เรื่องราวรักแสนหวานละมุน...อบอุ่นหัวใจ by บุลินทร
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2557
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
6 กรกฏาคม 2557
 
All Blogs
 
รักแรกแค้น : บทนำ + บทที่ ๑ (บุลินทร)

  สวัสดีครับชาวบล็อกแกงค์ หลังจากห่างหายจากการลงนิยายในบล็อกมานานมาก วันนี้บุลินทรนำเรื่องใหม่กลับมาลงอีกครั้งครับ ชื่อเรื่องรักแรกแค้น เป็นแนวโรแมนติกดราม่า หวังว่าจะถูกใจเพื่อนๆนักอ่านนะครับ ถ้ามีคำแนะนำติชมอะไรสามารถพูดคุยทักทายกันได้นะครับ









บทนำ

จุดเริ่มต้นของจุดจบ




“กรี๊ด-ด-ด-ด-ด!”

    เสียงกรีดร้องซึ่งดังออกมาจากห้องนอนของประมุขบ้านวสุนธราตอนกลางดึก ทำให้ทุกคนบนตึกใหญ่สะดุ้งตื่น รีบออกจากห้องของตนและตรงมายังห้องต้นเสียงทันที

    คามินมาถึงเป็นคนแรก ตามด้วยวีรปรียาและกนกนัดดาซึ่งมาจากอีกฝั่งของตึก ต่างคนต่างประหลาดใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังไม่ทันที่คามินจะได้เคาะเรียกบิดา ประตูไม้สีครีมก็เปิดออกเสียก่อน พร้อมกับหญิงสาวร่างระหงในชุดนอนผ้าซาตินสีขาวบางเบายืนอยู่เบื้องหลังประตูบานใหญ่ด้วยอาการตื่นตระหนก

    “ช่วยด้วยค่ะ” เธอกระวีกระวาดบอกและหันกลับไปมองชายวัยกลางคนซึ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียงโดยมีมือหนึ่งกุมหน้าอกด้านซ้าย

    “คุณพ่อเป็นอะไร!” พร้อมกับถาม คามินก้าวเข้าไปในห้องโดยไม่สนว่าไหล่หนาจะชนร่างเพรียวจนอีกฝ่ายเซถอยหลัง

    วีรปรียาและกนกนัดดาเดินตามเข้ามาติดๆ ใบหน้าของสองแม่ลูกซีดขาวด้วยความหวั่นกลัวเมื่อเห็นสภาพของประมุขบ้านวสุนธรานอนนิ่งสนิทจนผิดปกติ

    “คุณพ่อเป็นอะไร! บอกฉันมาสิ!” ชายหนุ่มหันมาตวาดอย่างหัวเสียเมื่อหญิงสาวในชุดนอนวาบหวิวน่าหวาดเสียวไม่ยอมตอบคำถามสักที

    “เมื่อกี้…เมื่อกี้ฉันนวดให้คุณปราบค่ะ แล้วอยู่ดีๆ…เขาก็เจ็บหน้าอกขึ้นมากะทันหันและหมดสติไป” อุรัสยาบอกเสียงสั่น เหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นรวดเร็วจนเธอตั้งตัวไม่ทัน

    “ตายแล้ว!” วีรปรียายกมือขึ้นทาบอก “โรคหัวใจของคุณปราบต้องกำเริบแน่ๆ ยา…ยาอยู่ไหน” หญิงวัยกลางคนสอดส่ายสายตามองหาวุ่นวาย

    กนกนัดดาและคามินช่วยกันหายาที่ใช้อมใต้ลิ้นเมื่ออาการโรคหัวใจกำเริบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพบในลิ้นชักหัวเตียง หลังจากให้ท่านอมยาใต้ลิ้นหนึ่งเม็ดจึงรีบประคองท่านเพื่อนำส่งโรงพยาบาลโดยเอายาติดไปด้วย

“เร็วเข้าตาหนึ่ง” ใบหน้าวีรปรียาเต็มไปด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย

    “ดาช่วยค่ะ” กนกนัดดากุลีกุจอเข้าไปช่วยคามินนำร่างไร้สติของผู้เป็นลุงลงไปขึ้นรถทันที แต่แม้จะไปถึงโรงพยาบาลเร็วเพียงใดก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อชายวัยกลางคนทนไม่ไหว สิ้นลมหายใจตั้งแต่ก่อนถึงมือหมอ จึงไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

    ทันทีที่ทราบว่าไม่อาจยื้อชีวิตบิดาไว้ได้ สมองของคามินชาวาบและมึนงงจนทำอะไรไม่ถูก แข้งขาอ่อนแรงเกือบจะล้มทั้งยืน ความเจ็บปวดมหาศาลแล่นขึ้นมาจุกอกพร้อมกับความโกรธ สองความรู้สึกตีวนในอกรุนแรงราวกระแสน้ำเชี่ยวกราก มือหนากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน

    เพราะผู้หญิงคนนั้น! เพราะเธอคนเดียวที่ทำให้พ่อเขาต้องตาย!

