เทคนิคการซื้อประกันรถยนต์ให้คุ้มค่าสุดๆ




เทคนิคการซื้อประกันรถยนต์ให้คุ้มค่าสุดๆ







สวัสดีครับ ใครที่ติดตามบทความของผมมา ก็จะพบว่า ผมจะเขียนให้ความรู้ในเรื่องของประกันชีวิตซะส่วนใหญ่ ดังนั้นในวันนี้ ผมจึงขอมาให้ความรู้ในเรื่องของการทำประกันอย่างอื่นบ้าง นอกเหนือจากประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันอุบัติเหตุที่เคยเขียนไปแล้ว วันนี้จึงขอเลือกเป็นเรื่องของการทำ “ประกันรถยนต์” กันบ้างนะครับ

ประกันรถยนต์ ถือเป็นประกันที่มีจำนวนกรมธรรม์มากที่สุดเป็นอันดับ 3 (สถิติจากคปภ. ปี 2558) รองจากประกันชีวิต และประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ด้วยจำนวน 8,436,789 กรมธรรม์ (2558) ซึ่งถือว่า ไม่ใช่ตัวเลขที่น้อยๆเลย ด้วยจำนวนกรมธรรม์ที่มากขนาดนี้ แต่จะมีสักกี่กรมธรรม์ ที่สามารถทำประกันรถยนต์ได้อย่างคุ้มค่า ตรงตามความเสี่ยงเฉพาะตัวของเรา เพื่อไม่ให้เราต้องจ่ายเบี้ยแพงเกินกว่าความจำเป็น?


ที่ตั้งคำถามขึ้นมาเช่นนี้ ก็เพราะผมสังเกตว่า คนส่วนใหญ่ มักจะคิดว่า ประกันรถยนต์ชั้น 1 นั้นดีที่สุดเพราะมีรายการคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด แม้เบี้ยประกันจะแพงที่สุดก็ตาม แต่ถ้าผมถามว่า ใครก็ตามที่ซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 ไปทุกปี แต่ไม่เคยต้องเคลมเลยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แบบนี้ยังจะคิดว่า ประกันชั้น 1 ดีที่สุดอยู่หรือไม่?

แต่ก่อนจะตอบคำถามนี้ได้นั้น ก่อนอื่น เรามาศึกษาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่า ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท และแต่ละประเภท ครอบคลุมความคุ้มครองอะไรบ้าง

ปกติแล้ว ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ (ซื้อเอง นอกเหนือจากที่บังคับทำพรบ.รถยนต์) มีอยู่ 4 ประเภท หรือ 4 “ชั้น” ได้แก่ ชั้นที่ 1, 2, 3 และ 4 แต่ส่วนใหญ่จะได้รับความนิยมกันแค่ถึงชั้นที่ 3 เพราะชั้นที่ 4 เป็นเพียงแบบที่คุ้มครองรถของคู่กรณี ไม่มีการคุ้มครองการบาดเจ็บของผู้ขับขี่ใดๆ ทั้งตัวผู้ขับและตัวคู่กรณี จึงไม่เป็นที่นิยม นอกจากนั้น ก็ยังมีชั้นย่อยที่ขยายความคุ้มครอง หรือมีการร่วมจ่ายด้วย ได้แก่ ชั้น 1 แบบมีส่วนร่วมจ่าย ชั้น 2+ และชั้น 3+ ซึ่งแต่ละชั้นก็จะมีความคุ้มครองทั้งส่วนของฝั่งผู้ขับเอง และฝั่งของบุคคลภายนอก หรือคู่กรณี ดังนี้



