ความคิดเปลี่ยนชีวิต #101 อย่ามีสายตาโจร
ผมเป็นแฟนรายการ ดอกเตอร์สุวรรณ วลัยเสถียร นักกฎหมายและที่ปรึกษาทางด้านภาษีระดับประเทศที่เคยมีข่าวฮือฮาไปทั้งประเทศในช่วงเวลาหนึ่งก่อนหน้านี้ ท่านจัดรายการ ในสถานีวิทยุ FM 96.5 (คลื่นความคิด) เนื่องจากท่านชอบเล่าถึงประวัติชีวิตการทำงานและแนวคิดเกี่ยวกับการเก็บเงินเก็บทองให้กับพวกเราที่เป็นคนทำงานฟัง ซึ่งตัวท่านเองนั้นประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตจากการจบที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมีความมั่งคั่งอยู่ในระดับที่ทุกคนยอมรับ
แม้ว่าปัจจุบันท่านจะมีเงินทองมากมายจนใช้ไม่หมดแล้วในชาตินี้เป็นคนชอบกินขนมกุยช่ายและใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับภรรยาในบ้านซึ่งซื้อมานานแล้ว และยังออกมาให้เวลาแบ่งปันความรู้ให้กับคนทั่วไปอยู่เสมอ
มีวันนึงพูดถึงเรื่องของการรู้จักอดใจไม่ให้ซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือยโดยการเปรียบเทียบเอาไว้ดีมากท่านบอกว่าเราไม่ควรเป็นคนที่สอดส่ายสายตามองหาที่จะซื้อนู่นซื้อนี่หรือเปรียบเทียบไว้อย่างสั้นเข้าใจง่ายว่า
"อย่ามีสายตาโจร"
หมายความว่าอย่ามัวแต่มองหาว่าจะอยากได้โน่นได้นี่เหมือนโจรที่คอยจ้องจะฉกทรัพย์สินของคนอื่นเพราะเมื่อเรามีความอยากขึ้นมาเมื่อใดไม่ว่าจะมีเงินหรือไม่ก็ตามเราก็จะพยายามซื้อมันมาให้ได้แต่สุดท้ายแล้วของเรานี้ก็ไม่รู้ว่าจำเป็นจริงๆเลยแค่เพียงอยากซื้อเท่านั้น
ผมเชื่อเรื่องนี้สุดหัวใจเพราะตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่โตเกียวประเทศญี่ปุ่นทุกสุดสัปดาห์ผมจะชอบไปเดินเล่นแถวย่านอากิฮาบาร่า (Akihabara)ซึ่งเป็นย่านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆจะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่มีแคมเปญมาล่อใจอยู่ ทุกสัปดาห์ ของที่เคยเห็นอยู่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วลดราคาลงมาดื้อหรือสินค้าใหม่ที่เปิดตัวดูมันเจ๋งซะเหลือเกินผมกลับมาด้วยการซื้อของติดมือมาทุกครั้งทั้งที่ก่อนไปไม่ได้คิดว่าจะไปซื้ออะไรเลย
ของใช้ที่เป็นที่นิยมในช่วงเวลานั้นก็มีจำพวกเครื่องเล่น Mini Disc (Walkman) , PlayStation เกมบอย คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค , กล้องดิจิตอลเพิ่งออกมาทำตลาดด้วย. กล้องดิจิตอลเมกกะพิกเซล เริ่มทำตลาด แว่นตาจำพวก Virtual Reality ก็มีแล้ว ตอนนั้นยังไม่มี iPod iPhone iPad เหมือนปัจจุบัน
ซึ่งเป็นสัจธรรมและความจริงเป็นอย่างมากว่าเราส่วนใหญ่มักถูกกระตุ้นด้วยโปรแกรมการตลาดมากมายเคยมีคน พูดในทำนอง วัดใจว่า
