (2)




บันทายฉมาร์นั้นจัดปราสาทอันเป็นที่ตั้งศูนย์กลางของเมือง
คล้ายกับปราสาทเบ็งเมเลียที่อยู่ใกล้กับเขาพนมกุเลน
น่าจะเคยเป็นเมืองใหญ่ โดยมีการขุดบารายทั้งทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
ตรงกลางของบารายทางทิศตะวันออกเป็นเกาะ มีปราสาทหลังเล็ก ๆ ตั้งอยู่

สันนิษฐานว่าเป็นปราสาทในคติ ปราสาทกลางบารายอันมีม้าพลาหะ
เปรียบเสมือนยานพาหนะลำใหญ่ที่พาผู้คนสู่มรรคผลนิพพาน
เช่นเดียวกับคติของปราสาทนาคพัน แต่ที่สำคัญปราสาทหลังนี้
มีซากของอาคารไม้ที่หลงเหลืออยู่เป็นหลักฐานเพียงแห่งในปัจจุบัน

ความสำคัญก็คือ ปราสาทหินนั้นไม่ได้เป็นแบบที่เราเห็นในปัจจุบันแน่ๆ
เพราะในอดีต รอบอาคารจะเป็นวิหารและระเบียงทางเดินที่ทำจากไม้
แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งก่อสร้างที่ทำจากไม้ย่อมผุพังไปหมด
การค้นพบชิ้นส่วนอาคารที่ทำจากไม้ในครั้งนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ

ปัจจุบันการเข้าชมนั้นต้องเสียค่าผ่านทาง คนละ 5 ดอลล่าร์
โดยไม่มีมีตั๋วให้ เลยไม่รู้ว่าจะตกไปถึงมือของหน่วยราชการหรือเปล่า
หลังจากนั้นเราข้ามคูน้ำไปยังด้านทิศตะวันออกที่ยักษ์บนสะพาน
ล้วนไม่มีศีรษะปรากฏอยู่ทั้งสิ้น คาดว่าไปประเทศเพื่อนบ้านหมด

จุดแรกที่เห็นลานบูชาด้านหน้ากำแพง ที่มีหน้าบันกองอยู่
เมื่อเราเดินเข้าไปใกล้กำแพง ก็จะพบภาพสลักนูนต่ำเช่นเดียวกับบายน
ซึ่งเป็นเรื่องราวของการรบของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กับพวกจามปา
แต่ต่างกันว่าที่นี่เป็นภาพบุคคล 2 คน หนึ่งคนนั้นคือพระองค์แน่ๆ

แล้วอีกคนในภาพคือใครกัน?



เมื่อเดินเข้าไปในปราสาทก็จะพบกับภาพกองหินขนาดใหญ่
ใช่แล้ว มีเพียงกำแพงด้านหน้าเท่านั้นที่เพิ่งถูกบูรณะขึ้นมา
ลองนึกภาพดูว่าต้องใช้เวลานานหลายปีในการทำเช่นนี้
แล้วปราสาททั้งหลังจะใช้เวลาอีกยาวนานเพียงเท่าใด

และอย่างน้อยก็คงต้องเริ่มต้นจากการศึกปราสาทอย่างละเอียด
เพื่อจะสร้างภาพร่าง 3 มิติของตัวปราสาทเพื่อที่จะหาชิ้นส่วน
ซึ่งก็คือก้อนหินนับล้านซึ่งยังคงกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
เพื่อจะทำการประกอบคืนกลับให้ย้อนกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง

กองหินทางด้านขวามือของเราเป็นจุดเริ่มต้นของการปีนป่าย
ต่างจากปราสาทเบ็งมาเลีย ที่นี่ไม่มีสะพานไม้ให้เราก้าวเดิน
สิ่งที่เรามองหาก็คือภาพหน้าบันและทับหลังต่างๆ
ที่จะแสดงออกให้เห็นถึงความเชื่อและศรัทธาในสมัยนั้น

ไม่น่าแปลกใจที่เราจะพบภาพของพระศิวะ พระนารายณ์ หรือพระพรหม
เฉกเช่นเดียวกับปราสาทอื่น เพราะความเชื่อนั้นไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ
แม้กษัตริย์จะนับถือศาสนาใด ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนใจทุกคนได้เสมอ

ภาพที่น่าสนใจก็คือ จุดเริ่มต้นแห่งมหากาพย์แห่งรามยณะ



ปรากฏพระพรหมอยู่กลางภาพ
ด้านซ้ายคือบุคคลคล้ายฤาษีคนหนึ่งทำท่าบูชาพระพหรม คนหนึ่งดีดพิณ
ด้านขวาเป็นนกตัวสูง โดยที่ด้านหลังมีคนกำลังเงื้อศรใส่พวกมัน
เรื่องนั้นมีอยู่ว่า

