๋Japan First Time (Part IV – Memoir of Geisha in Kyoto)
ญี่ปุ่นครั้งแรก 
ตอนที่ 4 เกอิชาและวัดวาอาราม

วันนี้จะพาไปเที่ยวเกียวโตกันค่ะ 

เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยอาหาร Japanese Style แบบเดิมๆ

อันประกอบด้วยข้าวสวย ซุปสาหร่ายเติมฟรีไม่มีกั๊ก 

แซลมอนย่างหนึ่งชิ้นถ้วน กับพวกผัก เครื่องเคียงต่างๆ

จากนั้น พวกเราก็พร้อมออกเดินทางไปเกียวโตกันแล้ว 

ด้วยการนั่งรถไฟจากสถานี Shin-Osaka ไปยังสถานี Kyoto ซึ่งใช้เวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น!!!

แต่ค่าโรงแรมที่เกียวโตแพงกว่าโอซาก้ามากพอสมควร

ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงเลือกพักที่โอซาก้ามากกว่า (เช่นเราเป็นต้น)


…………………………………………………………………………………………………………………………


สถานที่ท่องเที่ยวแรกของวันนี้คือ “ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ”

ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใกล้สถานีรถไฟที่สุดแล้วในทริปของเรา

ใกล้เหมือนวัดธาตุทองกับบีทีเอสเอกมัยยังไงยังงั้น

ศาลเจ้าแห่งนี้โดดเด่นที่เสาโทริอิสีแดงนับพับนับหมื่นต้นกับเทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกค่ะ

และเป็นวัดเดียวที่ไม่มีส่วนไหนปิดเพื่อบูรณะปฏิสังขรณ์ (หลังจากนี้ไป ซ่อมทุกที่!!!)

เสียดายที่เราไม่ได้ขึ้นไปเดินผ่านเสาโทริอิทุกต้น เพราะข้อจำกัดด้านเวลาและสภาพร่างกาย

ถ้าฝืนจะเดินให้ครบประหนึ่งว่ามาจารึกแสวงบุญ คงเป็นลมดมออกซิเจน อดเที่ยวที่อื่นพอดี



เสาโทริอิด้านหน้าโดดเด่นมากค่ะ 

เกียวโตจะเต็มไปด้วยนักเรียนมาทัศนศึกษา

และสถานที่สำคัญทุกแห่งจะมีตราปั๊มเป็นสัญลักษณ์หรือชื่อวัด

สำหรับให้นักเรียนหรือนักท่องเที่ยวปั๊มเป็นที่ระลึกหรือเอาไว้ส่งครู



เห็นเค้าดื่ม เราก็ดื่มตาม



ศาลเจ้าแห่งนี้สีสันสดใสมากกกกกกกกกค่ะ



ป้ายขอพรจะมีสองแบบ แบบแรกเป็นหน้าสุนัขจิ้งจอกที่สามารถเติมหน้าเติมตาได้

ส่วนแบบที่สอง จะเป็นเสาโทริอิจำลอง น่ารักไม่แพ้กันเลยค่ะ



เห็นเค้าแกว่งกระดิ่ง เราก็แกว่งตาม.....



ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกนะคะ

อารมณ์เหมือนวัดพญานาคของไทยเลย


……………………………………………………………………………………………………


ความจริงแถวศาลเจ้าฟูชิมิอินาริมีร้านข้าวหน้าปลาไหลชื่อดังและน่าจะอร่อยมากๆ

แต่เนื่องจากทุกคนยังไม่หิวเลยเคลื่อนที่ไปยัง “วัดโยคิมิซึ” หรือ “วัดน้ำใส”

