ย่างเข้าต้นเดือนธันวาคมแล้ว ในหลายๆ พื้นที่ ลมหนาวคงจะเริ่มมาเยือนกันบ้างแล้วใช่ไหมครับ พอหน้าหนาวมาถึงทีไร ถ้าให้นึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวรับลมหนาวที่ฮิตๆ กัน ก็คงจะหนีไม่พ้นจังหวัดทางภาคเหนืออย่างเชียงใหม่ เชียงราย หรือแม่ฮ่องสอน แต่การจะไปเที่ยวทางเหนือสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในภูมิภาคนั้น ก็ต้องใช้เวลานานหลายวันถ้าไม่ได้เดินทางโดยเครื่องบิน แถมไปถึงถ้าต้องไปแย่งกินแย่งเที่ยวกับมหาชนที่พร้อมใจกันไปเที่ยวเหนือโดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาว ก็คงจะสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจมิใช่น้อย ..... สำหรับคนที่หาเวลาหยุดยาวๆ ได้ลำบากแบบผม ก็เลยต้องมองหาที่เที่ยวที่อยู่ไม่ไกลนัก โดยมีเงื่อนไขว่าต้องได้สัมผัสกับอากาศหนาวเย็นและมีบรรยากาศคล้ายๆ กับทางภาคเหนือ คิดไปคิดมาก็เหลือตัวเลือกไม่มาก สุดท้ายก็มาจบที่ "อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี" ซึ่งในช่วงสี่ห้าปีมานี้การท่องเที่ยวที่สวนผึ้งกำลังฮิตขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เพราะมีบรรยากาศที่สวยงามโอบล้อมด้วยขุนเขาไม่แพ้เมืองเหนือ และยังมีที่พักสวยๆ ออกแบบได้โดดเด่นสะดุดตาให้เลือกพักกันมากมาย ที่สำคัญอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ แค่นิดเดียว ไปเช้าเย็นกลับก็ยังไหว ทริปช่วงหยุดวันพ่อของผมก็เลยมาลงเอยที่สวนผึ้งนี่เอง .....หนาวนี้ไปเที่ยวราชบุรีเมืองโอ่งด้วยกันนะครับ เมื่อต้นปีนี้ผมได้มีโอกาสมาสัมผัสกับสวนผึ้งไปแล้วครั้งหนึ่ง โดยครั้งนั้นได้พักที่รีสอร์ทสุดฮิตอย่าง "Scenery resort" ด้วยความสวยงามของที่พักและอากาศที่บริสุทธิ์สดชื่นเย็นสบาย สร้างความประทับใจให้กับผมได้มากมาย หลังกลับมาบ้านไม่กี่เดือนก็เริ่มคิดถึงมนต์เสน่ห์ของสวนผึ้งขึ้นมาอีกแล้ว ผมจึงเริ่มมองหาที่พักสวยๆ สำหรับช่วงปลายปีเพื่อไปสัมผัสอากาศหนาวเย็นที่สวนผึ้ง สุดท้ายผมก็เลือกจองที่พักไว้ที่ "บ้านอ้อมกอดขุนเขา" ซึ่งเป็นรีสอร์ทที่ฮิตไม่แพ้ Scenery resort เผลอแป๊บเดียวก็ถึงเวลาที่เราจะได้ไปพักที่นั่นแล้ว จากปราจีนบุรีบ้านเราถึงสวนผึ้ง ผมใช้เส้นทางถนนพระรามสอง-ธนบุรีปากท่อ ผ่านแยกวังมะนาวแล้วเลี้ยวไปทางราชบุรี จากนั้นค่อยเดินทางต่อไปยังอำเภอสวนผึ้ง ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงก็ได้มายืนสูดอากาศบริสุทธิ์ที่สวนผึ้งกันแล้ว ..... ก่อนจะเข้าที่พัก เราได้แวะเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่รายทางกันก่อน