MALAYSIA รอบ 2 ทริปสุดท้ายกับแม่ "GO KL" (with mom) 26-29 Jan 2013

ทริปนี้ติดโปรทุกอย่าง ตั้งแต่ตั๋วโปรแอร์เอเซีย ที่จองไว้ตั้งแต่ปี 2012 โดยจ่ายค่าตั๋วไป 3,672 บาท และค่าอาหารสั่งล่วงหน้าบนเครื่อง 330 บาท รวมค่าเสียหายทั้งหมด 4,002 บาท

DMK-KUL เที่ยวบิน AK1941 เวลา 09.25-12.40
KUL-DMK เที่ยวบิน FD2914 เวลา 15.35-16.45

อัตราแลกเปลี่ยน 1 MYR = 9.90 บาท

มาเลเซียเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมงจ้า

และโปรโรงแรมที่ทาง Expedia Thai ปล่อยโปรออกมาก่อนเดินทางไม่นาน

CITIN PUDU HOTEL KL รวมอาหารเช้าและไวไฟฟรี 3 คืน เราจ่ายไปแค่ 350 บาทSmiley เรียกว่าโคตรคุ้มอ่ะ จองทันทีโดยไม่ลังเล ถ้าแม่ไปไม่ได้ ทิ้งก็ยังไม่เสียดาย

ส่วนแพลนการเดินทาง ก็ไม่ได้เตรียมอะไรเลยว่าจะไปเที่ยวอะไรที่ไหนบ้าง แค่หาข้อมูลคร่าว ๆ นิดหน่อย เกี่ยวกับโรงแรมที่จะไปพักว่าดีไหม อยู่ใกล้อะไร เดินทางยังไงบ้าง เท่านั้น เพราะงานยุ่งมาก ๆ

ตอนจองตั๋วตั้งใจจะพาแม่ไปค้างที่เกนติ้งสัก 1 คืน แต่เนื่องจากกลางปีที่แล้วแม่ป่วยเป็นมะเร็ง เข้าผ่าตัดกระทันหัน และต้องทานยาคีโมติดต่อกัน 6 เดือน ซึ่ง ณ วันเดินทางก็ยังต้องกินยาอยู่ ตอนแรกทำให้คิดว่าคงต้องทิ้งตั๋วไป แต่พอใกล้ ๆ คิดว่าแม่คงจะพอไปไหว เพียงแต่จะไม่เดินเยอะ หรือระห่ำเที่ยวมากนัก ประกอบกับท่านเองก็คงอยากไปเที่ยวด้วย ใจพร้อม กายพร้อม ทริปสู้โว้ย จึงเกิดขึ้นมา Smiley

เนื่องจากแม่ไม่สามารถเดินเยอะได้ จึงต้องจองรถเข็น หรือ วีลแชร์ เอาไว้ล่วงหน้า พอไปเช็คอินหน้าเคาเตอร์ ต้องย้ำกับเจ้าหน้าที่ด้วยนะ ว่าขอปลายทางด้วย

(ปล.วีลแชร์ถ้าเดินทางในประเทศฟรี แต่ถ้าต่างประเทศต้องเสียเงินเพิ่มเอง เที่ยวละ 120 บาท  พอไปถึงมาเลก็ต้องเสียอีก 12 ริงกิต ขากลับก็เช่นกัน ดังนั้นเท่ากับว่าต้องเสียเงิน 4 รอบ จะมีเจ้าหน้าที่มาช่วยเข็นให้ แต่ยกเว้นขาเดินทางจากมาเลกลับมาไทย ต้องเข็นเอง Smiley แป่ว แล้วใครจะช่วยข้าเจ้าเข็นล่ะ ไปกันแค่ 2 คน แถมกระเป๋าก็ไม่ได้โหลด เลยถามเจ้าหน้าที่ว่าเดินไปเกตไกลไหม ฮีบอกว่าไม่ไกล ค่อยยังชั่วแม่พอเดินไหว ไม่ไกลเท่าไหร่)

++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันที่ 26 ม.ค. -> สำรวจรอบ ๆ โรงแรม และพักผ่อนเอาแรง

ไปถึงสนามบิน ยังเช้าอยู่ เลยไปหาอะไรกินกันก่อน สำหรับแม่คือมื้อที่ 2 แล้ว 5555

หลังจากนั้นก็เช็คอิน แล้วไปรอขึ้นเครื่อง (ปล. เจ้าหน้าที่เข็นรถบริการดีมว๊าก ๆ)

แม่บอกทริปนี้ สู้โว้ย 5555

มื้อที่ 3 ของแม่ บนเครื่อง ข้าวมันไก่ แม่บอกไม่อร่อย ส่วนเรากินไก่สเต๊ะ ก็ยังโอเคอยู่

เย้ เย้ Smileyไฟล์ท AK ของมาเล มีชานมด้วยล่ะ แต่เป็นชานมถั่วแดงนะ ไม่ใช่ชานมไข่มุกเหมือนบ้านเรา เลยสั่งมาลองซะหน่อย อืม อร่อยดี ไม่หวานด้วย 8 ริงกิต จัดไป อยากให้ไฟล์ทไทยมีบ้างนะเนี่ยะ

กินอิ่ม นอนหลับสักพัก ก็ถึง LCCT- KL แล้ว ถ่ายรูประหว่างรอรถเข็น ขอบอกรอนานอ่ะ คิดดูผู้โดยสาร แอร์ แม้กระทั่งกัปตัน ไปหมดแล้วอ่ะ รถเข็นยังไม่มาเลย Smiley

เจ้าหน้าที่รถเข็นพาไปต.ม. โดยเข้าช่องสำหรับลูกเรือเลย อิอิ เร็วดี ไม่ต้องต่อคิว ส่วนเงินค่ารถเข็นก็จ่ายกับฮีเลย 12 ริงกิต โดยฮีจะเอาบอร์ดดิ้งพาส ไปด้วย

อ๋อ อีกอย่างไปมาเลไม่ต้องกรอกเอกสารเข้าประเทศเลยอ่ะ ก็สะดวกดีนะ

เจ้าหน้าที่เห็นแม่นั่งรถเข็น เลยถามว่าจะมาหาหมอที่กัวลาหรอ เราบอกป่าว มาเที่ยว 555 ฮีคงจะ งง เนอะ ป่วยยังจะมาเที่ยวอีก 

ลงเครื่องก็เที่ยงกว่าแล้ว แม่ต้องกินข้าวมื้อที่ 4 เราเลยหาอะไรกินกันก่อนที่สนามบิน ซื้อก๋วยเตี๋ยวให้แม่ ส่วนเราข้าวมันไก่ เป็นไก่ย่าง ก็อร่อยดีนะ ดีกว่าบนเครื่อง อิอิ

กินอิ่มก็เดินทางกันต่อ โดยรถ Star Shuttle ราคา 8 ริงกิต นั่งจนสุดสายเลยประมาณชั่วโมงกว่าไปลงที่ PUDURAYA //www.starwira.com/

Smiley หาข้อมูลมา บอกว่ารถจะจอดตรง Puduraya station ซึ่งอยู่ตรงข้ามโรงแรม มีสะพานลอยข้ามมาก็ถึง แต่ปรากฎว่าคนลงกันทั้งรถเลย เราก็งง ทำไมไม่เห็นมีสะพานลอยกับโรงแรมเลยฟระ  Smiley

เลยเดินลงไปถามคนขับรถ ที่นี่ Puduraya ใช่ไหม คนขับบอกใช่ เราถามว่าแล้วไหน Citin hotel ฮีชี้มาให้ดูโรงแรม เฮ้ย มันต้องเดินข้ามแยกย้อนกลับไปอีกนี่หว่า กำ โอเคขอบคุณ

สรุป Puduraya station อยู่ตรงข้ามโรงแรม แต่รถบัสมันไม่ได้จอดขึ้นลงตรงนั้น มันจอดที่หน้าห้าง Mydin ตะหาก เพราะงั้นขากลับก็ต้องมาขึ้นที่่นี่เหมือนเดิม แต่ก็เดินไม่ไกลโรงแรมมากสักเท่าไหร่

กว่าจะมาถึงโรงแรม 16.00 check-in ก่อนเลย

แผนที่โรงแรม


ดีนะที่เราคอนเฟริ์มการจองห้องกับโรงแรมโดยตรงมาก่อน ทำให้การเช็คอินรวดเร็ว เพราะเขาเตรียมเอกสารไว้ให้เราเซ็นเลย ที่นี่จะมีค่ามัดจำคีย์การ์ด 50 ริงกิต ได้คืนหลัง check-out

ไดร์เป่าผมกับอแดปเตอร์ขอยืมได้ แต่แนะนำว่าไดร์เป่าผม ใช้เสร็จรีบมาคืนที่เคาเตอร์เลยดีกว่า ถ้าจะใช้วันต่อไปค่อยไปขอยืมใหม่ เพราะเราโดนทวงไดร์เป่าผมคืนแรกเลยตอนห้าทุ่ม 555 ตรูยังไม่ทันได้ใช้เลย กะว่าจะใช้วันรุ่งขึ้นซะหน่อย ก็เลยบอกให้ชีส่งเจ้าหน้าที่ขึ้นมาเอาคืนไปก่อน แต่เจ้าหน้าที่ที่นี่ก็เป็นมิตรดีทุกคนเลย ประทับใจมาก คือถึงแม้เขาจะรู้ว่าเราจองมาด้วยโปรถูกขนาดนั้น เขาก็ไม่ได้ให้บริการที่แย่ลงเลย

หลังจากเข้าห้อง ก็ให้แม่นอนพักผ่อนก่อน ตื่นมาเราก็ไปหาอะไรกินแถว ๆ นั้น วันพรุ่งนี้ค่อยเริ่มเที่ยว เราลองขึ้นสะพานลอยข้ามไปใน Puduraya station (คล้าย ๆ หมอชิตบ้านเรา)

ฟู้ดคอร์ดจะอยู่ชั้น 4 จะมีร้านขายข้าวเยอะแยะ หลายร้าน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารมาเลมากกว่าร้านอาหารจีน

ตอนแรกยังคิดว่าแม่จะกินอาหารที่มาเลได้หรือเปล่า แต่โชคดีที่ฟู้ดคอร์ดที่นี่มีอาหารประเภทปลาเยอะแยะหลายร้านเลย เราเลยได้ฝากท้องไว้ที่นี่ 2-3 ครั้ง

ที่นี่จะมีสถานีรถไฟฟ้าด้วย ชื่อ PLAZA RAKYAT RAPID KL STATION

หลังจากกินอาหารเสร็จ แม่อยากกินผลไม้ต่อ เลยข้ามสะพานมาซื้อลองกอง Smiley โลละ 100 บาท แต่ก็ต้องซื้อ เพราะไม่มีอะไรกิน 5555 เท่าที่สังเกตุที่นี่ผลไม้ค่อนข้างแพงอ่ะ

หลังจากเข้าพักได้ 1 ว้น เราก็ได้คุยกับผู้จัดการโรงแรมที่นี่ ซึ่งทำให้เราพึ่งรู้ว่า โรงแรมเครือ Citin ทั้งหมดเป็นเชนของคนไทย และผู้จัดการคนนี้ก็เคยไปเทรนที่ไทยอยู่ 6 เดือน แหมทำให้รู้สึกภูมิใจลึก ๆ เหมือนกัน อิอิ Smiley