    “แบบนี้ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าตายคาอก คุณปราบนะคุณปราบ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แถมยังมีโรคประจำตัว แต่ก็ยังไปคว้าผู้หญิงรุ่นลูกมาทำเมีย แม่คนนั้นก็ไม่อายฟ้าดินเลย ยอมเป็นเมียคุณปราบเพราะเงินแท้ๆ ส่วนคุณปราบก็หลงใหลไม่ลืมหูลืมตา แล้วเป็นยังไงล่ะ สุดท้ายก็ตายเพราะมันจนได้” วีรปรียาส่ายหน้าไปมากับเรื่องบัดสีที่เกิดขึ้นภายในบ้าน คำพูดของเธอทำให้คามินหน้าเคร่งขึ้นกว่าเดิม ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะ

    “คุณแม่คะ” กนกนัดดาแตะแขนมารดาและเอ่ยเบาๆเมื่อเห็นว่าเวลานี้ไม่ควรต่อว่าใคร

    “ไม่เป็นไรหรอกดา น้าปรียาพูดถูก ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่เข้ามาในชีวิตคุณพ่อ ท่านอาจไม่จากเราไปเร็วแบบนี้” คามินเอ่ยเสียงดุดัน แววตาแข็งกร้าว

นายปราบ…นักธุรกิจผู้มีชื่อเสียง เจ้าของวสุนธรารีสอร์ตแห่งเขาใหญ่ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ สุดท้ายต้องตายเพราะผู้หญิงรุ่นราวคราวลูก ใครได้ยินได้ฟังมีหรือจะพูดถึงในทางที่ดี ร้ายกว่านั้นพวกนักข่าวคงใส่สีตีไข่แต่งนู่นเสริมนี่เต็มที่ เข้าทำนองยิ่งฉาว ยิ่งเหม็นคาว ยิ่งขายได้ แต่ในทางกลับกัน ชื่อเสียงของพ่อเขาและคนตระกูลวุสนธราก็ต้องป่นปี้ไปด้วย สาเหตุก็เพราะอุรัสยาเพียงคนเดียว!

    “แล้วหนึ่งจะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังไง” หญิงวัยกลางคนถามอย่างพร้อมสนับสนุน

    “ผมจะเอาเรื่องเธอให้ถึงที่สุด!” เขาจะยอมให้คนที่เป็นต้นเหตุแห่งการสูญเสียครั้งนี้ลอยนวลได้อย่างไร เธอเป็นคนพรากพ่อบังเกิดเกล้าไปจากเขา เธอก็ต้องชดใช้ให้สาสม หากกฏหมายทำอะไรอุรัสยาไม่ได้ เขาก็จะเป็นคนพิพากษาเอง!

    หัวใจของคามินเจ็บร้าวรุนแรงมากขึ้นหลายเท่าเมื่อนึกถึงใบหน้าเธอ ทำไมผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นอุรัสยาด้วย ทำไมต้องเป็นผู้ซึ่งเป็นรักแรกพบของเขา เป็นคนที่เขามั่นใจว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือด้วยอย่างมีความสุขแบบที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน

    ทำไม! ทำไม!

    คามินถามตัวเองซ้ำๆ แม้รู้ดีว่าไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งเกลียด ยิ่งชัง ยิ่งขยะแขยงอุรัสยามากขึ้นทุกที

ตั้งแต่วันที่รู้ว่าเธอเข้ามายังบ้านวสุนธราในฐานะภรรยาคนใหม่ของพ่อ ความรักและประทับใจที่มีให้หญิงสาวก็หมดสิ้นไปทันที และชาตินี้ทั้งชาติ เขาสาบานว่าจะไม่มีวันปล่อยให้หัวใจเผลอรักผู้หญิงคนนี้เป็นครั้งที่สองอีกเด็ดขาด!