เริ่มจากจุดแรกที่ "โป่งยุบ" ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านท่าเคย ก่อนถึงตัวอำเภอสวนผึ้ง 5 กม. มีทางแยกซ้ายไปอีกประมาณ 5 กม. เกิดจากการยุบตัวของแผ่นดิน ทำให้เกิดลักษณะหน้าผาสูงชัน มีลักษณะคล้ายกับแพะเมืองผีที่จังหวัดแพร่ หรือ ฮ่อมจ๊อม อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน โป่งยุบนี้มีอาณาบริเวณกว้างกว่า 10 ไร่ ซึ่งแต่เดิมท้องที่นี้เคยเป็นไร่นามาก่อน ต่อมาเจ้าของจึงมาปรับปรุงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว นับเป็นสถานที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งในสวนผึ้ง ....."โป่งยุบ" มีลักษณะเป็นแผ่นดินที่ยุบตัวลงไปดูแปลกตาดี ช่วงที่เราไปเป็นช่วงวันหยุดยาว จึงมีนักท่องเที่ยวแวะไปเที่ยว "โป่งยุบ" กันค่อนข้างมาก ที่นี่เป็นพื้นที่ของเอกชน มีการเก็บค่าเข้าชมคนละ 20 บาท ควรจะไปช่วงเช้าๆ อากาศจะได้ไม่ร้อนมาก เพราะในพื้นที่นั้นไม่ค่อยมีต้นไม้ใหญ่ให้หลบร้อนกันเท่าไหร่นัก แล้วก็อย่าลืมทาครีมกันแดดหรือเตรียมร่มกันไปด้วยนะครับ ที่โป่งยุบนี้ไปเห็นของจริงแล้ว ดูจะเล็กกว่าแพะเมื่องผีหรือฮ่อมจ๊อมอยู่พอสมควร แต่ก็พอจะมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปอยู่บ้าง .....มุมสวยๆ มุมหนึ่งที่โป่งยุบดื้อเล็กชอบใจได้มาเที่ยวโป่งยุบ เราใช้เวลาเดินเที่ยวโป่งยุบกันอยู่ประมาณ 45 นาทีก็ทั่วแล้ว กลับออกมาก็เป็นเวลาเที่ยงเศษๆ ท้องเริ่มหิว เราจึงมุ่งตรงไปยังร้านอาหารขึ้นชื่อของสวนผึ้งที่เคยมีคนแนะนำว่าอาหารอร่อย นั่นก็คือ "ร้านครัวกระเหรี่ยง" แต่พอเราไปถึงก็ต้องผิดหวังเพราะมีนักท่องเที่ยวจองโต๊ะกันเต็มหมดแล้ว วันนั้นทางร้านจึงไม่รับขาจรต้องจองโต๊ะไปล่วงหน้า หลังผิดหวังจากที่นี่ เรามองหาร้านอื่นๆ ต่อ ลองไปที่ "ร้านตะนาวศรี" แต่โต๊ะก็เต็มเช่นกัน ..... อะไรกันนี่ อุตส่าห์ไม่ไปเที่ยวเหนือเพราะกลัวต้องไปแย่งที่กินกับคลื่นมหาชน แต่ก็ต้องมาเจอกับการแย่งที่กินกันที่สวนผึ้งอีกจนได้ สุดท้ายผมก็นึกขึ้นได้ว่า เคยอ่านเจอใน webboard ว่ามีร้านอาหารอีกแห่งหนึ่งที่บรรยากาศดีวิวสวยติดแม่น้ำภาชี อยู่ที่ "ทรัพย์คณารีสอร์ท" ซึ่งปัจจุบันตกแต่งปรับปรุงใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น "Eden Garden Resort" เราจึงเร่งเดินทางไปในทันทีเพราะท้องเริ่มประท้วงด้วยการส่งเสียงร้องโครกครากแล้ว ไปถึงก็ไม่ผิดหวัง เพราะคนไม่เยอะและที่สำคัญวิวสวยสมกับที่ได้ยินมาจริงๆ .....