วันหนึ่งฤาษีวาลมิกิได้เดินทางไปพบกับนารทฤาษีผู้หยั่งรู้เพื่อถามคำถามว่า
ในโลกปัจจุบันผู้ใดถึงพร้อมด้วยคุณอันดีเลิศ เป็นวีรบุรุษ เชี่ยวชาญในข้อธรรมะแห่งชีวิต
มีเมตตา ซื่อสัตย์ และมั่นคงในคำมั่นสัญญา และปฏิบัติภารกิจมากหลาย
มีความเมตตาแก่สรรพสิ่งทั้งปวง เป็นผู้คงแก่เรียน มีวาทะอันปราดเปรื่อง รูปงาม
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใจเย็น เป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
ปราศจากความอิจฉาริษยา เมื่อมีความเคืองโกรธ ก็จักระงับข่มได้

นารทฤาษีจึงได้เล่าเรื่องขององค์รามผู้กล้าหาญให้ฤาษีวาลมิกิฟัง
ทำให้วาลมิกิและฤาษีภรัทวาชผู้เป็นศิษย์จึงได้น้อมใจคารวะพระราม
ครั้นแล้วก็ทำความเคารพพระฤๅษีศรีนารทผู้ประสงค์ลำอาคืนสู่สรวงสรรค์

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ฤๅษีวาลมีกิได้ไปยังฝั่งแม่น้ำตมสาที่ไหลลงจากแม่น้ำคงคา
ได้สังเกตเห็นน้ำอันใสบริสุทธิ์ จึงมีความอยากที่จะอาบน้ำในแม่น้ำแห่งนี้
ในบริเวณนั้นฤๅษีวาลมีกิได้เห็นนกกระเรียนเสียงหวานคู่หนึ่งกำลังยืนพลอดรัก
ขณะที่ท่านจ้องมองอยู่ พรานใจบาปผู้โหดเหี้ยมคนหนึ่งได้สังหารนกตัวผู้

นกตัวเมียจึงคร่ำครวญอย่างน่าสงสารเมื่อเห็นคู่ของมันฟุบลงกับพื้นและตายลง
ฤาษีวาลมีกิเห็นเข้าก็สะเทือนใจ จึงหลุดปากสาปแช่งนายพรานนั้น
จงอย่าได้มีชีวติที่ยืนยาวต่อไป แต่การหลุดปากนั้นเป็นฉันท์อันมีความไพเราะ
ฤาษีวาลมีกิก็คิดได้ว่าจะเอาฉันท์ที่ตนเองขึ้นได้โดยบังเอิญนี้ไปแต่งเรื่องพระราม

ทั้งพระฤาษีนารทและพระพรหมจึงมาขอให้ฤาษีวาลมีกิขับรามายณะให้ฟัง



ภาพต่อมาดูคล้ายกัน ด้านซ้ายเป็นฤาษีดีดพิณ ข้างกันเป็นพราหมณ์อุ้มเด็ก
ตรงกลางไม่ชัดว่าเป็นบุคคลใด ด้านขวาเป็นคนแต่งกายคล้านักรบ
กำลังตัดศีรษะคนผู้หนึ่งจนขาดกระเด็น ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องรามายณะ
ตอน อุตตรกาณฑ์ มีใจความโดยสรุปว่า

ครั้งหนึ่ง มีพราหมณ์อาวุโสเดินอุ้มศพบุตรชายมาที่ประตูพระราชวังของพระราม
พลางร้องไห้คร่ำครวญว่า ทำไมอยู่ดีๆ บุตรชายของตนซึ่งเพิ่งอายุได้ 5 ขวบ
ต้องมาตายก่อนเวลาอันควร การตายอย่างนี้ไม่เคยบังเกิดขึ้นมาก่อนในราชอาณาจักร
คงเป็นเพราะพระรามมีมลทินความผิดอะไรสักอย่างที่ทำให้บุตรชายของตนต้องตาย
พระองค์จงได้โปรดนำชีวิตบุตรชายของเราคืนกลับมาด้วย

พระรามก็ได้ทรงนำเรื่องดังกล่าวไปปรึกษากับวสิษฏะ วามเทพ มรรกัณเฑยะ
เมาทคัลยะ กัศยปะ กาตยายนะ ชาพาลิ เคาตมะ และนารทะ
นารทะได้กราบทูลพระรามว่า เหตุที่บุตรชายของพราหมณ์ดังกล่าวตาย
เพราะว่ามีคนวรรณะศูทรมาบำเพ็ญตบะ แล้วนารทะได้อธิบายต่อไปว่า