ชั้นที่ 1
สำหรับบุคคลภายนอก (หรือคู่กรณี)
ส่วนของตัวบุคคล จะคุ้มครองทั้งกรณีเสียชีวิตและการบาดเจ็บ
ส่วนของรถ จะคุ้มครองค่าซ่อมแซมของรถคู่กรณี
สำหรับผู้ขับ
ส่วนของตัวบุคคล จะคุ้มครองทั้งกรณีเสียชีวิตและบาดเจ็บ
ส่วนของรถ จะคุ้มครองค่าซ่อมแซมรถที่เสียหาย ทั้งกรณีชนแบบมีคู่กรณี (เราขับไปชนเอง) และไม่มีคู่กรณี คุ้มครองกรณีรถสูญหายหรือถูกโจรกรรม และคุ้มครองกรณีรถถูกไฟไหม้หรือน้ำท่วมด้วย

ชั้นที่ 1 แบบมีส่วนร่วมจ่าย
จะมีความคุ้มครองทุกอย่างเหมือนกับแบบชั้นที่ 1 เพียงแต่จะมีเงื่อนไขให้ผู้ทำประกัน ต้องจ่ายค่าเสียหายเมื่อเกินความเสียหายก่อนส่วนหนึ่ง ส่วนเกินที่เหลือจึงจะเบิกเคลมได้ ซึ่งแบบนี้จะมีค่าเบี้ยถูกกว่าแบบที่ 1 ประมาณ 3,000-5,000 บาท (เยอะกว่าค่าใช้จ่ายส่วนแรกที่ต้องรับผิดชอบ)


ชั้น 2
สำหรับบุคคลภายนอก
ส่วนของตัวบุคคล จะคุ้มครองทั้งกรณีเสียชีวิตและการบาดเจ็บ
ส่วนของรถ จะคุ้มครองค่าซ่อมแซมของรถคู่กรณี
สำหรับผู้ขับ
ส่วนของตัวบุคคล จะคุ้มครองทั้งกรณีเสียชีวิตและบาดเจ็บ
ส่วนของรถ จะคุ้มครองกรณีรถสูญหายหรือถูกโจรกรรม และคุ้มครองกรณีรถถูกไฟไหม้หรือน้ำท่วม เท่านั้น แต่จะไม่คุ้มครองกรณีที่เกิดความเสียหายจากการขับไปชนเอง ไม่ว่าจะมีคู่กรณีหรือไม่ ก็ตาม

ชั้นที่ 2+
มีความคุ้มครองทุกอย่างเหมือนกับแบบชั้นที่ 2 เพียงแต่เพิ่มกรณีคุ้มครองรถของตัวผู้ขับเอง กรณีขับไปชนแบบมีคู่กรณี เท่านั้น

ชั้นที่ 3
สำหรับบุคคลภายนอก
ส่วนของตัวบุคคล จะคุ้มครองทั้งกรณีเสียชีวิตและการบาดเจ็บ
ส่วนของรถ จะคุ้มครองค่าซ่อมแซมของรถคู่กรณี
สำหรับผู้ขับ
ส่วนของตัวบุคคล จะคุ้มครองทั้งกรณีเสียชีวิตและบาดเจ็บเท่านั้น แต่จะไม่มีการคุ้มครองตัวรถของผู้ขับไม่ว่าจะกรณีใดๆ

ชั้นที่ 3+
มีความคุ้มครองทุกอย่างเหมือนกับแบบชั้นที่ 3 เพียงแต่เพิ่มกรณีคุ้มครองรถของตัวผู้ขับเอง กรณีชนแบบมีคู่กรณี เท่านั้น