แรกสบตาเธอก็เผลอใจ





สองเดือนที่แล้ว…

        หลังจากเสร็จสิ้นการถวายเพลและกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรรวมถึงคนในครอบครัวผู้ล่วงลับ ทุกคนก็แยกย้ายกันนำน้ำออกมาเทรดโคนต้นไม้ด้านนอกโบสถ์ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบร่มรื่นของต้นไม้เขียวขจี

          กนกนัดดาในชุดเสื้อและกระโปรงสีขาวเรียบร้อยเดินเคียงออกมากับสวิช ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงผ้าสีน้ำตาลเข้มซึ่งรู้จักกันภายในวัด เพราะเขาและเธอต่างมาทำบุญและบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ที่วัดนี้หลายครั้ง เห็นหน้ากันบ่อยเข้าจึงเริ่มพูดคุยทำความรู้จักและกลายเป็นเพื่อนกันในที่สุด

          เวลาต่อมาสองหนุ่มสาวก็มาช่วยกันกวาดลานวัดร่วมกับผู้มาทำบุญคนอื่นๆอีกสองสามคน นอกจากนั้นบางส่วนยังไปทำความสะอาดห้องน้ำ เอาอาหารให้สัตว์ที่อยู่ภายในวัด และทำงานอื่นๆ

          ‘คุณดาว่าการแก้แค้นคนที่เรารัก เพราะเขาทำให้เราเจ็บ…เป็นเรื่องผิดหรือเปล่าครับ’ จู่ๆสวิชก็ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

          ‘ทำไมถึงถามแบบนี้ละค่ะ’ หญิงสาวหรี่ตามองชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ

          เขาหัวเราะเบาๆ ดวงตาเรียวรีหลังกรอบแว่นผ่อนคลายขึ้น ‘ถามเล่นๆน่ะครับ พอดีช่วงนี้ผมเห็นข่าวหลายข่าวเป็นเรื่องการทำร้ายคนรักของตัวเอง เพราะอีกฝ่ายบอกเลิกหรือทำให้เจ็บ บางทีก็แอบได้ยินคนที่ทำงานคุยกันว่าจะแก้แค้นแฟนเก่าแบบแสบๆยังไงดี’

          ‘คุณวิชก็เลยอยากรู้ว่า ถ้าเอาคืนเพราะเขาทำเราก่อนจะผิดหรือเปล่าเหรอคะ’

          ‘ใช่ครับ คุณดาคิดยังไง’ สวิชถามไป มือที่ถือไม้กวาดทางมะพร้าวก็กวาดเศษใบไม้แห้งกรอบบนลานดินไปไม่หยุด

          ‘อืม…’ กนกนัดดาครุ่นคิด นานทีเดียวก่อนจะตอบ ‘ดาว่า…ไม่ผิดหรอกค่ะที่คนเราจะโกรธแค้นเวลาโดนทำร้าย หัวใจไม่ใช่ก้อนหินนี่คะที่จะไม่รู้สึกอะไรเลย’

          ‘หมายความว่าการแก้แค้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วเหรอครับ’ คิ้วหนาของคนถามขมวดมุ่น

          ‘ดาก็ฟันธงไม่ได้ว่ามันถูกหรือผิด เพราะคำว่าถูกกับผิดของแต่ละคนต่างกัน แต่สำหรับดา ดาไม่สนับสนุนการแก้แค้นหรอกค่ะ แค้นได้ แต่เราต้องรู้จักควบคุมความแค้นด้วย ถ้าสมมติว่าแบ่งความแค้นออกเป็นสามระดับ เราก็ต้องรีบถอนความแค้นออกจากใจให้ได้ตั้งแต่ระดับที่หนึ่งก่อนที่มันจะเพิ่มมากขึ้นจนถึงระดับสูงสุด เพราะตอนนั้นคงยากที่จะควบคุมมัน และความแค้นอาจนำพาเราไปสู่ความวิบัติได้’

          สวิชฟังแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย ขณะที่กนกนัดดากล่าวต่อ

          ‘อ้อ ดาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อเคยเทศน์เรื่องการแก้แค้นคนที่เรารัก วันนั้นคุณวิชไม่ได้มาวัดค่ะ ท่านบอกว่าถ้าเราทำอย่างนั้น เท่ากับว่าเราไม่ได้รักเขาจริงๆนอกจากรักตัวเอง เพราะถ้ารักเขาก็คงไม่ทำร้ายเขา ถ้าเขาเลือกเดินจากเราไป เราก็ควรยินดีกับทางที่เขาเลือกมากกว่า แล้ววิธีการแก้แค้นที่ดีที่สุดคือการให้อภัยและปล่อยวางค่ะ เพราะทั้งเราและเขาจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด’

          ‘ขอบคุณมากนะครับคุณดา เป็นคำตอบที่ดีมากๆ’ ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ดวงตาเรียวรีพราวไสว

          ‘ว่าแต่คุณวิชคงไม่ได้คิดแก้แค้นใครหรอกนะคะ เอ๊ะ หรือว่าทำไปแล้วถึงมาถามคะเนี่ย’ หญิงสาวแซวและหัวเราะเบาๆ       