ในกฤตยุคนั้น มีแต่คนวรรณะพราหมณ์ที่บำเพ็ญตบะ
ในเตรตายุคจึงได้เพิ่มให้คนวรรณะกษัตริย์สามารถบำเพ็ญตบะได้อย่างพราหมณ์
ส่วนในทวาปรยุคนี้ ก็ได้เพิ่มให้คนวรรณะแพศย์สามารถบำเพ็ญตบะได้ด้วย
แต่จนกว่าจะเข้าเขตกลิยุคเมื่อไร คนวรรณะศูทรจึงจะบำเพ็ญตบะได้อย่างวรรณะอื่นๆ

นารทะจึงกราบทูลพระรามรีบเสด็จออกค้นดูว่า มีฤาษีตนใดที่เป็นคนวรรณะศูทร
ก็ให้กำจัดเสียอย่าให้เป็นมลทินแห่งทวาปรยุค พระรามจึงเสด็จโดยบุษบก
ออกตามหาฤาษีวรรณะศูทร จนกระทั่งไปพบฤาษีตนหนึ่ง ชื่อ สัมพูกะ
ณ อาศรมที่อยู่ทางทิศเหนือของภูเขาไศวละใกล้ทะเลสาป

สัมพูกะกำลังบำเพ็ญเอาหัวยืนต่างเท้า พระรามรับสั่งถามทันทีว่า
สัมพูกะเกิดในวรรณะใด สัมพูกะตอบทันทีว่า ตนเกิดในวรรณะศูทร
พระรามได้ยินดังนั้นก็ได้เอาพระแสงดาบตัดศีรษะสัมพูกะทันที



น่าจะเป็นตอนจบของรามายณะ ตอนพระรามแผลงศรสังหารราวณะ
ซึ่งเป็นชื่อของทศกัณฐ์ในมหากาพย์รามเกียรติ์ต้นฉบับของอีนเดีย
ชื่อนี้ได้มาจากตอนที่รากษสตนนี้ขับบุษบกวิเศษที่แย่งชิงมาจากท้าวกุเวน
ผ่านเขาไกรลาศอันเป็นที่ประทับของพระศิวะ แล้วบุษบกตกแล้วไม่ทำงาน

ทำให้รากษสนนี้โกรธมากจึงเอามือไปเขย่าเขาไกรลาศ
พระศิวะจึงเหยียดปลายนิวเท้ากดเขาไกรลาศทับรากษสนี้ไว้
จนขยับเขยื้อนร่างกายไปไหนไม่ได้ จึงต้องสวดสรรญเสริญพระศิวะ
นานหลายปีที่รากษสตนนี้ได้เปล่งเสียงบูชาด้วยเสียงกันดัง เป็นที่มาของชื่อ

สิ่งที่น่าสนใจคือ ภาพพระรามจะดูเหมือนภาพทหารในกระบวนทัพฝ่ายเขมร
ในขณะที่ราวณะก็ไม่ได้มีสิบเศียรสิบกรตามเทพปรณัม แต่เป็นทหารจาม
แต่เราคาดเดาได้ จากภาพสงครามธรรมดาจะไม่สลักไว้บนทับหลังแน่ๆ
และกลางภาพมีดอกไม้ทิพย์ที่โปรยลงมาเมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญเท่านั้น

แต่ที่ผมยังสงสัยคือภาพอสูรที่โผล่จากใต้เท้าของพระรามมีความหมายได



แต่ภาพอีกบางภาพที่ยังคงต้องรอการถูกตีความ เช่นภาพนี้เราเดาได้ว่า
จากซ้ายเป็นหนุมาน ตรงกลางคือฤาษี สตรีคือนางสีดา ที่ถือธนูคือพระราม
แต่เรายังไม่รู้ว่ามันคือเหตุการณืในตอนใดของรามายณะกันแน่



Create Date : 15 มีนาคม 2560
Last Update : 16 มีนาคม 2560 11:40:45 น. 3 comments
Counter : 1827 Pageviews.  

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณtuk-tuk@korat, คุณอุ้มสี


 
เหมือนไปดูจิตรกรรมฝาผนังในวัดเลยค่ะ

ขอบคุณค่ะเรื่องพระโพธิสัตว์

ทอดมันหมูก็เผ็ดนิด ๆ อร่อยค่ะทานกับข้าวเหนียวร้อน ๆ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 15 มีนาคม 2560 เวลา:16:39:12 น.  

 
ภาพพุทธประวัติยังอ่านไม่ออกเลยค่ะ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องรามเกียรติ์นี่จนด้วยเกล้าจริง ๆ


โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 16 มีนาคม 2560 เวลา:19:19:33 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ผู้ชายในสายลมหนาว Education Blog ดู Blog

ทับหลังสวยมากเลยค่ะพี่


โดย: อุ้มสี วันที่: 17 มีนาคม 2560 เวลา:11:28:48 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ผู้ชายในสายลมหนาว
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 21 คน [?]




New Comments
[Add ผู้ชายในสายลมหนาว's blog to your web]