โดยการนั่ง JR PASS ไปลงสถานี Kyoto ต่อด้วยแท็กซี่

ที่คำนวณแล้วไม่แพงนักแถมประหยัดเวลาด้วย

แต่แท็กซี่จอดส่งได้ที่ปากทางเท่านั้นนะคะ หลังจากนั้นต้องเดินขึ้นเอง ขอบอกว่า

มัน ฟินมากกกกกกก

สองข้างทางเป็นเนิน เดินลำบากก็จริง แต่มันละลานตาตระการใจสุดๆ

ขนมทุกอย่างน่ากินจนกระเพาะสั่น แต่เนื่องจากยังไม่หิว ก็เลยชิมซอฟต์ครีมแค่โคนเดียว




……………………………………………………………………………………………


พอไปถึงหน้าวัดก็รู้แล้วว่าวัดปิดปรับปรุงบางส่วน แต่ยังไงก็ต้องเข้าไปค่ะ

เพราะข้างในสวยงามอลังการใหญ่โตมโหฬารจริงๆ

ถ้าซากุระบานหรือใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดงตอนใกล้จะร่วง ยิ่งสวยกว่านี้อีก 17 เท่า

ส่วนจุดเด่นของที่นี่คือธารน้ำใส 3 สายที่เลือกดื่มได้เพียงหนึ่ง เพื่อขอพร

นิกกี้เลือกดื่มสายแรกเพราะถ่ายรูปสวยสุด จนบัดนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะได้พรด้านไหน

สุขภาพ ความรัก หรือโชคลาภเงินทอง



ด้านหน้าวัดค่ะ และด้านหลังของเพื่อนอีกสามคนในทริป ^^



ตอนยืนชมวิวหอสีแดงแห่งนี้จากที่ไกลๆ อยากเดินเข้าไปเจอตัวจริงใกล้ๆ โดยเร็วค่ะ



ผลปรากฏว่า ความสูงมี 3 ชั้นถ้วน (แต่ก็ยังสวยอยู่นะคะ)



ที่เกียวโต จะเห็นสาวๆ ญี่ปุ่นสวมชุดกิโมโนแต่งหน้าทำผมกันเต็มที่มากันเป็นแก๊งเลยค่ะ


………………………………………………………………………………………………………


จากนั้นทุกคนเริ่มหิวซ่ก ก็เดินหาร้านอาหารกินกัน

จนมาลงเอยร้านที่ขอไม่เอ่ยนามเนื่องจากอาหารไม่ค่อยอร่อยค่ะ

ดีที่ร้านสวย สะอาด น่านั่ง และอาหารมาเร็วแค่นั้น

อุด้งวันนี้หมดชามเพราะความหิวโดยแท้



ชามซ้ายบนเป็นของนิกกี้ค่ะ รสชาติมีแต่เค็มๆ  

………………………………………………………………………………………………………


จากนั้นก็ถึงเวลาที่เราชอบที่สุดในวันนี้นั่นคือ “การเดินเล่น”

ตามตรอกซอกซอยแถวเดินได้ทั้งวันก็ไม่เบื่อค่ะ บ้านเรือนดูเหมือนห้องแถวแบบเก่า

ทุกบ้านหลังกระจิ๋วหลิวทำจากไม้ก็จริง แต่ล็อคด้วยระบบไฟฟ้า มีสวนกับที่จอดรถไซส์กระป๋อง

แถมยังสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย สมกับเป็นเมืองที่อนุรักษ์ไว้ดีมาก

สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่าลืมซื้อของฝากติดไม้ติดมือกันนะคะ

นิกกี้ไปช็อปเครื่องสำอาง Yojiya ฝากแม่ พี่สาวแล้วก็น้องสาวค่ะ

แต่ราคาไม่ถูก สินค้าก็มีไม่เยอะมาก ที่มีชื่อเสียงก็มีลิปมัน กระดาษซับมัน แฮนด์ครีม

(เราเรียกชื่อแบรนด์เป็นยาชิโยะทุกครั้ง เหมือนที่ชอบเรียกเกียวโตเป็นโตเกียว เสล่อมาก)