‘ยังครับ ยังไม่ได้ทำอะไรใครเลย แต่ถึงผมจะคิดแก้แค้นใครจริงก็คงต้องล้มเลิกความคิด เพราะได้ข้อคิดจากคุณดานี่ละครับ แก้แค้นด้วยการให้อภัย และถอนความแค้นออกจากใจให้ได้ตั้งแต่ต้น ความพยาบาทจะได้ไม่นำเราไปสู่หายนะ อยากให้คนอื่นได้ฟังที่คุณดาบอกด้วยจริงๆ เผื่อจะทำให้ข่าวฆ่าแกงกันเพราะความแค้นในทีวีกับหนังสือพิมพ์น้อยลง’ สวิชเอ่ยพลางลอบถอนหายใจราวกับมีเรื่องกลัดกลุ้มที่เล่าให้กนกนัดดาฟังยังไม่หมด



คามินยกมือไหว้โกศเก็บเถ้ากระดูกของมารดาภายในวัดและกล่าวลาท่าน ก่อนจะหันหลังเดินมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ ระหว่างทางใจยังระลึกถึงช่วงเวลาสั้นๆที่มีโอกาสอยู่ด้วยกัน เพราะแม่สารภีจากเขาไปตั้งแต่ตอนอายุได้เพียงเจ็ดปี แต่ถึงอย่างนั้นความผูกพันที่เขามีต่อท่านก็มากมายจนไม่อาจประเมินได้

          แม้วันนี้คามินจะกลายเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบเจ็ดย่างยี่สิบแปด แต่เวลาใดที่ใจหดหู่ ร่างกายหมดพลัง เขาก็ยังต้องการที่พึ่งและใครสักคนเป็นแรงใจอยู่ดี คนเราให้กำลังใจตัวเองได้ก็จริง แต่อย่างไรมันคงไม่มีพลังเท่ากำลังใจจากคนที่เรารัก

          และช่วงเวลาอย่างนี้ คามินก็นึกถึงแม่เป็นคนแรก แม้ท่านจะพูดคุยกับเขาไม่ได้ แต่การได้มาระบายความอัดอั้นตันใจก็ทำให้เขาดีขึ้นทุกครั้ง สายตาของท่านที่มองจากภาพหน้าโกศราวกับปลอบโยนและบอกให้เขาสู้กับชีวิตต่อไปเสมอ

          หลังจากแม่เสีย คามินถูกเลี้ยงโดยวีรปรียา ผู้ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันกับพ่อเขา และนับถือพ่อเป็นพี่ชาย แต่ชายหนุ่มก็ไม่รู้รายละเอียดมากนักว่าพวกท่านร่วมเผชิญอะไรกันมา

          วีรปรียามีลูกสาวอีกหนึ่งคนคือกนกนัดดาซึ่งเกิดหลังคามินไม่กี่ปีและเติบโตมาด้วยกัน แม้กนกนัดดาจะขาดพ่อ แต่ก็ร่าเริงสดใสตามวัย ขณะที่คามินกลับรู้สึกว่าตัวเองขาด แม่…ก็จากเขาไป ส่วนพ่อก็ทำงานจนไม่มีเวลาแม้แต่จะฟังตอนเขาจะเข้าไปอวดผลการเรียนที่สอบได้ที่หนึ่งของห้อง เวลาทุกวินาทีของพ่อทุ่มเทให้กับงาน งาน และงาน จนบางครั้งคามินคิดอยากเป็นเด็กธรรมดาที่ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย เพราะพ่อคงมีเวลาให้เขามากกว่านี้ นานวันความอ้างว้างยิ่งก่อตัวลึกๆในใจของเขา และความรักของวีรปรียาก็ไม่มีวันเติมเต็มหัวใจอันโหยหาได้

          ‘พ่อครับ วันพ่อปีนี้…พ่อว่างไปโรงเรียนหนึ่งหรือเปล่าครับ’ เด็กชายวัยสิบขวบรวบรวมความกล้าเข้าไปถามท่านในห้องทำงานตอนสามทุ่ม แม้รู้ว่าคำตอบคงไม่ต่างจากปีก่อนๆ แต่ก็ยังแอบหวังว่าปีนี้พ่อจะว่าง

          ‘อ้าว ยังไม่นอนอีกเหรอ’ ปราบซึ่งก้มหน้าก้มตาทำงานจนไม่รู้ตัวว่าลูกชายเข้ามาถามอย่างประหลาดใจ

          ‘ยังครับ หนึ่งรอคุยกับคุณพ่อ’ คามินเดินเข้าไปยังโต๊ะทำงานตัวใหญ่และนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามท่าน ดวงตาไร้เดียงสาเต็มไปด้วยความหวัง

          ‘เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก สามทุ่มควรจะนอนได้แล้ว’ ท่านบ่นพลางส่ายหน้าระอา