จะเห็นได้ว่า ถ้าดูในแง่ของความคุ้มครองอย่างเดียวนั้น ประกันรถยนต์ชั้น 1 ย่อมจะเป็นประเภทที่ดีที่สุด เพราะมีความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากที่สุด แต่บางที ประกันที่ความคุ้มครองมากที่สุด ก็อาจจะไม่ใช่ประกันที่เหมาะสม หรือคุ้มค่าที่สุดก็ได้ เพราะถ้าหากเป็นคนที่มีทักษะการขับรถที่ดี สมาธิดี วินัยดี และมีการใช้งานที่ไม่เสี่ยงอันตราย (เช่น ไม่ขับเร็ว / ไม่ขับตอนดื่ม / ไม่ขับทางไกล) นั่นก็แสดงว่าเป็นคนที่มีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้น ความคุ้มครองที่ครอบคลุมทุกอย่าง อาจจะมีมากเกินความเหมาะสมที่สอดคล้องกับความเสี่ยงของเขา ทำให้ถ้าไปทำในแบบที่ความคุ้มครองมาก ก็อาจจะเป็นการสูญเปล่า ในส่วนของค่าเบี้ยประกันที่จ่ายแพงกว่าความคุ้มครองที่ควรจะมี เพราะมีโอกาสน้อยมากที่จะได้ใช้ความคุ้มครองเพิ่มเติมเหล่านั้น

ดังนั้น วิธีที่เหมาะสมที่สุดในการบริหารความเสี่ยงในเรื่องของค่าซ่อมรถยนต์ จึงอาจจะไม่ใช่วิธี “ซื้อประกันรถยนต์แบบที่ความคุ้มครองมากที่สุด” หรือ “ไม่ต้องซื้อเลย” แต่ควรจะเป็น “ซื้อแบบที่มีความคุ้มครองที่สอดคล้องกับพฤติกรรมและความเสี่ยงของเรามากที่สุด” มากกว่า เพื่อให้เราไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันที่สูงเกินความจำเป็น โดยที่ยังมีความคุ้มครองที่เหมาะสมกับเราอยู่ นั่นเองครับ

เอาล่ะ เมื่อเข้าใจหลักการแล้ว ทีนี้มาดูกันดีกว่า เราจะประเมินความเสี่ยงในการขับขี่ของตัวเราเองยังไง เพื่อให้เราทราบว่า เรามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน เหมาะกับการทำประกันรถยนต์ชั้นอะไร ซึ่งมีการพิจารณาอยู่ด้วยกัน 3 ด้าน โดยให้เราลองสอบถามหรือสำรวจตัวเองในแต่ละด้าน ดังนี้ครับ

1. ด้านประสบการณ์

มีประสบการณ์ขับรถมากี่ปีแล้ว? (ไม่ใช่ระยะเวลาที่ใช้งานรถคันที่ขับนะครับ แต่หมายถึงตัวคนขับเอง) ในระยะหลัง (เช่น 1-2 ปีที่ผ่านมา)
ยังมีการขับไปชนคนอื่นเองหรือไม่? บ่อยแค่ไหน?
ความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อขับไปชน มากหรือน้อย?

2. ด้านพฤติกรรม

ใช้รถบ่อยแค่ไหน? (ใช้ทุกวัน / ใช้บางวัน)
ใช้เวลาในการขับขี่ต่อวัน นานแค่ไหน? กี่ชั่วโมง? หรือระยะทางที่ขับต่อวัน ไกลแค่ไหน? กี่กิโลเมตร?
สไตล์การใช้งานรถยนต์เป็นยังไง? (ขับเร็วหรือช้า? / ขับตอนเช้าหรือตอนดึกมากกว่า? / ใช้เพื่อการเดินทางส่วนตัว หรือใช้เพื่อทำงาน? งานอะไร?)

3. ด้านการยอมรับความเสี่ยง

รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน?
ถ้าชนแล้วยินดีจ่าค่าเสียหายเองบางส่วนไหม? (เพื่อให้เบี้ยประกันถูกลง)
เมื่อเราทราบทั้งความคุ้มครองของประกันรถยนต์แต่ละประเภท และได้ประเมินความเสี่ยงของตัวเองอย่างคร่าวๆแล้ว ทีนี้เราก็พอจะสามารถ “จับคู่” ความเหมาะสมระหว่างประกันรถยนต์แต่ละชั้น ให้เข้ากับพฤติกรรมและความเสี่ยงแต่ละแบบได้แล้ว ซึ่งเมื่อจับคู่แล้วหน้าตาจะออกมาประมาณนี้