เราบอกเขาว่าทำเลโรงแรมดีนะ แต่น่าจะปรับปรุงใหม่ เพราะห้องเก่า เขาบอกว่า โรงแรมกำลังปรับปรุงใหม่ทั้งหมด แล้วก็พาเราไปดูห้องที่มีการทำใหม่แล้ว สวยดี

ตรงข้ามโรงแรมเป็นสถานีรถไฟฟ้า มี 7-11 และ KFC ใกล้ ๆ แล้วจากโรงแรมเดินไปไชน่าทาวน์ก็ไม่ไกล แถมเดินไปขึ้นรถฟรี GO KL ได้ด้วย 5555 ทำเลดีอ่ะ แต่แนะนำว่าควรไปพักหลังจากปรับปรุงแล้วจะดีกว่า

มาดูรีวิว ห้องก่อนปรับปรุงนะ เริ่มจากวิวหน้าต่างห้องตอนกลางคืน

ห้องเก่ามากจริง ๆ สมควรปรับปรุงอย่างแรง แต่ไปคราวนี้จ่ายค่าห้องถูกมว๊าก เลยไม่ถือสา 555

++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันที่ 27 ม.ค. -> ไปห้าง Pavilion, Twin Tower โดยรถฟรี GO KL

เช้านี้ลงมากินอาหารเช้าที่โรงแรมซะหน่อย อาหารเช้าก็จะหมุนเวียนเปลี่ยนไปทุกวัน รสชาดก็พอใช้ได้ บางอย่างเราก็กินได้ บางอย่างก็กินไม่ได้

หน้าตาอาหารเช้าที่ลองตักมากิน ข้าวผัดหน้าตาจืดมว๊าก แต่พอกินแล้วเผ็ดอ่ะ

พอกินข้าวเช้า กินยาเสร็จ ก็ต้องให้แม่นอนพักเอาแรงก่อน พอสาย ๆ ก็ออกเดินทางกันเลย Smiley

วันนี้ตั้งใจว่าจะลองนั่งรถเมล์ฟรีซะหน่อย เพราะดูแผนที่แล้ว รถเมล์จะผ่านจุดท่องเที่ยวสำคัญ ๆ  หลายจุด ที่สำคัญเดินไม่ไกลอ่ะ เพราะสถานที่เที่ยวบางแห่งลงรถไฟฟ้าแล้วจะเดินไกล

จากโรงแรมต้องเดินไปทางสี่แยก ข้ามถนน ผ่านหน้าโรงแรมนี้

แล้วก็เดินตรงขึ้นไป รอรถที่ป้ายรถเมล์ปกติได้เลย ป้ายรถเมล์จะอยู่หน้า 7-11 และอยู่ใกล้โรงแรมนี้

ป้ายรถเมล์ก็อยู่ตรงข้ามห้างนี้

ป้ายรถเมล์ที่ขึ้น มีตากกางเกงยีนส์ด้วย 555

จากตรงนี้ จริง ๆ เดินขึ้นไปอีกนิดเดียวก็ไชน่าทาวน์แล้วล่ะ แต่ตอนแรกเราไม่รู้ และวันนี้ตั้งใจจะไปห้าง กับตึกแฝดมากกว่า

หน้าตารถ GO KL ซึ่งจะมี 2 สาย สายสีเขียวกับสายสีแดง แต่อย่าดูสีตัวรถนะ ให้ดูที่ป้ายหน้ารถจะเขียนว่ารถคันนี้สายสีอะไร 

ในรถมีไวไฟฟรีให้ใช้ด้วย สุดยอดเลย

แผนที่รถ แต่ขอบอกว่าดูแล้วก็ งงเล็กน้อย เพราะเวลามันจอดป้าย จะไม่มีบอกว่าป้ายไหน ก็ต้องเดา ๆ เอาเอง ตอนแรกตั้งใจว่าจะนั่งวนสัก 1 รอบก่อนให้คุ้น ๆ เพราะดูแผนที่แล้วมันเหมือนจะวิ่งวนไปวนมา ปรากฎว่านั่งไปได้แค่แปรีบเดียว อ้าวเฮ้ย ไมลงรถกันหมดเลยอ่ะ เราเลยเดินไปถามคนขับรถ เขาบอกว่าต้องไปต่อรถคันหน้า ตรงนี้สุดสายแล้ว แป่ว ปรากฎว่ามันมาสุดท้ายตรงใกล้ ๆ  Central Market  กับ Chinatown


เราก็มาต่อรถคันหน้า เพื่อไปลงป้ายตรงข้ามห้าง Pavilion ไม่ต้องกลัวหลงเพราะนักท่องเที่ยวจะลงป้ายนี้เยอะมาก ๆ

ช่วงนี้ใกล้เทศกาลตรุษจีนแล้ว ทางห้างแต่งแบบจัดเต็มมาก สีสันฉูดฉาด สะใจจริง ๆ



ถ่ายกับน้ำพุหน้าห้างซะหน่อย




โชคดีจังมีฝรั่งหันมาสบตา เราลยถือโอกาสให้เขาถ่ายรูปให้เรากับแม่หน่อย ดีใจมาก ๆ เพราะเวลาไปเที่ยวกัน 2 คน มักไม่ค่อยมีรูปคู่กันเลย 



เดินขึ้นห้างไปชั้นบนซะหน่อย เย้มีร้านอาหารญี่ปุ่นด้วย 




ได้เวลาใกล้เที่ยงพอดี เลยชวนแม่กินอาหารญี่ปุ่นซะเลย เข้าร้านนี้ละกัน


อาหารจานใหญ่มว๊าก แม่จะกินหมดไหมเนี่ยะ


ส่วนของเราก็ใช่ย่อย จานเบ้อเริ่มเหมือนกัน Smiley



หลังจากกินอิ่ม เราก็ออกจากห้าง กลับไปขึ้นรถ GO KL ตรงที่เราลงมาเหมือนเดิม เพื่อจะไปดูตึกแฝดซะหน่อย


มาเที่ยวห้างนี้บ้าง แต่แม่บอกไม่ชอบ คนเยอะ ปวดหัว 555 เราเลยเดินแปร๊บเดียวแล้วออกมาเลย ปรากฎว่าฝนเริ่มตกแล้ว เลยต้องรีบขึ้นรถ ได้ถ่ายรูปและเห็นตึกแฝดจากบนรถเท่านั้นเอง แม่เลยไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับตึกแฝดเลย แม่บอกไม่เป็นไร แค่ได้มาเห็นก็ดีใจแล้ว Smiley


พอนั่งรถกลับฝนตกแรงมาก เราเลยตัดสินใจลงจากรถแถว ห้างพาวิลเลี่ยน แล้วต่อแท็กซี่เข้าโรงแรมทันที มื้อเย็นเลยได้ฝากท้องกับทางโรงแรมบ้าง

เราสั่งต้มยำกุ้งกับสลัดมากิน เห็นสลัดแล้วตกใจเลย จานใหญ่มาก



ห้องอาหารมีแต่เรา 2 คน มานั่งกินกัน เลยได้มีโอกาสคุยกับเจ้าหน้าที่ที่นี่ เจ้าหน้าที่น่ารักทุกคนเลย มีน้ำใจ อัธยาศัยดีมาก ๆ กินเสร็จก็ขึ้นห้องอาบน้ำนอน เพราะไปไหนไม่ได้แล้ว ฝนตกหนักเลย


++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันที่ 28 ม.ค. -> ไป CHINA TOWN

หลังจากนั่งรถ GO KL วนไป 2 รอบเมื่อวาน ทำให้เห็นว่าไขน่าทาวน์ และ Central Market อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พักเท่าไหร่ ก็อยู่ตรงใกล้ ๆ ป้ายโรงแรมที่ขึ้นรถ GO KL เลยนั่นแหละ

วันนี้เลยขอไปโฉบ ไชน่าทาวน์ ซะหน่อย ถามแม่ว่าเดินไหวไหม แม่บอกโอเค หลังอาหารเช้า ก็ให้แม่กินยาแล้วนอนเอาแรงก่อน สาย ๆ เราก็ไปกันเลย






ร้านนี้ขายเป็ด คนต่อคิวยาวมาก


เดินไปเดินมาแม่เริ่มหิว เจอฟู้ดคอร์ด เลยลองเข้าไปโฉบดู มีกับข้าว น่ากินเยอะดี เลยบอกแม่ลองชิมดูไหม  ร้านข้าวแกงที่มาเลย์ เขาจะตักข้าวให้แล้วเราตักกับเอง อยากกินกับกี่อย่าง มากน้อย ก็ตักเอาเอง แล้วเขาก็จะคิดเงินทีหลัง


หน้าตาจานข้าวที่เราตักมา ร้านนี้ทำอาหารอร่อยดี สไตล์จีน 


พอกินข้าวเสร็จ บ่าย ๆ เราก็ซื้อของฝากที่นี่ต่อ เป็นพวกขนมเต้าส้อ หลายกล่องหนักมาก เลยเดินกลับโรงแรมมาเก็บก่อน แล้วก็ให้แม่นอนเอาแรงต่ออีกนิดนึง เพราะแม่บอกเหนื่อย สงสัยเดินเยอะไปหน่อย 555 ไม่เหมือนเมื่อวาน นั่งรถเล่น 

กะว่า 4 โมงจะออกมาแก้ตัวที่ตึกแฝดอีกรอบ ท้องฟ้าก็เหมือนไม่เป็นใจ ทำท่าฝนจะตกอีกแล้ว เลยตัดสินใจไปหาข้าวกินที่ชั้น 4 Puduraya ดีกว่า มีปลาที่แม่ชอบด้วย ส่วนเราก็ลองกินบะหมี่ซะหน่อย 




กินเสร็จแล้วก็กลับมาให้แม่นอนพักเยอะ ๆ 


+++++++++++++++++++++++++++++++++
วันที่ 29 ม.ค. -> กลับไทย

เนื่องจากไฟล์ทกลับ บ่าย 3 โมง ก็เลยไม่ต้องไปไหนแล้ว พอกินข้าวเช้าเสร็จ ก็เตรียมตัวเก็บของ เดินลากกระเป๋าไปขึ้นรถบัส  Star Shuttle ที่เดิมที่ลงรถมา 

มองไม่เห็นรถจอดรออยู่ ตอนแรกก็ใจไม่ดี นึกว่าจะต้องไปขึ้นที่อื่นหรือเปล่า สักพักเจ้าหน้าที่บริษัทรถ เดินเข้ามาถาม ดีนะพี่แกใส่เสื้อของบริษัทรถด้วย ไม่งั้นกลัวโดนหลอก 555 

สักพักก็เริ่มมีคนมารอขึ้นรถเยอะแยะ 

พอไปถึงสนามบิน ก็แวะกินข้าวกลางวันก่อน แล้วไป Check-in พอเราแจ้งว่าจะขอรถเข็น เจ้าหน้าที่ให้เรามาเอารถเข็นเอง เราก็งง ๆ ถามเขาว่าไม่มีคนเข็นให้หรอ เขาบอกว่าไม่มี มีแต่รถให้ ต้องเอาไปเข็นเอง Smiley ตายแล้วฉันมีกระเป๋าด้วย จะเข็นได้ไง ดีนะเกตไม่ไกล แม่เดินไหว แต่พอลงเครื่องที่เมืองไทย จะมีเจ้าหน้าที่เอารถเข็นมาเข็นให้ ก็เสียเงินไป 120 บาท แถมเจ้าหน้าที่ลัดคิวเรียกแท็กซี่ให้ด้วย 555 สบายเลย ไม่งั้นรอคิวแท็กซี่ยาวเหยียด 

ใจจริงอยากพาแม่ไปเที่ยวอีกหลาย ๆ ประเทศเลย แต่ทริปนี้คือทริปสุดท้ายของแม่ แม่หลับให้สบายนะค่ะ ยังไงแม่ก็อยู่ในใจของลูกตลอดไป ต่อไปนี้เราก็จะเดินทางไปด้วยกันทุกที่เลยนะ

รักและคิดถึงแม่มาก ๆ ค่ะ





 

Create Date : 30 มกราคม 2556    
Last Update : 19 กันยายน 2556 18:13:17 น.
Counter : 1524 Pageviews.  