ร้านอาหารตั้งอยู่ที่ "Eden Garden Resort" หรือ ชื่อเก่าคือ "ทรัพย์คณารีสอร์ท" นั่นเองบรรยากาศดีๆ ที่ร้านอาหารใน "Eden Garden Resort" นอกจากอาหารอร่อยแล้ว ยังมีอาหารตาเป็นวิวสวยๆ แบบนี้อีกด้วย อาหารที่นี่รสชาติอร่อยใช้ได้ แต่ว่ามีรายการอาหารให้เลือกน้อยอย่างไปนิด และราคาค่อนข้างจะสูงกว่าร้านอื่นๆ ในสวนผึ้งอยู่ซักหน่อย แต่เมื่อรวมกับบรรยากาศสวยๆ ทั้งบริเวณร้านอาหารและบริเวณรีสอร์ทโดยรอบแล้ว ก็ถือว่าคุ้มนะครับ ทานอาหารกลางวันกันจนอิ่มหมีพีมันแล้ว เราก็ใช้เวลาย่อยอาหารด้วยการเดินเที่ยวชมมุมสวยๆ ของรีสอร์ทซึ่งจัดไว้อย่างสวยงามน่าประทับใจมาก ไม่แน่คราวหน้าถ้าได้กลับมาเที่ยวสวนผึ้งอีก เราอาจเลือกพักที่ Eden Garden Resort นี้บ้างก็ได้ .....แวะเก็บภาพบริเวณ Eden Garden Resort กันก่อนสวนที่จัดไว้อย่างสวยงาม เหมาะกับการถ่ายภาพมากดอกหญ้าสวยๆ ที่ปลูกประดับอยู่ในสวน น่าหามาปลูกที่บ้านบ้างอีกหนึ่งมุมสวยๆ ที่ตกแต่งไว้อย่างลงตัว ออกจาก Eden Garden Resort ก่อนจะเข้าที่พัก เราแวะเที่ยวที่ "บ้านหอมเทียน" กันก่อน ใครๆ ที่มาเที่ยวสวนผึ้งก็ต้องแวะมาเที่ยวกันที่ร้านนี้ทั้งนั้น ที่นี่เป็นทั้งร้านอาหารและที่พัก และที่สำคัญคือ ที่นี่จะขายเทียนหอม หลากสีสัน หลากหลายลวดลาย เหมาะสำหรับซื้อเป็นของฝาก นอกจากนี้ถ้าใครสนใจก็ยังมีการสอนทำเทียนหอมด้วย ที่บ้านหอมเทียนนี้ จัดแต่งบริเวณไว้สวยงาม ใครที่ชอบถ่ายรูปไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง .....พาเด็กดื้อมาแวะเที่ยวบ้านหอมเทียนกันก่อนที่นี่มีมุมถ่ายรูปเยอะไปหมดมุมนี้เป็นส่วนที่ขายเสื้อเพ๊นท์ลายสวยๆที่ใส่เทียนสวยๆ น่าซื้อเป็นของฝากที่ใส่เทียนอีกแบบหนึ่ง ดูแล้วคล้ายๆ ตะเกียงเทียนหอมสีสดใส มุมนี้ใครมาก็ต้องถ่ายรูปเก็บไว้เห็นป้ายนี้แล้ว คงไม่ต้องกลัวว่าจะไปไหนไม่ถูกอีกต่อไปแล้ว ออกจากบ้านหอมเทียนก็เกือบบ่ายสามโมงแล้ว ได้เวลาเข้าที่พักกันที่ "บ้านอ้อมกอดขุนเขา" แล้วครับ ครั้งนี้เราต้องจองบ้านพักไว้ล่วงหน้าเกือบสามเดือน เพราะรีสอร์ทแห่งนี้เป็นที่นิยมไม่แพ้ Scenery Resort เลยทีเดียว ช่วงวันหยุดในฤดูหนาวแบบนี้ถ้าไม่จองไว้แต่เนิ่นๆ คงไม่ได้บ้านพักแน่ ..... บ้านที่เราจองไว้ในครั้งนี้ก็คือ "บ้านชวนชม" บ้านพักที่นี่สร้างเป็น White villa แบบเมดิเตอร์เรเนียนปนบาหลี มีดาดฟ้า ตามสไตล์บ้านพักพิมพ์นิยมแถวสวนผึ้ง ด้านหลังรีสอร์ทจะโอบล้อมด้วยทิวเขากว้างใหญ่สมชื่อรีสอร์ท บ้านพักที่นี่แต่ละหลังจะอยู่ค่อนข้างใกล้กันไปหน่อย ความเป็นส่วนตัวก็เลยอาจจะน้อยไปนิด แต่พื้นที่โดยรอบก็กว้างขวางและตกแต่งไว้อย่างสวยงามมาก ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ที่เลือกมาพักที่นี่ .....