"หากใครไปเดินห้างสรรพสินค้าแล้วไม่มีอะไรติดมือกลับมาเลยหรือไม่เสียสตางค์ซื้ออะไรสักบาทหนึ่งเลยถือว่าใจแข็งมาก"
"ซื้อของเพราะจำเป็น...อย่าซื้อเพราะอยากได้"
ในยุคปัจจุบันคำพูดนี้ก็ยิ่งต้องให้ความสำคัญมากขึ้นเพราะการซื้อและการใช้จ่ายเงินมันง่ายมากทั้งระบบการจ่ายเงินที่เป็นแบบใช้บัตรพลาสติกหรือ Cashless ที่ใช้มือถือหรือการโอนจากบัญชีผ่านมือถือโดยตรง การซื้อโดยผ่อนดอกเบี้ย 0% หรือมีดอกเบี้ยที่เรามองว่าเพียงเล็กน้อยแต่ถ้าคำนวณให้ดีแล้วถือว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงมากเช่น 0.79% ต่อเดือนเหลือเกือบ 10% ต่อปีเลยทีเดียว
อีกทั้งการซื้อของก็ช่างง่ายเหลือเกินมีเว็บไซต์จำพวกอีคอมเมิร์ซเปิดขึ้นมาหลากหลายโดยเฉพาะเว็บไซต์หนึ่งซึ่งผมคิดว่ามันช่างสะดวกง่ายดายอะไรขนาดนี้ โดยมีสโลแกนว่า "Shopping แบบไม่ต้องใช้แรง" (Effort Less Shopping) มีของใช้มากมายทางที่จำเป็นและไม่จำเป็นขายด้วยราคาที่แตกต่างกันจากร้านที่หลากนำมาลดราคาแข่งกันให้คนเข้าไปซื้อและแถมมี Point ให้คนกลับเข้ามาซื้อของลดราคาไปกว่าเดิมอีกสร้างการซื้อซ้ำไม่รู้จบ การจ่ายเงินก็ทำได้ทุกแบบแม่กระทั่งเก็บเงินปลายทางไม่ได้รับของ แบบว่าวัดใจกันไปเลยว่าถ้าขนาดนี้แล้วยัง มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ซื้ออีกหรือ
มองในแง่ดีก็คือเราสามารถซื้อของได้โดยไม่ต้องเสียเวลาออกไปเดินหาที่ตามห้างเหมือนแต่ก่อนถ้าสิ่งของนั้นเป็นสิ่งจำเป็นแต่หากเราเข้าไปเพื่อเลือกหาซื้ออะไรที่เรายังไม่ต้องการอันนี้อันตรายครับ เพราะจะสร้างหนี้ ไม่รู้จบ
โมเดลธุรกิจของ บริษัทบัตรเครดิตก็คือ
"ลูกค้าต้องเป็นหนี้อยู่เสมอ"
(ลูกค้าต้องซื้อของผ่านบัตรอยู่สม่ำเสมอ)
หากเรามีสติไม่หลงไปกับการใช้จ่ายอย่างเพลิดเพลินแบบรูดปรื้ด เราก็จะไม่เป็นหนี้
ซึ่งถือว่าเป็นความสุขในชีวิตอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
อีกวิธีคิดหนึ่งก็ดีน่าสนใจครับคือถ้าเราบอกว่าการซื้อของเป็นเพียงการย้ายที่จากร้านมาที่บ้านเราเท่านั้นเราก็คิดว่าเราฝากไว้ที่ร้านก่อนอยากไปเล่นไปลองเมื่อไหร่ก็ไปที่ร้าน
เข้าใจครับว่ามันไม่เหมือนกันก็จริงความรู้สึกที่ได้ครอบครองมันขาดไปแต่หากคิดในใจว่าของฉันนั่นแหละจะฝากเอาไว้ที่ร้านก่อนนะเหมือนกับรายการหนึ่งที่พูดถึง อุตสาหกรรม ปลาคราฟในญี่ปุ่นที่เจ้าของซื้อแล้วก็ฝากเลี้ยงไว้ที่ฟาร์มที่ญี่ปุ่นไม่ว่าเจ้าของจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ในประเทศใดก็ตาม เนื่องจากสภาพอากาศและการเลี้ยงดูดีกว่าเอากลับไปเลี้ยงที่ประเทศของตนเอง
สุดท้ายแล้วอยู่ที่วิธีคิดครับเงินอยู่ในกระเป๋าเราถ้าเก่งจริงก็มาเอาไปคิดแบบนี้เงินก็จะอยู่ในกระเป๋าคุณไปอีกนานครับ