SHANGHAI-ZHOUZHUANG-HANGZHOU เซี่ยงไฮ้ โจวจวง หังโจว ในวันที่อากาศหนาวและฝนปรอย 14-18 Mar 2012

ทริปนี้ ใช้คะแนนการบินไทย แลกไมล์ไปเซี่ยงไฮ้ เราเลยจ่ายแค่ค่าภาษีและน้ำมันเท่านั้น เป็นเงิน 6,435 บาท ทริปนี้สามาชิกเพียง 3 คน คือ สามี-ภรรยา (เพื่อนอิฉัน) และอิฉันนี่เอง (อิอิ ก้าง) เนื่องจากทริปนี้ ช 1 ญ 2 ทำให้ ตม. ที่โน้นสงสัย นึกว่าพาพวกเรามาหากินที่นั่น Smiley กำ แก่ป่านนี้คงทำไม่ได้แล้ว

BKK-PUDONG เที่ยวบิน TG662 เวลา 01.10-06.25
PUDONG-BKK เที่ยวบิน TG665 เวลา 17.20-21.15

เวลาที่เซี่ยงไฮ้จะเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ควรพกเครื่องคิดเลขหรือมือถือที่ใช้กดตัวเลขได้ เพราะเวลาไปซื้อของ ถ้าสื่อสารกันไม่ได้ ก็กดตัวเลขเอา

อุณหภูมิภายนอก ที่กัปตันประกาศ 9 องศา

วันที่ 14 มีค -> Shopping 2 ตลาด (East Nanjing, Fake market at Shanghai Science & Technology Museum) และ The Bund or Waitan

หลังจากลงเครื่อง เราก็นั่งรถไฟแม่เหล็กความเร็วสูง หรือ Maglev (แม็คเลฟ)  ไปลงที่ Longyang Rd โดยเราซื้อตั๋วแบบไป-กลับ ใช้ได้ภายใน 7 วัน ราคา 80 หยวน ความเร็วประมาณ 300 - 400 กิโลเมตร / ชม.  (ขึ้นอยู่กับเวลาและขบวนที่นั่ง ความเร็วจะไม่เท่ากัน)

 

ลงรถแล้วขอถ่ายรูปเล่นกันซะหน่อย Smiley

จากนั้นก็นั่งรถไฟฟ้าสาย 2 (สีเขียว) มาลงที่สถานี East Nanjing Rd แล้วไปต่อสาย 10 ลงที่ Tiantong Rd ทะลุชอปปิ้งมอลออกมา ข้ามถนนเดินตรงมาเรื่อย ๆ ก็ถึงโรงแรมแล้ว

แต่กว่าจะมาถึงเล่นเอาเหนื่อย ตอนซื้อตั๋วรถไฟเนี่ยะแหละ ตอนแรกว่าจะซื้อแบบตั๋วเติมเงิน แต่ตรงเคาเตอร์ขายตั๋วพูดอังกฤษไม่ได้เลยอ่ะ Smiley

แล้วเราก็เดินมาเจอเจ้าหน้าที่รถไฟ เป็นผู้หญิงใจดีมาก ๆ เราเอาแผนที่ให้ดูว่าจะไปลงสถานีไหน คุณเธอพูดอังกฤษไม่ได้หรอก แต่น่ารักสุด ๆพยายามสื่อสารกับเรา สุดท้ายหล่อนก็สอนเราซื้อตั๋วรถไฟจากตู้อัตโนมัติ โชคดีที่ตอนนี้ตู้ขายตั๋วมีภาษาอังกฤษให้เลือกแล้ว เย้ ๆ Smiley แค่เพียงเรารู้ว่าจะไปลงสถานีไหน ก็ซื้อตั๋วได้ง่ายนิดเดียว

ค่าตั๋วรถไฟที่นี่ถูกมากเลย ซื้อทีไรเริ่มต้น 3 หยวนตลอด เคยนั่งไกลสุด ก็แค่ 4 หยวนเอง นั่งซะคุ้มเลย อิอิ ขอแปะภาพแผนที่รถไฟฟ้าที่ copy มาจากคุณAnti_shake นะค่ะ มีประโยชน์มาก ๆ

อ๋อ อีกอย่าง ที่นี่มีเครื่องสแกนก่อนเข้าสถานี ทุกสถานีเลย Smiley กระเป๋าอย่างหนัก ยกเข้าเครื่องสแกนมันทุกรอบ กลับมาอิฉันคงกล้ามขึ้นแน่ ๆ

โรงแรมที่เราพัก New Asia Hotel  เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว ราคาไม่แพง ประมาณ 1,450 บาท / คืน เราว่าใช้ได้เลยล่ะ (ดูรีวิวโรงแรมด้านล่างนะ)

ระหว่างรอเช็คอิน เราก็มาถ่ายรูปเล่นกันสักหน่อย

หลังจากเก็บของเข้าที่พัก ก็หาอาหารมื้อเช้าก่อนเลย เจอร้านนี้ ลองชิมดูหน่อยซิ

Smiley ภาษาอังกฤษไม่มีเลย คนขายพูดได้แต่จีน งั้นดูรูปเอาละกัน สั่งไปมั่ว ๆ ได้มาแบบนี้  ไม่อร่อยเลยอ่ะ ไม่เป็นไรแก้ตัวมื้อหน้าต่อไป

ลงสถานี East Nanjin Road ไปเดินเล่นกันก่อน เช้า ๆ แบบนี้คนไม่ค่อยเยอะ เดินสบาย ๆ หน่อย  เจอชานมร้านนี้ หอม อร่อยดี

เป็นถนนสายชอปปิ้งที่ยาวดี เดินเมื่อยอ่ะ ขอบอก แต่ก็มีเหมือนรถรางให้บริการ คนละ 2 หรือ 3 หยวน แต่เราไม่ได้นั่ง เดินมากก็หิวอีกแล้ว ขอกินกลางวันอีกรอบละกัน มาเข้าร้านนี้บ้าง South Beauty อืมอร่อยดีแต่แพงโคตร แหมก็ร้านคุณเธอซะหรูอ่ะนะ

ภาพเพื่อนร่วมทริป (คู่สามี-ภรรยา) อิฉันเหมือนเป็นส่วนเกิน หุหุ แต่อย่าได้แคร์ Smiley

เนื่องจากเพื่อนที่ไปด้วย เสื้อหนาวเอาไม่อยู่ ส่วนเรารองเท้ากัด อาจจะเดินไม่ไหว เราเลยตกลงกันว่าไปชอปปิ้งก่อนที่จะหนาวตาย และเท้าอิฉันตายด้าน Smiley

ไปตลาดก็อปปี้ดีกว่า เพราะคิดว่าใช้แค่กันหนาวไม่กี่วัน ลงสถานี Shanghai Science & Technology Museum แล้วก็ชอปกันให้สนุกไปเลย

ถ้าคุณคิดว่าคุณซื้อของที่นี่ได้ในราคาที่ถูกแล้ว คุณอาจจะเดินไปตลาดอื่น ได้ของที่ถูกกว่า ในแบบและคุณภาพเหมือนกัน ขอให้ทำใจไว้ เพราะที่นี่คือเมืองจีน (ไม่โดนฟันมาไม่ถึง Smiley)

ที่นี่เราซื้อเลคกิ้งกันหนาว ราคาเปิดมา 80 หยวน ต่อได้ 30 หยวน พรุ่งนี้เช้าเดินตลาดแถวที่พัก แม่ค้าติดป้ายไว้ 9 หยวน กำ แบบเดียวกันเด๊ะ Smiley Smiley

ฮากระจายกัน 3 คน แม่ค้า งง ขำไรกันฟระ ว่าแล้วก็ซื้ออีกคู่ เจ็บใจSmiley

เรากับเพื่อนได้รองเท้ากันคนละคู่ ต่อแล้วเหลือคู่ละ 120 หยวน ไปอีกตลาดติดป้าย 100 หยวน Smiley ได้แต่ปลอบใจกันว่า ของเราพื้นรองเท้าดีกว่า Smiley

ส่วนเพื่อนก็ได้เสื้อขนเป็ดตัวยาวสมใจ ในราคา 500 หยวน (ต่อสุดชีวิตแล้ว)

หลังจากเดินมาหลาย ๆ ตลาด ขอบอกว่าตลาดนี้แพงสุดเลย อาจเพราะเป็นตลาดที่นักท่องเที่ยวนิยมเดิน แม่ค้าเลยตั้งราคาได้สูง

จริง ๆ ตลาดที่อยู่แถวที่พักเราตรงสถานี Tiantong Rd ถือว่าราคาถูกมาก ๆ เพราะวันกลับพวกเรามาชอปทีนี่ ได้ของหลายอย่างมาก ๆ แล้วราคาเปิดมาก็ไม่แพง แบบไม่ต้องต่อเลยก็ได้ แต่คิดว่าน่าจะขายเฉพาะวันหยุด

ชอปปิ้งเสร็จ กลับโรงแรมไปนอนเอาแรงสัก 1 ชม. ก่อน

แล้วค่อยออกมาหาอาหารเย็น เดินมาเจอร้านนี้ลองชิมซะหน่อย อืม อร่อยอ่ะ แต่ลืมถ่ายรูปอาหารมา สงสัยหิวจนหน้ามืด Smiley

อิ่มแล้วก็เดินเล่นชิว ๆ ซะหน่อย เจอตลาดกลางคืนขายผลไม้ และขายของข้างถนนเหมือนคลองถมบ้านเราเลย ของถูกมาก ๆ

เจอมะม่วงลูกเล็ก ๆ อยากชิมนะ แต่ไม่มีมีด จะปอกลำบากอ่ะ เลยต้องบาย Smiley

แล้วก็เดินทะลุไป The Bund หรือหาดไว่ทาน ดีกว่า ตอนเช้า 9'c แล้วกลางคืนมันจะเหลือเท่าไหร่เนี่ยะ ขอบอกว่าลมแรงมาก ๆ มันก็ยิ่งทำให้หนาวขึ้นไปอีก มือกับหน้าชาไปเลย