เป็นแบบนี้ทุกตรอกซอกซอยเลยค่ะ เดินหลายชั่วโมงก็ไม่เบื่อ



เหมา Yajiyo มาถุงใหญ่ หมดไปเยอะเลยค่ะ



เห็นสาวๆ เกอิชาเดินมา ไม่กล้าขอถ่ายรูป เกรงใจ เลยแอบถ่ายเอา

(ไม่รู้อันไหนเสียมารยาทมากกว่ากันนะนี่)

………………………………………………………………………………………………………


จุดมุ่งหมายต่อไปคือศาลเจ้ายาซากะ และย่านกิอองค่ะ

พวกเราเดินตามแผนที่ไปเรื่อยๆ ระหว่างทางจะผ่าน Maruyama Park

เสียดายที่ไม่ได้แวะค่ะ เพราะทุกคนเหนื่อยล้ากันแล้ว

ในที่สุดก็มาถึง“ศาลเจ้ายาซากะ” ที่มีชื่อเสียงเรื่องโคมไฟหลายพันดวง

และที่นี่ก็ปิดซ่อมแซมปรับปรุงยกใหญ่ เรียกว่าเกือบ ¾ ของพื้นที่ (--“)

เซ็งไปตามๆ กันเลยทีเดียว ก็เลยถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันนิดหน่อย

แล้วก็ตัดสินใจไปตามล่าหาย่านกิอองกันเลย ด้วยการถามทางคนญี่ปุ่น

ซึ่งปรากฏว่าย่านกิอองนั้นเงียบกริ๊บ เพราะพวกเราไปเร็วเกินค่ะ

ร้านอาหารและสถานบันเทิงเค้าเปิดกัน 6 โมงเย็นนู่น




………………………………………………………………………………………


พอไม่ได้เจอทั้งเกอิชาทั้งไมโกะ พวกเราก็พยายามตามหาร้านกาแฟร้านขนม

ไม่เจอร้านถูกใจก็เลยจะพากันไปตายเอาดาบหน้าที่สถานี JR ด้วยการนั่งแท็กซี่

ดิฉันผู้ถือหนังสือ Survival ญี่ปุ่นมาตลอดทางและไม่ได้ทำประโยชน์อะไรทั้งทริป

ก็เอ่ยกับคนขับด้วยความมั่นใจสุดๆ ว่า “อิเตะคุดะไซ โตเกียวสเตชั่น”

คนขับตกใจตาเหลือกอุทานว่า “เอโต้!!!!!” ก่อนจะหัวเราะแล้วบอกว่า “เกียวโต?”