มาถึงแล้วก็เข้าไปเช็คอินกันที่ Reception กันก่อนเราเข้าพักกันที่บ้านพักหลังนี้ด้านหน้า "บ้านชวนชม" ที่พักของเราในวันนี้ภายในบ้านพัก ตกแต่งด้วยโทนสีชมพูสวยหวานเตียงนอนนุ่มกำลังดี นอนสบายจนแทบไม่อยากลุกด้านปลายเตียง มีตู้เย็น ทีวีและเครื่องเล่นดีวีดีให้พร้อมมุมนั่งเล่น ยังคง concept สีชมพูสวยหวานกรอบรูปและดอกไม้สวยๆ ที่ตกแต่งไว้ในห้องพักระเบียงหลังห้อง เช้าๆ นั่งจิบกาแฟ ชมวิวภูเขา ได้บรรยากาศดีมากๆหรือจะนั่งเล่นบนดาดฟ้า ชมสายหมอกยามเช้าก็เพลินไปอีกแบบ ทีเด็ดอย่างหนึ่งของบ้านพักที่นี่ ก็คือ "ห้องน้ำ" ครับ เพราะกว้างขวางมากๆ พื้นที่เกือบเท่ากับส่วนที่เป็นห้องนอนเลยล่ะครับ แถมยังมีอ่างอาบน้ำใหญ่น้องๆ สระว่ายน้ำด้วย กว่าน้ำจะเต็มอ่างต้องเปิดน้ำทิ้งไว้นานเป็นชั่วโมง แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าห้องน้ำที่นี่จะค่อนข้างวาบหวิวเพราะไม่มีประตูปิดมิดชิด มีแค่ม่านบางๆ บังทางเข้าไว้เท่านั้นเอง ครอบครัวไหนที่มีเด็กๆ ไปด้วยอย่างผมก็ต้องวุ่นวายคอยระวังเด็กวิ่งเข้าวิ่งออกระหว่างที่เราใช้ห้องน้ำอยู่ ลำบากดีเหมือนกัน .....ส่วนเปียกสำหรับอาบน้ำ มีให้เลือกทั้ง Rain shower และฝักบัวอ่างอาบน้ำใหญ่โตมากๆตรงนี้เป็นส่วนแห้ง ดูกว้างดีอ่างล้างหน้าสีชมพูหวานแหวว หลังเข้าที่พัก จัดเก็บของเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางพาสองเด็กดื้อไปเป็นเด็กเลี้ยงแกะที่ "Scenery Resort" ครับ ช่วงนี้บริเวณรีสอร์ทกำลังจัดงาน "Candle in the Winter" พอดี ก็เลยมีการตกแต่งบริเวณสนามหญ้าด้านหน้าไว้อย่างสวยงาม วันหยุดแบบนี้คนไปเที่ยวที่นี่กันคับคั่งจริงๆ เราเสียค่าเลี้ยงแกะคนละ 40 บาท จะได้ใบไม้หลายกิ่งไว้ไปป้อนแกะ แต่เราไปถึงช่วงเย็นแล้ว สังเกตว่าแกะส่วนใหญ่จะไม่ค่อยยอมกินใบไม้ที่เราป้อนแล้วล่ะครับ มันคงจะอิ่มจนกินไม่ไหวเพราะที่นี่เขาเปิดให้เลี้ยงแกะกันมาตั้งแต่เช้าแล้ว .....ช่วงเดือนธันวาคม ที่ Scenery Resort จะจัดงาน Candle in the Winter ทุกวันเสาร์วันนี้พาดื้อใหญ่มาเป็นเด็กเลี้ยงแกะด้วยแกะน้อยขนปุกปุย น่ารักมากดื้อใหญ่ชอบมาก ที่ได้สัมผัสแกะตัวเป็นๆมุมสวยๆ ที่ Scenery Resortดื้อเล็กไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้แกะเท่าไหร่ เลยจับมาถ่ายรูปกับของตกแต่งสวยๆ แทน ออกจาก Scenery Resort เราก็เดินทางกลับที่พัก กลับมาถึงบ้านอ้อมกอดขุนเขาก็ใกล้ค่ำแล้ว เพราะหน้าหนาวแบบนี้จะมืดเร็วกว่าปกติ เราใช้เวลาช่วงเย็น เดินเล่นเก็บภาพบรรยากาศในรีสอร์ทยามสนธยา พอตกค่ำอากาศก็เริ่มเย็นลง ยิ่งดึกขึ้นก็ยิ่งหนาว