คนเยอะมาก ๆ กรุ๊ปทัวร์ก็เยอะ เดินสักพัก ทั้งหนาว ทั้งง่วง กลับโรงแรมดีกว่า เพราะอดนอนมา 2 คืนแล้ว และพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปโจวจวงอีก

เอาภาพรีวิวโรงแรม มาให้ดูนะ โรงแรมใช้ได้ อุปกรณ์ครบ ไวไฟไม่ฟรี แต่โชคดีเสิร์ชเจอไวไฟฟรีได้ อิอิ Smiley เลยเปิด Skype โทรกลับไทยซะเลย คุ้ม ๆ ไม่ต้องใช้โรมมิ่ง

ส่วนปลั๊กไฟ เขาทำไว้ 2 แบบเลย สำหรับคนท้องถิ่นกับคนต่างชาติ สะดวกดี มีฮีตเตอร์ด้วย

 

สังเกตุว่าโรงแรมจีน จะไม่มีกาแฟ มีแต่ชาเท่านั้น และจะไม่มีน้ำดื่มให้ด้วย แต่โรงแรมนี้มีหัวก๊อกน้ำดื่มด้วย อยู่ตรงกลางระหว่างน้ำร้อนและเย็น เก๋จริง ๆ แต่น้ำดื่มขวดที่จีนก็ไม่แพง ถ้าน้ำธรรมดา ประมาณ 1-2 หยวน แต่ถ้าน้ำแร่ก็จะ 5 หยวน หาซื้อได้ที่ Family mart ทั่วไป อ๋อ ถุงพลาสติคถ้าจะเอาต้องซื้อนะ เหมือนฮ่องกง

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันที่ 15 มีค -> Zhouzhuang (โจวจวง หรือหมู่บ้านน้ำ)

เริ่มต้นเช้าวันใหม่ ด้วยอาหารจากฟู้ดคอร์ดเล็ก ๆ แถวที่พัก

อาหารจืดสนิท ไม่อร่อยเลย Smiley โจ๊ก บะจ่าง และเกี๋ยว

วันนี้เราจะไปทัวร์หมู่บ้านน้ำกัน ต้องไปซื้อ One day tour ที่ สนามกีฬาเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stadium) โดยนั่งรถไฟใต้ดินสาย 1 ลงที่ Shanghai Indoor Stadium แล้วเดินไป Shanghai Stadium ...แต่ไกลนิดนึง หรือ สาย 4 ลง Shanghai Stadium เลย ใกล้นิดเดียว แล้วเดินไปใต้บันไดหมายเลข 5 Gate 12 (แอบ copy วิธีเดินทางจากบล็อคคุณ L@st love มา)

ตอนเช้าหน้ายังผ่องกันอยู่ Smiley

ถึงแล้วสนามกีฬาเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stadium)

เมื่อวานฟ้ายังใสอยู่เลย ทำไมวันนี้เริ่มครื้ม ๆ แล้วล่ะ Smiley

ค่าทัวร์ไปโจวจวง 150 หยวน รวมค่ารถบัสไป-กลับ,ค่าผ่านประตู และค่านั่งเรือ (เป็นเรือใหญ่ ไม่ใช่เรือเล็กในโจวจวงนะ แต่พวกเราไม่ได้นั่ง เพราะฝนตก เลยไม่อยากเดินไปขึ้นเรือ มันไกลอ่ะ) 

เจ้าหน้าที่ขายตั๋วที่สถานี ใจดีมาก รู้ว่าเราเป็นคนต่างชาติ ก็ให้แผนที่ พร้อมชี้บอกด้วยว่านั่งเรือตรงไหน ขากลับต้องมาขึ้นตรงไหน

หน้าตาบัตรที่เราไปซื้อ เบอร์ 27 คือที่นั่งขาไป ส่วนเบอร์ 25 คือที่นั่งขากลับ ตอนแรกพวกเราไม่รู้ (ก็อ่านภาษาจีนไม่ออกอ่ะSmiley) ก็นึกว่านั่งตรงไหนก็ได้ สุดท้ายแก๊งค์เจ้าของที่มาไล่ที่ ถึงรู้ว่าต้องนั่งตามเบอร์ อายจัง Smiley แต่ก็ดีนะ เขาไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็บอกให้เรารู้ว่าเราต้องนั่งตรงไหน

ส่วนเวลา 16.00 คือเวลาขึ้นรถขากลับ ห้ามสายนะจ๊ะ ขากลับก็ต้องไปเจอกันอีกที่หนึ่งด้วย ไม่ใช่ตรงที่ลงรถขามา


รถบัสที่เรานั่งไปจะเป็นลักษณะแบบนี้ น่าจะประมาณ 30 ที่นั่ง

ภาพนี้ก่อนโดนไล่ที่นะฮ๊า จากด้านหน้าโดนไล่ไปนั่งด้านหลัง Smiley

นั่งไปสักพัก คนรถก็จอดรถ หลายคนลง เราก็นึกว่าถึงกันแล้ว ปรากฎว่าของพวกเราต้องนั่งไปอีก เพราะฉะนั้น ก่อนขึ้น-ลงรถ ควรโชว์บัตรให้คนขับรถดูสักนิดก่อนก็ดีนะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะเศร้าได้ ก่อนลงเราก็ถามย้ำกับคนขับรถอีกรอบ ว่าจะต้องไปขึ้นรถกลับตรงไหน

คนอื่นพอลงรถปุ๊บ ไปเที่ยวทันที แต่พวกเราหาของกินก่อนเลย หิวอ่ะ กองทัพเดินด้วยท้อง Smiley 

อาหารเลื่องชื่อของโจวจวงคือ ขาหมู ที่ชื่อว่า ว่านซานถี เพราะงั้นเราต้องไปชิม สั่งมาเลยขาหมู ผัดผัก ปลานึ่ง (ปลาไรไม่รู้ ก้างเยอะฉิบเป๋ง เหมือนปลาตะเพียนเลย)  ส่วนสตอเบอรี่ซื้อจากร้านข้างทางมากิน อร่อยมาก ๆ อ่ะ หวานดี โลละ 40 หยวน (เขาบอกราคามา 20 หยวน ต่อ 1 เราก็นึกว่า 1 กิโล แต่จริง ๆ 1 คือ ครึ่งกิโล)

ร้านนี้มีห้องส่วนตัว แยกเป็นห้อง ๆ พร้อมมีฮีตเตอร์ในห้องด้วย ดีจัง อุ่น ๆ

กินเสร็จ ออกมาฝนตก ต้องซื้อร่มกันคนละอัน แต่ไม่แพง 10 หยวน 

โจวจวงเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งได้รับฉายาว่า ยอดหมู่บ้านกลางน้ำแห่งเจียงหนาน มีพื้นที่ครอบคลุมเพียง 0.4 ตารางกิโลเมตร เสน่ห์อันบริสุทธิ์ของโจวจวง ที่คงทนอยู่มานานเกือบ 1000 ปี โดยมากกว่าร้อยละ 60 ของบ้านในโจวจวงนั้นสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง และ ราชวงศ์ชิง ซึ่งถูกอนุรักษ์ไว้จวบจนปัจจุบัน พอเข้าไปแล้วเหมือนหลงไปอยู่ในหนังจีนสมัยโบราณเลย สวยดี

 

ถ้าใครสนใจนั่งเรือ ก็จะมีบริการเรือแจวแบบนี้ด้วย คนพายมีร้องเพลงด้วยนะ แต่ฟังไม่ออก Smiley

ภายในหมู่บ้าน ก็จะมีร้านอาหารเยอะมาก ๆ ไม่รู้ว่าราคาแพงกว่าข้างนอกไหม แต่เรากินกันเรียบร้อยก่อนเข้ามาแล้ว เดินมาเจอกาแฟร้านนี้ illy ก็เสร็จเราอีกเช่นเคย

เจอร้านขายเสื้อผ้าฝ้าย คนขายกำลังปั่นฝ้าย กับทอผ้าอยู่

เดินมาเรื่อย ๆ เจอนกจับปลา เคยได้ยินว่าเขาเลี้ยงนกพวกนี้ไว้เพื่อช่วยจับปลา โดยเมื่อนกได้ปลามาแล้ว เขาก็จะเอาปลาออกมาจากปากนก

เดินมาเรื่อย ๆ ก็เจอทางเข้าวัดนี้ ซึ่งเราถ้านั่งเรือใหญ่มา ก็จะมาลงที่บริเวณวัดนี้

 

เดินแถววัดนี้ ลมแรงมาก ๆ หนาวเลยอ่ะ

ขากลับ ก็นั่งรถบัสคันเดิมเข้าเซี่ยงไฮ้ รถติดมาก ๆ ยิ่งกว่ากรุงเทพอีก  Smileyหิว ๆ เลยนั่งรถไปลง People's Square เดินหาของกิน ฝนก็ตกปรอย ๆ

กินเสร็จ กลับโรงแรมนอน Smiley

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันที่ 16 มีค -> Hangzhou, ทะเลสาบซีหู, ถนนคนเดิน (หังโจว เมืองโรแมนติค)

เช้านี้ขอลองชิมโจ๊ก KFC ใกล้ ๆ โรงแรมบ้าง อืม อร่อยดี น้ำเต้าหู้ก็หอมดี มีปาท่องโก๋ด้วย ใช้ได้เลย

โชคดีหลังกินข้าวเช้าเสร็จ ฝนหยุดตก เราเลยจัดการแพ็คกระเป๋า ออกเดินทางเพื่อไปหังโจว โดยนั่งรถไฟสาย 10  จาก Tiantong Rd. นั่งยาวไปลง Hongqiao Railway Station เลย ค่ารถแค่ 4 หยวนเอง คุ้ม จริง ๆ

แต่ตอนขึ้นรถไฟต้องสังเกตุไฟนะว่าไป Hongqiao railway station หรือเปล่า เพราะสาย 10 ช่วงปลายสายจะมีแยกไป 2 ทาง (กลับไปดูแผนที่ด้านบนได้) 

ถึงที่ขายตั๋วแล้ว แต่....SmileySmiley ภาษาจีนล้วน ทั้งตาราง ทั้งเจ้าหน้าที่ เลยต้องรีบถอยกรูออกมาตั้งหลัก และมองหาเหยื่อ ที่พูดอังกฤษได้ Smiley 

เจอแล้วคนจีนมากับแขกต่างชาติ เลยให้พี่ในทริปเนียนไปต่อหลังเขา พร้อมถามทางและวานให้เขาช่วยซื้อตั๋วให้ Smiley เย้ สำเร็จ ได้ตั๋วมาแล้ว 76 หยวน

ที่นี้แหละ ต้องไปขึ้นรถประตูไหนหว่า คุณพี่ก็ใจดี แนะนำทางขึ้นประตูให้เราด้วย ว่าอยู่ชั้น 2 ประตู 9 เลขที่นั่ง 08F ขบวน G61 เวลา 10.55 น.