ซึ่งก็พอจะสรุปได้คร่าวๆ ดังนี้ครับ

คนที่มีความเสี่ยงสูง [เช่น ประสบการณ์ขับรถน้อย (เพิ่งขับมาไม่เกิน 5 ปี) / ทักษะการขับยังไม่ค่อยดี ยังมีขับไปชนเองอยู่ประปราย / ขับด้วยความเร็ว ชอบซิ่ง / มีการเดินทางไกลบ่อยๆ หรือต้องขับรถวันละหลายๆชั่วโมง (เกิน 4 ชั่วโมง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องขับในเวลากลางคืนบ่อยๆ] แบบนี้ แนะนำเป็นชั้น 1 ไปเลย เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายครับ

คนที่ขับไปชนเองไม่บ่อย แต่ชนแล้วชนหนัก (เช่น กระโปรงหน้ายุบไปครึ่งหนึ่ง) แบบนี้ เหมาะกับแบบ ชั้น 1 แบบมีส่วนร่วมจ่าย ครับ เพราะถึงแม้เราจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกไปก่อน แต่ก็ถือว่าไม่มาก เมื่อเทียบค่าซ่อมทั้งหมด (เพราะชนหนักค่าซ่อมจะแพง) โดยรวมจึงช่วยเราป้องกันความเสี่ยงได้ โดยที่ไม่ต้องจ่ายเบี้ยต่อปีแพงเท่าชั้น 1 ถึงต้องออกค่าซ่อมเองบางส่วน ถ้าเราชนไม่บ่อย ทำให้คุ้มกว่าไปซื้อชั้น 1 ครับ

คนที่มีความเสี่ยงน้อย [เช่น ขับรถมานานแล้ว (เกิน 10 ปี) / แทบจะไม่เคยขับไปชน (2 ปี อาจจะชนสัก 1-2 ครั้ง) ถ้าชนแล้วก็ไม่เสียหายมาก / ขับรถด้วยความเร็วปกติ / ใช้รถไม่หนัก (วันหนึ่งไม่เกิน 4 ชั่วโมง, ไม่ได้ขับรถไกลๆทุกวัน)] แบบนี้ ก็จะเหมาะกับชั้น 2, 3 หรือ 2+, 3+ มากกว่า ส่วนจะ เลือกแบบ + หรือไม่ ก็ดูว่าที่เราขับชน มักจะไปชนคนอื่น (มีคู่กรณี) หรือไม่ ถ้าส่วนใหญ่มีคู่กรณี ก็ควรเลือกแบบ 2+ หรือ 3+ (เพราะมีการคุ้มครองรถเรากรณีมีคู่กรณี) แต่ถ้าส่วนใหญ่ชนแบบไม่มีคู่กรณี (เช่น ครูดกับเสา, ชนฟุตบาท ฯลฯ) แบบนี้ก็เหมาะกับ 2 หรือ 3 มากกว่า และ ส่วนจะ 2 หรือ 3 ก็แค่ดูว่า เราอยากได้ความคุ้มครองกรณีรถสูญหาย ไฟไหม้ด้วยรึเปล่า ถ้าต้องการก็เลือก ชั้น 2 (หรือ 2+) แต่ถ้าไม่ ก็เลือกชั้น 3 (หรือ 3+) ครับ