          ‘คุยกับคุณพ่อเสร็จ หนึ่งจะไปนอนเลยครับ’ เด็กชายรับปากมั่นเหมาะ

‘อืมๆ วันพ่ออาทิตย์หน้าเหรอ’ ปราบหันไปมองปฏิทินตั้งโต๊ะอย่างเสียไม่ได้ แล้วหันกลับมามองใบหน้ากลมๆของลูกที่รอคอยคำตอบตาละห้อย ‘เดี๋ยวพ่อดูอีกทีแล้วกันว่าว่างไหม เพราะอาทิตย์หน้าต้องไปดูรีสอร์ตที่เขาใหญ่’

          ‘คุณพ่อของคนอื่นเขาไปกันหมดเลยนะครับ หนึ่งก็อยากอวดบ้างว่าพ่อของหนึ่งหล่อและเก่งแค่ไหน’ คามินเอ่ยเอาใจและยิ้มแต้

          ‘อยากให้พ่อไปเพราะอยากอวดเพื่อนเท่านั้นน่ะรึ’ ปราบหัวเราะอย่างเห็นขัน ‘วันพ่อมันไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอกน่า แค่พ่อไม่ไป มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย’

          เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเด็กชายก็ห่อเหี่ยวลง รู้ดีว่าปีนี้คงได้แต่นั่งมองเพื่อนที่มีพ่อมางานตาปริบๆเช่นเดิม ‘แต่หนึ่งอยากให้พ่อไปจริงๆนะครับ’

          ‘ให้น้าปรียาไปแล้วกัน’

          ‘แต่โรงเรียนหนึ่งจัดงานวันพ่อนะครับ น้าปรียาเป็นน้า น่าจะไปวันน้ามากกว่า คุณพ่อไปนะครับ ไม่งั้นหนึ่งต้องอายเพื่อนแน่ที่ไม่ว่าปีไหนก็ไม่มีพ่อมางานกับเขา คุณแม่คงเสียใจด้วยที่คุณพ่อไม่ยอมไป นะครับคุณพ่อ หนึ่งขอร้อง’ คามินพยายามหาเหตุผลมารบเร้าบิดาเต็มที่ แต่นานเข้า ปราบก็เริ่มหมดความอดทนตามประสาคนอารมณ์ร้อนง่าย

          ‘ไม่มีพ่อไปสักคนแกไม่ตายหรอกน่า! อย่าทำตัวมีปัญหานักได้ไหมไอ้หนึ่ง ไปนอนได้แล้วไป เสียเวลาทำงานฉัน แล้วนั่นจะร้องไห้ทำไม!’ ปราบชี้หน้าและเอ่ยเสียงเข้มดุเมื่อเห็นดวงตาใสๆมีน้ำตาคลอคลอง ริมฝีปากเริ่มเบะ แต่เจ้าตัวยังพยายามสะกดกลั้นเอาไว้ข้างใน เพราะไม่เช่นนั้นจะถูกทำโทษ

          ‘เปล่าครับ หนึ่งไม่ได้ร้องไห้’ คามินส่ายหน้าทั้งที่ตาแดงเต็มที

          ‘อย่าให้ฉันเห็นน้ำตาแกหยดลงมาแม้แต่หยดเดียวนะ! แกเป็นลูกผู้ชาย ต้องเข้มแข็ง แล้วที่ฉันทำงานหนักก็เพื่ออนาคตของแก ฉันเคยลำบาก ไม่มีเงินสักบาท ฉันรู้ว่ามันแย่แค่ไหน ตอนนี้เราสบายเพราะมีเงิน แต่ถ้าไม่ทำงาน สักวันเงินก็จะหมดไป ฉันไม่อยากให้แกใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบแบบฉัน ฉันเลยต้องทำงานงกๆอยู่นี่ไง เดี๋ยวแกโตขึ้นก็เข้าใจฉันเอง ไปนอนเถอะไป’ ปราบโบกมือไล่

          ‘ครับพ่อ’ เด็กชายพยักหน้ารับคำ แม้จะออกมาจากห้องทำงานของบิดาแล้ว แต่น้ำตาก็ไม่ไหลลงมาแม้แต่น้อย คามินเงยหน้าขึ้นให้น้ำตาแห่งความเสียใจไหลย้อนกลับ เขาต้องไม่ร้องไห้อย่างที่พ่อบอก ต้องเก็บอารมณ์เอาไว้ให้ได้!

          หลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ชายหนุ่มก็เดินมาถึงลานจอดรถของวัดโดยไม่รู้ตัว รถซีดานสีขาวติดฟิล์มมืดปกปิดสายตาคนภายนอกของเขาจอดอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ไม่ไกล ถัดไปคือกระบะสีดำและรถอีกคันซึ่งยี่ห้อและสีเดียวกันกับรถเขา ติดฟิล์มสีเข้มน้อยกว่ากันนิดเดียว ท่าทางจะเข้ามาจอดทีหลัง เพราะตอนเข้ามายังไม่เห็น

คามินกดปุ่มปลดล็อกรถ ก่อนเปิดประตูขึ้นไปนั่งยังฝั่งคนขับ แม้อยากจะหยุดคิดเรื่องที่ทำให้ตะกอนขุ่นๆภายในใจลอยวนขึ้นมาอีก แต่ดูเหมือนความคิดของเขายังดำเนินต่อไปอย่างห้ามไม่ได้

          คามินปวดแปลบในใจทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องราวของเขากับพ่อในวัยเด็ก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รักพ่อมาก และหวังว่าสักวันท่านจะปล่อยวางเรื่องงานบ้าง แต่ปีแล้วปีเล่า เขาก็เห็นภาพพ่อเอาแต่ทำงานเช่นเดิม จนเมื่อคามินเข้าเรียนมัธยม โลกที่กว้างใหญ่ขึ้นก็ทำให้คิดถึงครอบครัวน้อยลง เพราะเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับเพื่อนตามประสาวัยรุ่น ยิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ชีวิตของคามินก็ยิ่งห่างไกลจากครอบครัว แต่ถึงจะมีความสุขกับเพื่อนฝูงเพียงใด ความโหยหาก็ยังเกาะกุมอยู่ในส่วนลึกของหัวใจไม่จางหาย

          ด้วยความหน้าตาดีและร่ำรวยทำให้สาวๆเข้ามาในชีวิตของคามินมากมาย และชายหนุ่มก็ยินดีจะอ้าแขนรับไมตรีเหล่านั้น แม้รู้ว่าบางครั้งมันคือไมตรีปลอมๆ ทุกคนต่างหวังกอบโกยจากเขา เพราะหากไปกินไปเที่ยว คามินจ่ายไม่อั้น แต่ก็นั่นละ ถ้ามันทำให้เขารู้สึกดีกับการมีคนมารักและเอาอกเอาใจได้ ทำไมเขาต้องปฏิเสธด้วยล่ะ

แต่อีกทางเขาก็สามารถบอกเลิกทุกคนได้ทันทีหากไม่พอใจหรือเบื่อขึ้นมา หรือบางทีก็อาจเรียกพวกเธอกลับมาเมื่อคิดถึง และผู้หญิงพวกนั้นก็ไม่ได้มีปัญหา ตราบใดที่เขามีเงิน!

ตอนนั้นเขาคิดว่าเงินเท่ากับความสุข และคามินก็หัวเราะอย่างขมขื่นกับตัวเองทุกครั้งที่คิดอย่างนี้ ถ้ามีคนแย้งว่าไม่ใช่ ชายหนุ่มจะแย้งกลับทันที เพราะตั้งแต่ใช้เงินเป็น มันก็ทำให้เขาได้สิ่งที่ต้องการตลอด แล้วความคิดของเขาจะไม่ถูกต้องได้อย่างไรกัน

          ระหว่างเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มใช้ชีวิตอย่างโชกโชน จนเมื่อขึ้นปีสี่ได้มาเจอหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเรียนอยู่คนละคณะ ผู้หญิงคนนี้ต่างจากคนอื่นที่เขาคบมา เพราะนอกจากจะคอยห้ามไม่ให้เขาใช้เงินฟุ่มเฟือยแล้ว เธอยังออกค่าอาหารและค่าเที่ยวคนละครึ่งโดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากให้ใครมองว่าเธอเกาะคามินกิน นั่นทำให้เขาประทับใจเธออย่างมาก

          ทว่าคามินก็ไม่คิดจะเปลี่ยนนิสัย เขาใช้เงินทำให้หญิงสาวที่เขารักมีความสุขมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชายหนุ่มคบหาเธอนานกว่าใคร เพราะเธอยอมเขาได้ทุกเรื่องจนคามินตั้งใจว่าถ้าเรียนจบเมื่อไหร่จะขอเธอแต่งงาน แต่แล้วความฝันก็พังทลายเมื่อหญิงสาวบอกเลิกเขาและไปแต่งงานกับผู้ชายอายุคราวพ่อ

          ‘เพราะไอ้นั่นมันรวยกว่าผมใช่ไหม คุณถึงแต่งงานกับมัน’ คามินรู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ

          ‘เปล่าเลยหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องเงิน’ รสิตาแค่นหัวเราะ

          ‘แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ ไอ้นั่นแก่ก็แก่ ถ้าไม่ใช่เพราะเงินแล้วเพราะอะไร!” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเกรี้ยวกราดคาดคั้น