 น่ารักที่ซู้ดดดดดดดดด Smiley

ขึ้นมาชั้น 2 แล้ว ก่อนเข้าเกจ มีสแกนกระเป๋าด้วย ภายในกว้างขวาง จนนึกว่านั่งอยู่สนามบิน

 

 พอใกล้เวลาก็จะเข้าประตู แล้วลงไปรอรถไฟด้านล่าง Smileyเห็นคนจีนต่อแถวกันเป็นระเบียบเชียว

พอขึ้นรถไฟปุ๊บ ก็หาที่นั่งตามเบอร์ที่ระบุ และมองหาที่วางกระเป๋า Smileyกำ ไม่มีที่วางกระเป๋าด้านล่างเหมือน รถไฟ Maglev  

กระเป๋าแต่ละคนน้ำหนักไม่ใช่น้อย ๆ ตรูจะยกขึ้นไปวางข้างบนยังไงฟระ โชคดีเรามีเฮอคิวลิส (แฟนเพื่อน) มาด้วย Smiley โอ้ว ยกกระเป๋า 3 ใบลอยละลิ่ว ขึ้นไปอย่างง่ายดาย จนคนจีนมองตาค้าง Smiley

รถไฟขบวนนี้ทำความเร็วได้ดีทีเดียว อยากให้เมืองไทยมีแบบนี้บ้างจัง ห้องน้ำก็หรูนะ เหมือนบนเครื่องบินเลย มีพนักงานเข็นรถขายน้ำด้วย นึกว่านั่งแอร์เอเซีย Smiley

หน้าตารถไฟหัวกระสุน น่านั่งอ๊ะ

พอลงจากรถไฟที่ Hanaghou Station  เราก็ลากกระเป๋าเดินออกมาข้ามถนน เพื่อจะมาโรงแรม เห็นกำลังก่อสร้างรถไฟฟ้ากันอยู่เลย ดีจัง มาคราวหน้าจะได้นั่งรถไฟฟ้าแล้ว คงสะดวกและง่ายกว่านี้

ระหว่างทางที่มา หิวอ่ะ เจอร้านอาหารเล็ก ๆ ที่เจ้าของร้านพูดอังกฤษไม่ได้เลย โอ้ว ไม่มีแม้กระทั่งเมนู หรือรูปภาพแปะฝาผนังให้ดู Smiley แล้วตรูจะสั่งยังไงหว่า

แต่ความหิว ไม่อาจทำให้ภาษาเป็นอุปสรรค์กับพวกเราได้  Smiley เดินตามโต๊ะดูเลย ว่าเขากินไรกัน อันไหนน่ากิน ชี้เลย โหย อร่อยอ่ะ อร่อยทุกอย่างเลย Smiley เช็คบิลออกมาแล้ว ไม่แพงเลยด้วย

ร้านนี้เลยคร๊า เจ๊แนะนำ ให้เชล์ชวนชิม โดยเฉพาะผัดเปรี้ยวหวาน อร่อยเหาะสุด ๆ Smiley กินไปก็พยายามวิเคราะห์กันว่าทำมาจากเนื้ออะไร Smiley แต่ช่างมันอร่อยเป็นพอ

อิ่มแล้วก็ลากกระเป๋ากันต่ออีกนิด ถึงแล้ว โรงแรม Green Tea Inn คืนละ 1,620 บาท (ดูรีวิวท้ายวันนะ)

เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปทะเลสาบซีหูก่อนเลย ก่อนที่จะมืด จากที่พักเดินไปได้ ระยะทางพอสมควร

ทะเลสาบสวยมาก ๆ แต่ถ่ายภาพออกมาไม่สวยเท่าตาเห็นเลย วันนี้ฝนไม่ตก แต่แดดไม่มี ท้องฟ้าครื้ม ๆ เป็นหมอก ๆ ภาพที่ได้มาเลยไม่ค่อยแจ๋มเท่าไหร่ ต้นไม้ก็เหลือแต่กิ่ง Smiley

เห็นเงาราง ๆ ของเจดีย์ 8 เหลี่ยม ที่เขาว่า เป็นที่ขังนางพญางูขาว

ถุงมือใหญ่มาก ๆ จิกมาจากเพื่อนมาใส่ ของตัวเองไม่ได้หยิบมาจากโรงแรม นึกว่าไม่ค่อยหนาว ปรากฎว่าหนาวอ่ะ Smiley

หลังจากเดินไปได้สักพัก สังเกตุเห็นมีรถวิ่งรอบทะเลสาบ ก็ขึ้นตรงที่โบกเลย คนละ 40 หยวน คุ้มจริง ๆ นั่งรอบทะเลสาบ

ตอนรถวิ่ง เวลาลมพัดมาที หนาวสะท้านเลยอ่ะ คิดว่ารถแบบนี้ไม่น่าจะ Hop-on and Hop-off ได้ เพราะไม่เห็นมีใครขึ้น ๆ ลง ๆ กันเลย สุดท้ายคนขับก็มาส่งเรา ณ จุดที่เราขึ้นเหมือนเดิม จำได้ด้วย เก่งจัง

หรือใครอยากจะนั่งเรือล่องทะเลสาบก็ได้นะ

หังโจว ตอนนี้ยังไม่มีรถไฟฟ้า แต่จะมีรถจักรยานของเมืองให้เช่า หลาย ๆ จุด สามารถขี่จักรยานจากจุดนึงแล้วไปทิ้งอีกจุดนึงได้เลย โดยต้องใช้การ์ด เพราะเห็นหนุ่มหน้ามนกำลังเอาการ์ดทาบเพื่อถอยจักรยานออกมาจากที่จอด อาจจะหักเงินตามระยะทางที่ใช้จักรยานนั้น ๆ สะดวกดีจัง

ชอบหังโจว บรรยากาศดูสบาย ๆ น่าเดินเล่น ชิว ๆ ผู้คนก็น่ารัก เป็นมิตร หรือเราโชคดีที่เจอแต่คนดี ๆ ที่ช่วยเหลือเรากันตลอดเลย ตั้งแต่ก่อนมาเที่ยวแล้ว

จริง ๆ คนจีนที่นิสัยดี มีน้ำใจก็เยอะนะ เพียงแต่ภาพลักษณ์ที่คนทั่วไปมักจะคิด ก็คือคนจีนจะไม่ค่อยมีน้ำใจ ไม่มีระเบียบ ซึ่งตรงนั้นเราก็ต้องยอมรับ เพราะเขาจะแย่งกันขึ้นรถไฟฟ้ามาก แต่พออยู่ไปสักพักก็ชิน 

ที่เด็ดสุด คือ หนุ่มออฟฟิศ ที่เราเข้าไปถามทาง ตอนไปถนนคนเดินกลางคืน เพื่อจะหา Food  Street เขาพูดอังกฤษไม่ได้ แต่พยายามเดินหาคนที่จะช่วยพูดกับเราได้ จนสุดท้ายคงหาใครไมได้ เลยโทรไปหาเพื่อนที่พูดอังกฤษได้ แล้วให้เราคุยกับเพื่อนของเขาทางโทรศัพท์ น่ารักไหมล่ะ สุดยอดเลยอ่ะ Smiley 

ด้วยความที่เราไม่รู้ชื่อเฉพาะของถนนเส้นนั้น ปลายสายก็เลยไม่แน่ใจว่าที่เดียวกันไหม ไม่เป็นไร ด้วยความที่เดินไปถ่ายไป ทำให้ภาพไม่ชัดเท่าไหร่ ถนนสายนี้ค่อนข้างยาวเหมือนกัน เดินเมื่อยอ่ะ แต่ก็เดินได้เรื่อย ๆ เขาทำร้านรวง ดูสวยงามแบบจีน ๆ ดี

สองสามี-ภรรยา กำลังปรึกษาไรกันอยู่อ่ะ Smiley

มีร้านขายชาหลงจิ่งเยอะมาก ๆ เพราะหลงจิ่งเป็นใบชาที่มีชื่อเสียงที่สุดชนิดหนึ่งของจีน กล่าวกันว่า "ดื่มชาหลงจิ่ง เพียง 1 จิบ ปากจะหอมตลอดวัน" Smiley

ร้านนี้เก๋อ่ะ ทำเป็นเหมือนโรงเตี้ยมโบราณ

หลังจากที่พยายามหา ถนนสายอาหารแล้วไม่เจอ เราก็เลยไปกินในร้านอาหารแทน เจอร้านนึงเขียน We have english menu Smiley เข้าเลย ลองสั่งปลามากิน ก้างเยอะอีกตามเคย Smiley ไมปลาที่จีนมีแต่ก้างเยอะ ๆ ฟระ กินจนหมดลืมถ่ายรูปมา อิอิ

แต่หลังจากกินอิ่มแล้ว ก็พึ่งเดินมาเจอ Food Street Smiley กำ ไว้พรุ่งนี้มาใหม่ละกัน คืนนี้ขอกลับไปนอนเอาแรงก่อน

มาดูรีวิวโรงแรมหน่อยละกันนะ เปิดเข้ามาปุ๊บ ได้กลิ่นบุหรี่ค้างอยู่ในห้องทันที อุปกรณ์ทุกอย่างก็มีครบ ห้องน้ำจะเลือกแบบโชว์หวิวหรือปิดม่านก็ได้นะ 

แต่ถ้ามาคราวหน้าว่าจะลองไปพัก Ibis ที่อยู่ใกล้ ๆ กันสักหน่อย เพราะมีไวไฟฟรี SmileySmiley  ถนนเส้นนี้จะมีหลายโรงแรมเลย เพราะใกล้ถนนคนเดิน 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันที่ 17 มีค -> Hangzhou, Lingyin Temple เขาเฟยไหล (จริง ๆ ตั้งใจจะไปไร่ชา แต่หาไม่เจอ เลยมาวัดแทน Smiley)

เมื่อวานหลังจากติดใจอาหารร้านเจ๊ เช้านี้ก็เลยขอไปอุดหนุนอีกรอบ แต่ต้องผิดหวัง Smiley เพราะตอนเช้าเจ๊แกขายเฉพาะซาลาเปา ก็เลยกินกันตายไปก่อน

หลังจากนั้นก็เดินไปป้ายรถเมล์ รอขึ้นสายY7 แล้วไปต่อ Y2 บริเวณทะเลสาบซีหู  ที่ป้ายรถเมล์จะมีบอร์ดคอยแจ้งว่ารถสายอะไรจะเข้ามา อีกกี่นาทีจะมาถึง จริง ๆ แล้วไปสาย K7 ก็ได้ เพราะเราเห็นสายนี้ก็ไปทะเลสาบซีหูเหมือนกัน

รถเมล์ที่นี่ขึ้นหน้า ลงหลัง โดยมีกล่องรับเงินให้หยอดลงไป ไม่มีทอนตังค์นะ ต้องเตรียมให้พอดี เกินคนขับไม่ว่า Smiley แต่ถ้าขาดไม่รู้เหมือนกัน

ปรากฎว่ารถแน่นมาก จนขึ้นด้านหน้าไม่ได้ ทุกคนเลยวิ่งจะไปขึ้นด้านหลัง Smileyคนขับรีบวิ่งลงมา เฮ้ยมาจ่ายตังค์ก่อนแล้วค่อยไปขึ้นด้านหลัง (แปลจากท่าทางคนขับรถเอา)

ระหว่างที่นั่งรถ Y2 ก็ชมวิวข้างทาง จะมีไร่ชาด้วย บรรยากาศดีมาก ๆ นั่งไปจนสุดสาย ก็ถึงวัด Lingyin 