ทั้งหมดนั่นก็คือแนวทางการพิจารณาเลือกซื้อประกันรถยนต์ให้เหมาะกับความเสี่ยงของเรา เพื่อให้เราได้ประกันที่เหมาะกับตัวเอง โดยไม่เป็นการจ่ายค่าเบี้ยแพงเกินความจำเป็น หรือทำน้อยเกินไป ทำให้เราได้ซื้อประกันรถยนต์ได้อย่างคุ้มค่า แต่เราจะเหมาะกับชั้นอะไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว จะซื้อประกันรถยนต์ชั้นอะไร ขึ้นอยู่กับการรับความเสี่ยงของเราครับ ว่าเรารับได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าเรารับความเสี่ยงไม่ได้เลย ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง แม้เราจะมีความเสี่ยงต่ำก็ตาม สุดท้ายก็เลือกชั้น 1 ที่มีความคุ้มครองมากที่สุดได้ ตามความอุ่นใจของเราเป็นหลัก แต่ถึงอย่างไร การประเมินความเสี่ยงให้ใกล้เคียงกับโอกาสเกิดความเสียหายให้มากที่สุด ก็ยังถือเป็นหลักการสำคัญของการทำประกันเพื่อบริหารความเสี่ยง ที่เราควรจะเข้าใจ และยึดเป็นหลักในการวางแผนทำประกันอยู่ดีครับ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://goo.gl/J5hY1Phttps://goo.gl/J5hY1P



สาขาการบริหารและจัดการ
Business Blog



newyorknurse




Create Date : 02 มิถุนายน 2560
Last Update : 5 กรกฎาคม 2560 8:28:19 น. 0 comments
Counter : 1215 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณTui Laksi, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณอุ้มสี, คุณmambymam, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ


newyorknurse
Location :
ราชบุรี .. New York ... United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [?]






เริ่มเขียนBlog
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553

ยินดีต้อนรับค่ะ

จขบ.บันทึกประสบการณ์ต่างๆ
ระยะเวลาทำงานและระยะเกษียณ
เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ

จขบ.พยายามใช้ชีวิตเกษียณให้มีคุณค่า
รักษาสุขภาพใจและกาย ท่องเที่ยวกับเพื่อนๆ
ทำสวนดอกไม้ ออกกำลังกาย
สมัครเป็นสมาชิก 24 Hrs Fitness
เพื่อให้ชีวิตที่เหลืออยู่มีคุณภาพ
จะได้ไม่เป็นภาระกับคนที่รักและห่วงใย

จขบ.เพิ่มบล็อกสุขภาพ
เพื่อจะได้นำสาระที่มีประโยชน์
เกี่ยวกับสุขภาพทั่วๆไป

จขบ.หวังว่าข้อมูลต่างๆช่วยให้
ทุกท่านที่มาอ่าน รักษาสุขภาพ
ไปตรวจเพื่อเป็นการป้องกัน
และได้รับการรักษาเนิ่นๆ เพื่อ
ชีวิตที่แข็งแรงและมีคุณภาพ

"A time to enjoy,
a time to spend time with your family
and a time to be with your friends
all comes with retirement"


*****


"Live The Moment"

อยู่กับปัจจุบันขณะ หยุดเสียใจกับสิ่งที่เกิดขี้น
ในอดีตและกลัวหรือกังวล
สิ่งทีเกิดขี้นในอนาคต "วันนี้" และ "ขณะนี้"
คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคุณ !!
ใช้มันให้ดีที่สุดให้เป็นช่วงเวลาทีมีคุณค่า
น่าจดจำเพราะว่าเวลาเป็นสิ่งที่ผ่านมา
และผ่านเลยไป เอาคืนไม่ได้และ
หาเพิ่มก็ไม่ได้เช่นกัน

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ


*********


ขอบคุณ Bloggang ทำให้เราได้เขียนบล็อกต่างๆ
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวด
ทุกๆคะแนน นะคะ

BG Popular Award # 19


BG Popular Award # 18


BG Popular Award # 17


BG Popular Award # 16


BG Popular Award # 15


BG Popular Award # 14


BG Popular Award # 13


BG Popular Award # 12


BG Popular Award # 11


BG Popular Award # 10


BG Popular Award # 9


BG Popular Award # 8

**********



ขอบคุณทุกหัวใจวาเลนไทน์ 2561
ที่เพื่อนๆมอบให้ค่ะ


ขอบคุณทุกหัวใจวาเลนไทน์ 2560
ที่เพื่อนๆมอบให้ค่ะ
Flag Counter
New Comments
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2560
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
2 มิถุนายน 2560
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add newyorknurse's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.