          ‘นั่นสิ เขาแก่ แล้วก็ไม่ได้หล่อรวยเหมือนหนึ่งด้วย แล้วทำไมเราถึงเลือกเขา หนึ่งยังไม่รู้อีกเหรอ’ รสิตาทำเสียงฮึในลำคอ

          ‘ผมจะไปรู้ได้ยังไง ผมไม่ใช่คุณนี่ หัวใจคุณซับซ้อนจนผมไม่มีปัญญาหาคำตอบได้หรอก’ คามินประชดด้วยแววตาเจ็บปวดผิดหวัง

          ‘ง่ายๆเลยหนึ่ง ก็เพราะหนึ่งนิสัยไม่ดีน่ะสิ ที่ผ่านมาหนึ่งปีไม่ใช่ว่าเราเข้ากันได้ดีหรอกนะ แต่เป็นเพราะเรายอมหนึ่ง ยอมทุกอย่าง และหวังว่าจะเปลี่ยนนิสัยหนึ่งได้ แต่สุดท้ายก็เปล่าเลย หนึ่งต้องการให้เราเป็นในแบบที่หนึ่งอยากให้เป็น หนึ่งเอาแต่ใจ เอาตัวเองเป็นใหญ่ เราอึดอัด เราทนไม่ไหวแล้วหนึ่ง’

          ‘ข้ออ้าง’ คามินหัวเราะอย่างสมเพช

‘มันคือความจริงต่างหาก เราไม่ได้มองคนที่หน้าตาและฐานะ คนที่จะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันได้คือคนที่ยอมรับตัวตนของกันและกัน และยอมปรับตัวเข้าหากันคนละครึ่งทาง บางครั้งอาจต้องเปลี่ยนในสิ่งที่ฝืนใจ แต่ก็ทำได้เพื่อคนที่เรารัก ซึ่งเราก็ยอมเปลี่ยนนิสัยบางอย่างเพราะรักหนึ่ง แต่หนึ่งสิ ไม่เคยปรับปรุงตัวเองเลยแม้แต่อย่างเดียว แล้วก็กลายเป็นเรายอมมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราก็รู้ว่าเรากับหนึ่งคงไปกันไม่ได้แน่ เราอยากเดินเคียงข้างหนึ่ง ไม่ใช่อยู่ภายใต้แทบเท้าหนึ่ง!’

          ‘ผมไม่เข้าใจว่าผมนิสัยไม่ดียังไง ในเมื่อผมให้ความสุขคุณทุกอย่าง ทั้งพาไปกินอาหารดีๆ ไปเที่ยวที่สวยๆ มีรถหรูให้นั่ง คุณยังไม่พอใจอีกเหรอ’

          ‘เราพูดไปหมดแล้วและขี้เกียจพูดซ้ำ เอาเป็นว่าจบกันแค่นี้นะหนึ่ง ขอให้หนึ่งโชคดีแล้วกัน’ ภาพที่เธอเดินจากไปยังฝังลึกอยู่ในมุมมืดของความทรงจำตลอดมา

ผู้หญิงที่เขาคบมาทั้งหมดไม่มีใครเหมือนรสิตา เธอมองข้ามหน้าตาและความร่ำรวยของเขา คามินสัมผัสได้ว่าเธอรักเขาอย่างจริงใจ แต่เขาผิดเองที่นิสัยไม่ดี

ชายหนุ่มคิดว่าคงไม่มีวันเจอผู้หญิงเหมือนเธออีกแล้ว เพราะแต่ละคนที่ผ่านเข้ามาล้วนมองเขาแค่เปลือกนอก ต้องการเพียงเงินทองของเขา แม้เขาจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่มีใครที่จะก้าวเข้ามาสัมผัสหัวใจอย่างลึกซึ้ง จากวันนั้นคามินจึงไม่เคยมอบรักแท้ให้ผู้หญิงคนไหนอีกเลย นอกจากสนุกสนานข้ามคืนกับพวกเธอเมื่อร่างกายเรียกร้อง จนกระทั่ง…

          ประตูรถของเขาเปิดออกพร้อมกับเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ‘เออๆ กำลังจะไปแล้ว’ 

คามินหลุดจากภวังค์ความคิด เงยหน้าขึ้นสบตาคนที่เอาโทรศัพท์แนบหู อีกฝ่ายเบิกตาโตอย่างตกใจ แต่ด้วยความที่ตั้งท่าจะหย่อนตัวนั่งแล้ว จึงทำให้ยั้งไม่ทันแม้พยายามฝืนตัวเองไว้ สุดท้ายหญิงสาวก็เสียหลักนั่งลงบนตักเขา

          ‘เฮ้ยคุณ!’

          ‘ว้าย!’