นิกกี้ได้แต่ยิ้ม พยักหน้าและหัวเราะ ส่วนเพื่อนอีกสามคนยังช็อกอยู่

แหม๊ พูดผิดนิดเดียวเสียวไปถึงกระเป๋าเงินทั้งใบเลยนะแกร๊

………………………………………………………………………………………


ที่สถานีมีร้านขนมให้เลือกหลายร้าน แต่บางร้านให้ซื้อกลับบ้านอย่างเดียว

เช่น ร้านเค้กผลไม้ที่เราอยากชิมมาก แต่เค้าขายทั้งก้อนค่ะ ไม่มีปัญญากินให้หมด

ในที่สุดพวกเราก็เลือกร้าน Dessert Café ที่กาแฟขมๆ ไม่มี

มีแต่ลาเต้ร้อนที่วาดฟองนมมาเป็นลายหมีกุ๊กกิ๊กคิกขุ

ผู้ชายคนเดียวของกลุ่มเลยสั่งกล้วยปั่น ส่วนสาวๆ ก็สั่งขนม

นิกกี้สั่งขนมที่ใฝ่ฝันมาตลอดชัวิตนั่นคือ Sakura Parfait with Macaron

เพื่อที่จะพบว่า.............มั น ไ ม่ อ ร่ อ ย เ ล ย

สำหรับเรา รสชาติมันพิลึกมากค่ะ หวานอ่อนๆ จืดเป็นแห่งๆ เนื้อสัมผัสเป็นแป้งๆ

กล้ำกลืนกินไปให้หมดแก้ว เพราะสนนราคา 1,000 เยน สามร้อยกว่าบาทไทย



ร้านเค้กผลไม้ น่ากินมากกกกก



โฉมหน้าซากุระพาร์เฟต์ ที่ยังจำรสชาติได้จนบัดนี้ คือไอติมมันก็แหม่งๆ

มากาครงก็จืดๆ ส่วนประกอบอื่นๆ ก็แป้งๆ บางอันแข็งจนกัดไม่ได้ก็มี

ฝันสลายยยยยยยยยยยย T_T

………………………………………………………………………………………


ได้เวลากลับโอซาก้าแล้วค่ะ พอถึงสถานี Shin-Osaka ตกลงว่าจะแยกกัน

เพราะนัชชิอยากไปย่านนัมบะเพื่อซื้อของฝากให้พ่อ

ส่วนเราก็อยากไป Muji Outlet ปุ้มเลยขอตามไปด้วย

ไปผจญภัยที่ชายขอบโอซาก้ากันสองคนค่ะ ขอบอกว่ามันไกลมากกกกกกก

แต่ถามว่าคุ้มมั้ย ขอบอกเลยว่าคุ้มมาก

เพราะก่อนเดินทางที่กรุงเทพฯ Muji ลดราคาหมอนรองคอจาก 1,150 เหลือ 800 กว่าๆ

แต่เราได้มาในราคา 300 กว่าบาท อยากจะเหมามา 5ใบแจกทั้งครอบครัว

แต่...พื้นที่ในกระเป๋ามีจำกัดค่ะ อดไป

ส่วนคุณนายคนสวยของดิฉันที่บอกว่าจะช็อปไม่เยอะ ได้มา 5-6 ถุง เยอะกว่ากรูอีก 55

สองสาวเดินหิ้วของพะรุงพะรังกะโผลกกะเผลกมาที่สถานีเพื่อเดินทางกลับค่ะ

มีปัญหากับรถไฟใต้ดินนิดหน่อยด้วย แต่ถึงจะหาของกินยากในเวลาเกือบ 4 ทุ่ม

เรายังมีแฟมิลี่มาร์ท มีมาม่ารสชาติจัดจ้านพอประมาณรองรับเราอยู่ค่ะ

พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางตั้งแต่ 06:30 น.แต่ดันหลับตอนเที่ยงคืนกว่าๆ

ดิฉันมั่นใจมากว่าถ้าไม่เป็นศพ ก็ต้องเป็นซิ้มแก่ๆ แน่นอน



ภายใน Outlet ค่ะ เหมือนห้างสรรพสินค้า

แต่ระหว่างทางจากสถานีมาที่นี่ยามกลางคืนแอบน่ากลัว

สาวๆ อย่ามาคนเดียวเลยนะคะ ถึงประเทศนี้จะปลอดภัยก็เหอะ



Muji ส่วนใหญ่ลด 30% จากป้ายค่ะ

เราได้หมอนรองคอ ปากกา กระเป๋า เกลือแช่ตัว สครับ ฯลฯ

……………………………………………………………………………………………………


หลังจากไปเปิดดูรูปวันต่อมาแล้วก็ตะลึงกับความทรุดโทรมของตัวเอง

เลยขอส่งท้ายเอนทรี่นี้ด้วยความสวยงามเพื่อเป็นการปลอบใจตัวเอง (ห๊ะ!)

นั่นคือ รูปดิฉันและเพื่อนสาวคนสวยค่ะ 5555555













Create Date : 07 กรกฎาคม 2557
Last Update : 11 กรกฎาคม 2557 23:42:46 น.
Counter : 3951 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

NickyOkawa
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



นักเขียน นักอ่าน และเจ้าของร้านฝึกหัด
กรกฏาคม 2557

 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
31