หน้าตารถ Y2 เก๋นะ ที่นั่งก็ยังเป็นไม้ด้วย เหมือนรถโบราณ

 

 ลงแล้วก็เดินขึ้นไปเลย เจอเคาเตอร์ขายตั๋วแล้ว จะมีค่าเข้าหุบเขาเฟยไหล 30 หยวน (มั้ง จำไม่ได้) ค่านั่งเคเบิ้ล 40 หยวน (ใครไม่นั่งก็ไม่ต้องซื้อ เพราะขายแยกกัน) แต่ไหน ๆ มาแล้ว ก็จัดเต็ม ส่วนถ้าจะเข้าวัดหลินอิง ก็ต้องซื้อตั๋วต่างหากข้างในอีก 30 หยวน

 

ดูจากในบัตร เหมือนจะมีวัด 2 ที่ (ไม่นับวัดหลินอิงนะ)

ว่าแล้วไปนั่งเคเบิ้ลกันก่อนเลย ระหว่างนั่งเคเบิ้ล ก็จะมองลงมาเห็นไร่ชา วันนี้หมอกเยอะมาก ๆ ถ่ายรูปเลยไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ สวยมาก ๆ

ถึงวัดแล้ว แต่ไม่รู้วัดอะไร Smiley

เดินเที่ยวบริเวณรอบ ๆ สักพัก ก็นั่งเคเบิ้ลกลับลงไปข้างล่าง แล้วก็เดินเข้ามาทางวัดนี้

จะมีหินแกะสลัก เป็นองค์พระตามผนังถ้ำ เต็มเลย

เจอแล้ว พระสังกระจาย ที่มีรูปอยู่บนหน้าตั๋ว Smiley

แล้วก็เดินกันต่อไปเรื่อย ๆ วัดที่นี่จะเหมือนวัดทางญี่ปุ่นเลย จริง ๆ แล้วของจีนต้องเป็นต้นฉบับเนอะ เพราะคนญี่ปุ่นก็คือคนที่มาจีนนั่นเอง

จากหน้าตั๋วที่เราซื้อบัตรมา จะสังเกตุว่ามี 2 วัด ถึงแล้ววัดแรก ส่วนวัดที่ 2 ไม่ได้ไป เพราะเพื่อนเริ่มออกอาการป่วย

 

เอ๊ะ หรืออ้อนสามี Smiley

 

นั่งหายเหนื่อยสักพัก ก็เดินขึ้นไปข้างบนต่อ เจอวัดนี้

ภายในมีองค์พระ คิดว่าเป็นเจ้าแม่กวนอิมพันมือ นะ

ระหว่างทางเจอหินในสวน น่ารักดี Smiley

จากวัดนี้ยังมีทางเดินขึ้นไปข้างบนอีก คิดว่าคงเป็นอีกวัดนึงตามที่อยู่บนหน้าตั๋ว แต่พวกเราไม่ได้เดินขึ้นไป เพราะจะกลับลงมาเข้าวัดหลินอิง

ก่อนเข้าวัดหลินอิง ต้องซื้อตั๋วก่อน คนละ 30 หยวน พอเข้าไป ผู้คนมหาศาล ควันธูปตลบอบอวล กลายเป็นหมอกจาง ๆ และควัน Smiley

เจอซากุระต้นน้อยด้วยอ่ะ Smiley

  

ภายในวัด บริเวณกว้างขวางมาก แต่เราเดินกันแต่พอเพียงเท่านั้น เพราะเด่วจะไม่มีตั๋วกลับเซี่ยงไฮ้ ขากลับเราก็เดินลงมาขึ้นรถเมล์ตรงที่เราลงตอนแรก ไปลงแถว ๆ ถนนคนเดิน เพื่อไป Food Street เพราะอยากกิน ไก่ขอทาน Smiley

ซึ่ง Food Street อยู่ซอยข้าง ๆ ร้านอาหารไทยร้านนี้ ร้านใบโพธิ์ทอง ดูใหญ่โต หรูหราดี

ถนนสายอาหารนี้ คนเยอะมาก ๆ เป็นถนนเส้นเล็ก จะมีร้านขายอาหารเต็มสองข้าง ใครอยากกินไร ก็ซื้อมานั่งกินที่โต๊ะตรงกลาง

หน้าตาไก่ขอทาน ไก่จะห่อด้วยใบบัว กระดาษแล้วไปหมกโคลน เวลากินจะมีถุงมือพลาสติคใส ๆ มาให้ เอาไว้แกะไก่ จะได้ไม่เลอะมือ เออความคิดดีนะเนี่ยะ Smiley

หลังจากกินเสร็จ ก็เดินกลับโรงแรม

มีรถด้วย เผื่อใครไม่อยากเดิน รุ้สึกจะ 3 หยวน แต่ไม่ได้แอ้มจากพวกเรา Smiley

 

 กลับโรงแรม แพ็คกระเป๋า ขึ้นแท็กซี่ไป Hanaghou Station ซื้อตั๋ว

 

จากนั้นก็นั่งรถไฟไปลงสถานี People's Square คืนนี้เราพักกันที่ Citadines ราคา 2,500 บาท พร้อมอาหารเช้า (รีวิวด้านล่าง) โรงแรมอยู่ตรงข้าม Marriott

หลังจาก Check-in เสร็จ เราก็ไปหาของกินแถว ๆ นั้น เป็นถนนสายอาหารเหมือนกัน คราวนี้เราได้ลองชิม หม้อไฟแบบจีน อร่อยดี ฝนตกเลยไม่ได้เอากล้องไปด้วย Smiley

จริง ๆ ถนนจากสถานี Peopls's Square เดินตรงไปถนนสายชอปปิ้ง ก็จะเจอสถานี East Nanjing Rd เช่นกัน

มาดูรีวิวโรงแรมกันบ้าง โรงแรมที่นี่จะเป็นกึ่ง ๆ Service Apartment  เพราะมีส่วนทำครัวด้วย ห้องสวยดี

ที่นี่มีกาแฟ กับน้ำให้ 2 ขวด ด้วย

มาดูห้องน้ำบ้าง อุปกรณ์ครบ ยกเว้นไม่มีหมวกอาบน้ำ

 ในห้องพักมีอินเตอร์เน็ตแบบแลนให้ แต่ถ้าจะใช้ไวไฟต้องมาใช้บริเวณลอบบี้ ฟรีจ้า

 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันที่ 18 มีค -> Yuyuan Garden, Shopping

ตื่นแต่เช้ามากินบุฟเฟ่ต์ที่โรงแรม Smiley มาก่อนชาติอื่น แต่กลับทีหลัง คนไทยชิว ๆ ไม่รีบไม่ร้อน Smiley

จากนั้นก็นั่งรถไฟไปลง Yuyuan Garden เลย จริง ๆ ตั้งใจมาชอปปิ้งมากกว่าจะเข้าสวนอ่ะ ก็เลยไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าไป

 

 

ชิมปลาหมึกย่างซะหน่อย อ๊า ร้อน Smiley

เสี่ยวหลงเปาที่นี่ จะมีหลอดเสียบไว้พร้อม เก๋ดีอ่ะ

แถวนี้จะมีร้านเสี่ยวหลงเปาร้านนึง คนต่อแถวซื้อยาวมาก ๆ พวกเราเลยขี้เกียจรอ แวะเข้าไปชิมร้านอื่นก็ได้

หลังจากชอปปิ้งที่นี่สักพัก ก็แวะไปชอปปิ้งที่นานจิงต่อ ลากันไปด้วยรูปนี้

 สรุปค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ จ้า

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 13 มีนาคม 2555    
Last Update : 14 พฤษภาคม 2555 10:00:17 น.
Counter : 5514 Pageviews.  

NEPAL เนปาล สักครั้งในชีวิต (with mom) 14-18 May 2011

เนปาลเป็นประเทศนึงที่อยากไปมานานแล้ว อยากเห็นหิมาลัยสักครั้งในชีวิต ทริปนี้เดินทางไปกัน 2 แม่ลูก ด้วยการบินไทย กับตั๋วโปรโมชั่นพอดีแม่ไม่สบายตั้งแต่ก่อนเดินทาง แต่ใจสู้สุด ๆ

ค่าตั๋ว 8,000 + ภาษีและน้ำมัน 5,220 รวมเป็น 13,220 บาท/คน
ค่าทำวีซ่า 875 บาท/คน

BKK-KATHMANDU เที่ยวบิน TG319 ที่นั่ง 55J,55K เวลา 10.15-12.25
KATHMANDU-BKK เที่ยวบิน TG320 ที่นั่ง 58A,58B เวลา 13.30-18.15

ถ้าอยากเห็นหิมาลัยตั้งแต่บนเครื่อง ต้องนั่งแบบไปขวา กลับซ้ายค่ะ
เวลาเนปาลจะช้ากว่าไทย 1.15 ชม.
เนปาลจะมีฝุ่นค่อนข้างเยอะ และไฟฟ้าดับได้โดยไม่รู้ตัว ควรจะพกผ้าปิดปากและไฟฉายไปด้วย

อัตราแลกเปลี่ยนช่วงนี้
1 USD = 70.5-71 NRS
1 BAHT = 2-2.3 NRS


วันที่ 1 => 14พ.ค. Swayambhunath

แล้วเรากับแม่ก็โชคดี ได้เห็นหิมาลัยตั้งแต่บนเครื่อง (เพราะตีซี้กับคนเนปาลข้าง ๆ เขาเลยชี้ให้เราดู เพราะถ้าดูเองมองไม่ออกเลยอ่ะ)





หลังจากมาถึงสนามบิน เราก็มองหารถที่ทางโรงแรมส่งมารับ
โรงแรมที่เราเลือกพัก เป็นโรงแรมสงบ ๆ น่ารัก ๆ มีสวนสวย ๆ ที่อยู่ในย่านทาเมล (Thamel) หรือคนไทยชอบเรียกว่าถนนข้าวสารเนปาล

Nirvana Garden Hotel (www.nirvanagarden.com) เราจองโดยการอีเมล์ไปขอราคาพิเศษจากโรงแรมโดยตรง เราพักที่นี่ 3 คืน คือ 14,15,17 พ.ค.