          มือหนาโอบร่างเพรียวไว้โดยอัตโนมัติ ทุกอย่างรอบตัวนิ่งงันไปเกือบสิบวินาทีเมื่อดวงตาสองคู่สบประสานกันในระยะประชิด

          มีผู้หญิงไม่กี่คนที่ทำให้คามินตกตะลึงได้ตั้งแต่แรกพบสบตา และเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น ใบหน้ารูปไข่ล้อมรอบด้วยเรือนผมสีดำขลับดัดลอนอ่อนๆ ดวงตาเรียวยาวสีน้ำตาลวาวสวย จมูกโด่งรั้น และริมฝีปากอิ่มเต็มสีแดง เหมือนหลุดออกมาจากภาพวาดนางในวรรณคดี

          ขณะที่คามินมองเธอด้วยสายราวกับต้องมนตร์ หญิงสาวก็ขืนตัวออกจากอ้อมแขนแกร่ง และลุกขึ้นยืนพร้อมก้มศีรษะเล็กน้อย

          ‘ขอโทษนะคะ ฉันขึ้นรถผิดคันน่ะค่ะ’ ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยกระแสความมาดมั่น ฉะฉาน เข้ากับการแต่งตัวของเธอที่เป็นชุดเสื้อสูทลำลองสีดำสวมทับเกาะอกสีน้ำเงินและกระโปรงผ้าเอวสูงสีขาวเข้ารูปยาวคลุมเข่าทันสมัยปราดเปรียว

          เมื่อหญิงสาวเอ่ยจบก็หมุนตัวเดินไปขึ้นรถของตัวเองที่จอดถัดจากกระบะสีดำพร้อมบ่นพึมพำระหว่างทาง ‘บ้าจริงเรา มัวคุยโทรศัพท์จนไม่ดูตาม้าตาเรือจะไปขึ้นรถใครก็ไม่รู้’ แม้รถคันนั้นจะยี่ห้อและสีเดียวกับรถเธอ แต่ถ้าเธอไม่คุยเพลินจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็คงไม่ทะเล่อทะล่าทำเรื่องน่าอับอายแบบนั้น

          ‘ขอโษนะครับ’ เสียงทุ้มดังตามหลังมา

          หญิงสาวหยุดเดินและหันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ‘คะ?’ คิ้วเรียวที่เขียนไว้คมกริบเลิกขึ้น ‘มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าเมื่อกี้รถคุณเสียหาย’

          ‘เปล่าครับ ผมแค่คิดว่าเราสองคน…’ ชายหนุ่มทอดเสียงนุ่มนวล ก่อนเอ่ยต่อพร้อมขมวดคิ้วเข้มแสร้งทำสงสัย ‘…ไม่เคยพบกันมาก่อนใช่ไหม’

          ‘คะ?’ เธออึ้งไปสามวินาทีกับคำถามของเขา

          ‘เราไม่เคยเจอกันมาก่อนใช่ไหมครับ’ ชายหนุ่มยิ้มเป็นมิตร

          คนฟังรีบเรียกสติกลับมาก่อนตอบชัดเจน ‘ก็ใช่น่ะสิคะ’ ตาคนนี้จะมาไม้ไหนเนี่ย นึกว่าจะบอกว่าเคยพบกันมาก่อนเสียอีก

          ‘โอ้ ดีเลยครับ งั้น…เรามาทำความรู้จักกันดีกว่า ผมคามินนะครับ เรียกว่าหนึ่งก็ได้’ คามินยื่นมือออกมาเบื้องหน้าอย่างมีอัธยาศัย

          ‘ค่ะ คุณหนึ่ง ยินดีที่ได้รู้จัก’ หญิงสาวไม่สัมผัสมือตอบ แต่เดินไปขึ้นรถของตัวเอง และขับออกจากวัดทันที ทิ้งให้คนร่างสูงมองตามอย่างงงๆ เพราะไม่คิดว่าสาวเจ้าจะขับรถหนีเสียดื้อๆโดยไม่ยอมแนะนำตัวกลับ ครั้นขับรถตามออกไปก็ไม่เห็นท้ายรถซีดานสีขาวแล้ว

ผู้หญิงอะไรไวจริงๆ!

คามินพ่นลมหายใจอย่างเจ็บใจตัวเองที่เมื่อครู่รั้งเธอไว้ไม่ทัน แต่สวยแถมหยิ่งแบบนี้ เขาไม่มีวันปล่อยให้เดินผ่านไปง่ายๆหรอก ยังไงก็จะต้องตามหาให้เจอ เพราะเธอขโมยหัวใจคนใจง่ายอย่างเขาไปแล้วครึ่งดวง!



Create Date : 06 กรกฎาคม 2557
Last Update : 6 กรกฎาคม 2557 20:43:19 น. 0 comments
Counter : 902 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นิชนันท์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






คนกำลังอ่าน


Friends' blogs
[Add นิชนันท์'s blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.