จนต้องหาเสื้อกันหนาวมาให้สองเด็กดื้อใส่เลยล่ะครับ ค่ำนั้นเราทานอาหารกันที่ "ครัวอ้อมกอดขุนเขา" อาหารที่นี่อร่อยดีเหมือนกัน ที่สำคัญราคาไม่แพงด้วย นอกจากร้านอาหารแล้วที่นี่ยังมีบาร์ให้บริการเครื่องดื่มค๊อกเทลด้วย ใช้ชื่อว่า "Lover Bar" ช่วงค่ำๆ แบบนี้ Lover Bar เปิดไฟแสงสีสวยงามมาก .....Lover Bar บาร์เครื่องดื่มค๊อกเทล ตรงนี้อยู่ในส่วนบ้านพักเฟสใหม่ใกล้ๆกับห้องประชุมภายใน Lover Bar ยามค่ำคืน แสงสวยดีนะครับอีกมุมหนึ่งมุมนี้จัดแสงได้สวยมากบรรยากาศบ้านพักยามค่ำคืนไฟประดับสวยๆ บริเวณสะพานข้ามลำธาร เช้าวันรุ่งขึ้น เราทานอาหารเช้ากันที่ห้องอาหารของรีสอร์ท อาหารเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ แต่มีให้เลือกทานไม่หลากหลายมากนัก และหมดค่อนข้างเร็ว เราไปทานช่วงสายๆ ของบางอย่างใกล้หมดก็ไม่เห็นมีการเติมเพิ่ม ดังนั้นทางที่ดีไปทานกันตั้งแต่เช้าๆ จะดีกว่า หลังทานอาหารเช้า เราก็ออกเดินเที่ยวชมบรรยากาศภายในบริเวณรีสอร์ทเป็นการย่อยอาหารไปในตัว หลังเดินเล่นเสร็จก็เตรียมเก็บของกลับบ้านกันครับ ไปดูบรรยากาศในรีสอร์ทกันด้วยภาพเลยดีกว่า .....เช้าวันนี้มีหมอกบางๆ ให้เห็นกันอยู่บ้างดื้อใหญ่ที่หน้าบ้านพักยามเช้าทานอาหารเช้ากับดื้อเล็กกันก่อนนะครับดื้อใหญ่กับของตกแต่งน่ารักในห้องอาหารตรงมุมนี้เป็นบ้านสุนัขของทางรีสอร์ทที่นี่มีร้านขายของที่ระลึกให้เลือกซื้อกันด้วยบ้านไข่ดาว บ้านยอดนิยมของที่นี่ เป็นบ้านแบบฝังดินสระว่ายน้ำอยู่หน้าบ้านไข่ดาว หนาวๆ แบบนี้ไม่มีคนลงเล่นเลยมุมนั่งเล่นแบบชิลล์ๆมุมนี้อยู่ตรงโซนใหม่ ใกล้ๆ กันกำลังสร้างบ้านพักหลังใหม่เพิ่มอยู่ด้วยโต๊ะนั่งเล่นสบายๆ มีอยู่ทั่วไปในรีสอร์ทที่นี่มีม้าให้เช่าขี่เดินเล่นกันด้วย ค่าบริการ 15 นาที 150 บาทจักรยานให้เช่าขี่เที่ยวในรีสอร์ท ชั่วโมงละ 50 บาท ทริปนี้นับเป็นอีกทริปหนึ่งที่น่าประทับใจมาก การได้มาพักผ่อนในรีสอร์ทสวยๆ อย่าง "บ้านอ้อมกอดขุนเขา" ในบรรยากาศดีๆ อากาศเย็นสบายในฤดูหนาวแบบนี้ ให้ความรู้สึกดีๆ ไม่แพ้ที่เที่ยวดังๆ ในภาคเหนือเลย ใครที่มีเวลาเที่ยวน้อยไม่สามารถลาหยุดยาวๆ ได้ ก็ขอแนะนำให้ไปเที่ยวกันที่สวนผึ้งนะครับ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่ๆ กลับมาแล้วจะติดใจจนต้องไปแล้วไปอีกแบบผม รีบไปเที่ยวกันก่อนจะหายหนาวนะครับ ทริปนี้ก็คงขอจบลงเพียงเท่านี้ก่อน ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้า สวัสดีครับ .....
ขอตามดื้อเล็กกับดื้อใหญ่ไปเที่ยวด้วยคนค่ะ
เดี่ยวนี้ใครๆ ก็เที่ยวสวนผึ้งกันนะคะ
คนถึงได้เต็มร้านอาหารแบบนี้