ราคาห้อง USD 40 เป็นห้อง Mini Suite มีเตียงใหญ่ 1 เตียงกับเตียงเสริมอีก 1 เตียง พร้อมแยกส่วน living room ออกมาต่างหาก มีทีวี, ตู้เย็น, แอร์และระเบียง พร้อมรถรับจากสนามบินฟรี 1 เที่ยว แต่ไม่มีอาหารเช้า

เรากับแม่ชอบมาก ห้องกว้างขวาง พนักงานโรงแรมก็อัธยาศัยดีมาก ๆ โรงแรมเงียบสงบ ถึงอยู่ใจกลางทาเมล และแถวโรงแรมก็มีร้านอาหาร ร้านแลกเงิน ร้านขายของเหมือน 7-11 ร้านชอปปิ้งมากมาย





ระเบียงห้องพร้อมสวนสวย ๆ







รถตู้คันสีขาวคือรถที่ทางโรงแรมจัดมาให้รับเรา เห็นตอนแรกก็อึ่งเล็กน้อย แต่ตอนหลังก็เข้าใจว่าคนเนปาล จะใช้แต่รถคันเล็ก ๆ ทั้งนั้น




อันนี้แผนที่บริเวณโรงแรมจ๊ะ ถ้าเดินออกจากโรงแรมก็จะเจอร้านอาหารร้านนี้ ส่วนรถสีขาวเล็ก ๆ ที่เห็น ก็คือหน้าตารถแท็กซี่ของเนปาล ซึ่งต้องต่อรองราคาดี ๆ ส่วนแท็กซี่มิเตอร์ก็มีนะ แต่แสบกว่าต่อรองราคากันเองอีก ไว้จะเล่าให้ฟังในวันที่ 3




หลังจากเก็บข้าวของเสร็จ ก็ไป สวยมภูวนาถ (Swayambhunath) หรือวัดลิง (Monky Temple) โดยเรียกแท็กซี่จากทาเมลไปในราคา NRS 120
ต้องเดินขึ้นบันไดหลายขั้นมาก ๆ หลังจากเดินมาได้ครึ่งทาง แม่ที่ไม่สบายอยู่แล้วก็บอกว่าขึ้นไปไม่ไหวแล้ว เลยได้ภาพมาแค่นี้




วัดนี้ลิงเยอะมาก ๆ ใครถือน้ำหรือของกินขึ้นไปต้องระวังลิงมาแย่ง ระหว่างทางเดินขึ้นก็จะมีร้านขายของตลอดทาง หลังจากขึ้นไปไม่ไหว เราก็เดินกลับลงมาด้านล่าง เห็นมีวัดและตลาด แถว ๆ นั้นเลยไปเดินเล่นถ่ายรูปมา



มีตลาดแบกะดินด้วย



2 แม่ลูกก็เริ่มหิว เรียกแท็กซี่กลับ เปิดราคามหาโหดมาก ๆ NRS 400 แต่เราก็กลับมาโรงแรมได้ในราคา NRS 120 เหมือนขาไป

เดินหาของกิน เจอร้าน Yak'Cafe อาหารเย็นมื้อแรกของเรา ข้าวผัด ซุปผัก สลัด อาหารรสชาดพอทานได้ แต่แม่ไม่สบายทานแทบไม่ลงเลย สงสารมาก > ค่าเสียหายมื้อนี้ NRS 280 ไม่แพงค่ะ


หน้าตาอาหารของเรา



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันที่ 2 => 15 พ.ค. (Patan - Kathmandu Mall - Kathmandu Durbar Square)

ตื่นเช้าวันนี้ขอลองทานอาหารเช้าที่โรงแรมซะหน่อย หัวละ NRS 340 แพงอ่ะ เพราะไม่อร่อยเลย



หลังจากมื้อเช้าเสร็จเราก็ไป ปาตัน (Patan dubar square) นึกว่าจะไกล โดนแท็กซี่ฟันค่ารถไป NRS 300 ทั้ง ๆ ที่เราว่าไม่น่าจะเกิน 200
ค่าเข้าชมสถานที่ NRS 200 / คน
เราว่าที่นี่สวยมาก ๆ สวยกว่า ปัคตะภูร์ อีก





ครุฑของที่นี่ จะเป็นลักษณะนี้



บางรูปอาจจะย้อนแสง ไปบ้างนะค่ะ แบบว่าถ่ายรูปไม่เก่ง




ส่วนคุณแม่ถึงไม่สบาย แต่ยิ้มสู้กล้องเสมอ



เจอนักเรียนเต็มเลย สงสัยพึ่งกำลังจะเข้าเรียน เคยถามคนขับรถว่านักเรียนที่นี่เข้าเรียนกี่โมง ถ้าจำไม่ผิดเขาบอกว่า 9 โมง โหยสายมาก ๆ




ที่นี่คือน้ำศักดิ์สิทธิ์หรืออย่างไร ทำไมเห็นคนหิ้วกระป๋อง กระแป๋ง มาเอาน้ำกันเต็มเลย



เดินตรงมาเรื่อย ๆ แล้วหันกลับไปก็จะเจอภาพแบบนี้




จากตรงนี้ เราจะเจอทางแยก เอาล่ะซิ ทางไหนไปวัดทอง (Golden Temple Kwa Bahal) ลองเสี่ยงดวงดูละกัน เดินตรงไปก่อน

 

เดินไปเรื่อย ๆ ก็เจอครุฑแบบนี้อยู่ริมถนน



เดินไปเรื่อย ๆ ทำไมมันไกลจังหว่า หรือเราหลง เลยเดินตามกรุ๊ปฝรั่งดีฝ่า เผื่อจะเจอ
สภาพบ้านเรือนของเนปาล ดูสวยและขลัง ๆ ดี

 

เดินมั่ว ๆ ไปเรื่อยเจอวัดนี้ ไม่รู้วัดอะไร

ดูงานแกะสลักไม้ของวัดนี้ สวยอ่ะ

ตามฝรั่งมาในที่สุดก็เจอวัดทอง เย้



ที่วัดทองจะมีกฎห้ามนำเครื่องหนังเข้าวัด ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า กระเป๋าหรือเข็มขัด
ค่าเข้าวัด คนละ NRS 50

ประตูทางเข้าวัด


ฝรั่งกลุ่มนี้ที่เราแอบสะกดรอยตามเขามา อิอิ




นี่คุณแม่คนเก่งของเราเอง บอกให้ยืนตรง ๆ แม่ก็ยืนตรงได้ใจจริง ๆ




เขากำลังซ่อมแซมอยู่พอดี


ข้างในมีองค์พระสวยงามมาก ๆ




หลังจากเดินกันเหนื่อยก็เริ่มหิว เลยเดินกลับมาเจอร้านอาหารร้านนี้
ได้วิวบรรยากาศดี ๆ เพราะสามารถมองเห็นปาตันได้ชัดเจน




ส่วนหน้าตาอาหารของเราและแม่ก็เป็นดังนี้
เราสั่งชุดอาหารเนปาลมาลองทานดู ข้าวแข็งมาก ๆ
ส่วนของแม่สั่งก๋วยเตี๋ยวเนปาลมาชิม รสชาดพอกัน แม่กินไปได้ 1/4
สำหรับเครื่องดื่มเราขอโค้ก พร้อมขอน้ำแข็งด้วย เขาเอาน้ำแข็งมาให้ 3 ก้อนใส่ชามมาน่ารักเชียว แสดงว่าคนเนปาลปกติจะไม่กินน้ำแข็ง เพราะบ้านเขาอากาศหนาวเป็นส่วนใหญ่นิ แต่แปลกมีไอติมขายนะ (ดูภาพข้างล่างได้)
สำหรับเราและแม่อาหารไม่ถูกปากเลย ทำให้รู้สึกว่าอาหารแพงมาก มื้อนี้จ่ายไป NRS900




หลังจากแม่หายเหนื่อย พอมีแรง เราก็อำลาปาตันด้วยภาพนี้



แล้วเดินไปเล่นซอยข้าง ๆ ดูว่ามีไรน่าสนใจบ้าง เท่าที่สังเกตุจะเป็นร้านขายเครื่องทองเหลืองเยอะ


เจอรถเข็นขายไอติมด้วย แต่ไม่ได้ชิม


เดินมาอีกนิดเจอประตูวัดน่ารักดี ที่ซอยนี้แม่ได้ผ้าห่มถูกใจกลับมาเมืองไทยด้วย ผ้านิ่มและอุ่นมาก ๆ คนขายคิดว่าเรากับแม่เป็นคนเนปาล เพราะคงไม่คิดว่าจะมีต่างชาติมาซื้อผ้าห่ม คนขายใจดีมาก ๆ เรามีเงินเนปาลไม่พอ เขาก็คิดเป็นเงินดอลล่าร์ให้เราโดยคิดเรตปกติเหมือนเราไปร้านแลกเงิน


หลังจากเดินเล่นซักพัก ก็ออกมาเรียกแท็กซี่ จากปาตันไป Kathmandu Mall NRS 250 โดนฟันอีกแล้ว

ที่ไปห้างนี้เพราะอยากเห็นสภาพบ้านเมืองเขาในหลาย ๆ มุม อยากดูว่าห้างจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ขอบอกว่าเป็นห้างที่ไม่มีไรเลย ห้องน้ำก็สุด ๆ ไม่น่าไปอย่างแรง ไม่แนะนำเลย ถามคนขับรถที่เราจ้างวันรุ่งขึ้น เขาบอกว่าห้างนี้เป็นห้างแรกของเนปาล เก่าแล้ว แต่ปัจจุบันมีห้างที่ใหม่กว่านี้ โอ้ว ข้อมูลเราไม่อัดเดต อิอิ




เดินห้างได้แค่ 5 นาที เรียกแท็กซี่ไป Kathmandu Durbar Square ดีกว่า
อันนี้รู้ระยะทางว่าใกล้มาก ๆ เลยต่อราคาไป NRS 50
ค่าเข้าที่นี่ NRS 300 / คน

หลังจากซื้อตั๋วผ่านเข้าไปปุ๊บ เจอร้านนี้ มองเมนูเจอกาแฟเย็นด้วย สองแม่ลูกดีใจสุด ๆ เดินเข้าร้านไปทันที
แต่รสชาดขอบอกว่าห่วยขั้นเทพ ไรฟระ ร้านออกจะหรู ชงกาแฟไม่ได้เรื่อง เซ็งเลย

 


เข้าไปข้างในกันเลยดีกว่า ไม่รู้ว่าจะโชคดีได้เจอกุมารีหรือเปล่า เพราะเคยได้ยินว่ามาเนปาล ถ้าได้เจอ 2 สิ่งถือว่าโชคดี สิ่งแรกคือภูเขาหิมาลัย สิ่งที่ 2 คือกุมารี




ปรากฎว่าเข้าไปข้างใน เขามีหาเสียงกันใหญ่เลย คนใส่เสื้อแดง หมวกแดงเต็มไปหมด แล้วเราก็ไม่ได้เจอกุมารี


มีร้านค้าขายของที่ระลึก



แต่เจอพระศิวะกับภรรยา ชอบมาก ๆ น่ารักดี สังเกตุมือพระศิวะดี ๆนะ






ภาพนี้คือ หนุมานโกด้า


เข้าไปดูข้างในกันหน่อย

ข้าง ๆ หนุมานโกด้า จะเป็นวัง ตอนเราไปถึงเป็นเวลาที่เขาปิดแล้ว ห้ามเข้า แต่เราขอชะโงกเข้าไปถ่ายรูปหน่อย พี่ทหารคนนี้ก็ใจดี




ส่วนใหญ่โบราณวัตถุของเขา จะเห็นผู้คนขึ้นไปนั่งเล่นกันเยอะมาก

 



เจอพระพิณฆเนศด้วย องค์น่ารักดี ส่วนอีกองค์จำไม่ได้แล้วว่าเทพอะไร



งานแกะสลักสวย ๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไป งามมาก ๆ ชอบ ชอบ




ภาพนี้คือกาปมณฑป (ภาพย้อนแสงไปหน่อย) ตามประวัติเห็นบอกว่าสร้างจากไม้ต้นเดียว

 


หลังจากเดินชมได้สักพัก แม่เริ่มเหนื่อย เราก็กลับออกมาทางเดิมที่เข้ามา




แล้วก็กางแผนที่ เดินเข้าซอยเพื่อจะกลับโรงแรม ระหว่างนั้น แม่เจอพ่อค้าข้างทางขายลูกท้อ เลยอยากซื้อมาชิม ไม่แพงเลย ครึ่งโล NRS 40 เลยจัดไป ตาชั่งแกก็สุดยอดจริง ๆ

 


หลังจากชอปเสร็จ เราก็เดินกันไปเรื่อยๆ เจอวัดนี้ก็เดินตรงไปได้เลย




เดินไปจนถึงทางแยกเข้าโรงแรมแล้ว แต่หิว เลยเดินหาร้านอาหารก่อนดีกว่า
เดินมาเรื่อย ๆ เจอร้านอาหารญี่ปุ่น OFUKURO NO AJI เลยขอเปลี่ยนรสชาดมากินอาหารญี่ปุ่นบ้าง ทางเข้าเป็นทางเล็ก ๆ แต่ไม่ลึกลับ อยู่ชั้น 2 ของตึก ส่วนชั้น 3 เป็นร้านอาหารเกาหลีด้วย แต่ไม่ได้ชิม

 

ทางเข้าเป็นทางเล็ก ๆ แต่ไม่ลึกลับ อยู่ชั้น 2 ของตึก ส่วนชั้น 3 เป็นร้านอาหารเกาหลีด้วย แต่ไม่ได้ชิม




พอขึ้นไป เจอคนญี่ปุ่นกำลังนั่งทานอาหารอยู่ เรากับแม่ฝากท้องไว้ที่ร้านนี้หลายมื้อมาก เพราะอาหารใช้ได้เลย รสชาดดีเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่นที่ไทย สังเกตุว่าทุกครั้งที่เรามาทาน จะเจอคนญี่ปุ่นมาทานที่นี่เหมือนกัน
รูปภายในร้านจ๊ะ




ส่วนรูปนี้คือหน้าตาอาหารที่เราสั่ง OYAGODON และของแม่ เป็นชุดปลาย่างเกลือ ดีใจมากเลย แม่กินได้เกือบหมด มื้อนี้ NRS 750 ถูกกว่ากินอาหารญี่ปุ่นที่เมืองไทย อิอิ




หลังกินเสร็จ เราก็เดินหารถทัวร์ที่จะพาเราไป Nargakot ปรากฎว่าช่วงนี้เป็นโลว์ซีซั่น ไม่มีรถทัวร์ไปที่นั่น เราต้องจ้างรถแท็กซี่ไป แม่หันมาบอกทันทีว่าถ้าไปแท็กซี่คันเล็ก ๆ แบบนี้ฉันไม่ไปนะ เราเลยต้องจ้างรถส่วนตัวเป็นรถเก๋งพร้อมคนขับไปแทน ซึ่งแพงกว่า โดยเราจ้างเที่ยวเดียว รับจากโรงแรมที่ทาเมลไปส่งเราที่โรงแรมตรงนาร์กากอต ในราคา $32 โดยเราจองผ่านเอเย่นต์แถวทาเมล ซึ่งมีเยอะมาก ๆ แต่พยายามหาร้านที่ดูน่าเชื่อถือหน่อย

สำหรับวันนี้เราพาแม่ไปเหนื่อยมาก ๆ เพราะตะลุยเยอะไปหน่อย นู๋ขอโทษคร๊า ก่อนนอนแม่ต้องกินยา ลากันด้วยภาพทาเมลยามค่ำคืนจ๊ะ



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันที่ 3 => 16 พ.ค. (Bodhnath Stupa - Nagarkot)

มื้อเช้าวันนี้เราฝากท้องไว้ที่ร้าน Yak'cafe เช่นเดิม เพราะร้านเปิดแต่เช้า แต่อาหารเช้ามีแค่เมนูแบบนี้เท่านั้น > แม่นู๋อยากกินข้าวค่ะ ก็เราคนไทยนิเนอะ

 


หลังจากกินเสร็จ เราก็เดินไปเรื่อย ๆ เพื่อเรียกแท็กซี่ไปโพธินาถ (Bodhnath Stupa) คราวนี้เจอแท็กซี่มิเตอร์ตัวแสบ แสบยังไงเราก็มารู้ตอนขากลับเหมือนกัน เรานั่งไปถึงที่นั่น NRS 400
ค่าเข้าที่นี่คนละ NRS 150 ชอบที่นี่ สวยดี ภาพประตูทางเข้า


พอเดินผ่านประตูเข้ามา ก็ต้องเจอกับความอลังการของสถูป กับดวงตาเห็นธรรม ดูขลังมาก ๆ




ตอนแรกตั้งใจจะเดินให้ครบ 3 รอบ แต่หลังจากนั้นครบรอบเดียวก็เหนื่อยแล้ว พอเถอะ
รอบ ๆ สถูป ก็จะมีร้านค้าขายของที่ระลึกด้วย ที่นี่จะได้พบพระทิเบตเยอะมาก




พอเดินไปได้สักพัก รู้แล้วทำไมมีพระทิเบตเยอะ ก็มีวัดอยู่ตรงนี้เอง ข้างในมีองค์พระสวยงามมาก



พระกำลังสวดมนต์อยู่

จะเห็นคนที่นี่ มาหมุนกงล้อแบบนี้ พร้อมสวดมนต์ไปด้วย


เดินได้สักพัก ก็กลับออกมาทางเดิม แท็กซี่ก็จะกรูกันเข้ามาถามว่าจะไปไหน เราก็เลือกมาสักคันบอกว่าจะกลับโรงแรม แท็กซี่เปิดราคามา NRS 300 รู้เลยไอ้แท็กซี่มิเตอร์ตอนขามา มันโกงชัด ๆ ฮึ่ม เราเลยต่อราคาไปที่ NRS 250 กลับมาหาข้าวกินแถว ๆ โรงแรม แล้วก็นั่งรอรถที่จ้างไว้มารับเพื่อไป นาร์กาก็อต

ทางที่ไปนาร์กาก็อต จะเหมือนกับทางเหนือของบ้านเรา ที่ต้องขึ้นเขาขึ้นดอย ก็ดูสวยดี อากาศก็เย็นสบาย
อาหารเที่ยงก่อนเดินทางไป นาร์กาก็อต สลัดหน้าตาและรสชาดประหลาด ๆ





ถึงแล้วที่พักของเรา NIVA NIWA LODGE (www.nivaniwa.com) ราคาห้อุง $30 โรงแรมนี้อยู่บนเขา วิวสวยมาก ถ้าอากาศดี ๆ จะสามารถมองเห็นยอเขาหิมาลัยจากที่นี่ได้เลย




มาดูในห้องพักกันบ้าง สังเกตุว่าบนที่นอนจะมีผ้าห่มอย่างหนาหลายชั้นมาก หน้าหนาวคงจะหนาวน่าดู


มาดูระเบียง และวิวรอบ ๆ โรงแรมกันบ้าง



ร้านอาหารของที่นี่ มีที่นั่งล้อมรอบผิงไฟให้ความอุ่นด้วย




หลังกินข้าวเสร็จ แม่ก็กินยาแล้วเข้านอน โชคดีที่มีฮีตเตอร์ เพราะแม่หนาว สงสัยจะเป็นไข้แน่ ๆ เลย

ลากันด้วยภาพพระจันทร์ ค่ะ  สาธุพรุ่งนี้ขอให้ฟ้าใส




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันที่ 4 => 17 พ.ค. (Bhaktapur)

ตั้งใจตื่นแต่เช้า เพื่อจะมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น พร้อมด้วยวิวภูเขาหิมาลัยเป็นฉากหลังซะหน่อย แต่ดูรูปซิ

รอแล้วรอเล่า ยิ่งรอหมอกก็ยิ่งลงจัด จนแทบไม่เห็นไรเลย

เลยลงทานอาหารเช้าดีกว่า พร้อมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซะหน่อย Smiley

 หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เราก็ลงมาด้วยรถคันเดิม เพราะแม่เห็นรถบัสท้องถิ่นที่วิ่งสวนลงไปตอนเราขึ้นมา ฝรั่งนั่งบนหลังคารถ Smiley แม่เลยบอกขอบาย กลับคันเดิมละกัน คนขับขับรถดี อัธยาศัยก็ดี เราเลยจ้างกับเจ้าของรถโดยตรง ในราคา $40 เพราะต้องแวะเที่ยวที่ภัคตะปูร์ก่อนกลับทาเมล
ตอนแรกติดต่อเอเย่นต์ เปิดราคามา $60 โหดมาก ต่อก็ไม่ให้ เราก็ไม่ง้อ

ค่าเข้า Bhaktapur จะแพงกว่าที่อื่น คนละ NRS1,100 แต่เราว่าปาตันสวยสุด

หลังจากจ่ายค่าผ่านประตู เราก็เดินเข้าประตูกันมาเลย






แม่ยังไม่สบายอยู่ แต่ก็ยิ้มสู้ค่ะ





 




หลังจากนั้นเราก็เดินออกมาข้าง ๆ เข้าซอยนี้ (ตามฝรั่งไปอีกเช่นเคย )

พอทะลุมาเราก็เจอแบบนี้





ลากันไปด้วยภาพนี้จ๊ะ

หลังจากนั้นเราก็กลับเข้าที่พัก ที่เดิม แล้วก็ออกกินอาหารเย็นที่ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านเดิม อร่อยแล้วก็ใกล้ดี



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันที่ 5 => 18 พ.ค. (เตรียมตัวกลับ แม่คงอยากจะกลับใจจะขาด อิอิ)

วันสุดท้าย ไม่รีบไม่ร้อน เดินถ่ายรูปเล่นแถวทาเมล เพื่อรอกินอาหารเช้า ร้านรวงก็ยังไม่ค่อยเปิดกัน

ที่พักเราเดินออกมาก็จะเจอร้าน เอเวอร์เรส สเต็คเฮ้าส์ ส่วนตึกส้ม ๆ ก็เป็นที่พักชื่อ ทิเบต เกสเฮ้าส์ ดูแล้วก็น่าพักไม่หยอก


เจอราคารถบัส ไปตามที่ต่าง ๆ

หลังจากเดินเล่นไปมา ร้านอาหารญี่ปุ่นก็เปิด เลยตัดสินใจเข้าไปกินอาหารเช้าที่นี่ (กินจนซี้กับเด็กเสริ์ฟ เลยขอถ่ายเมนูมาลง)

หลังจากอิ่มแล้วก็บอกลาน้อง ๆ ซะหน่อย เผื่อคิดว่ามื้ออื่นจะมากินอีก
ไหน ๆ มาเนปาลแล้ว สินค้าขึ้นชื่อ คือผ้า Pashmina ก็เลยขอแอบดูซะหน่อย

ดูไปดูมา ได้ผ้าพันคอมา 2 ผืน ฝากเพื่อนรักไป 1 ผืน ใช้เอง 1 ผืน ผืนละ NRS600 เป็น Pashmina แท้หรือเปล่าไม่รู้ รู้ว่าชอบ เนื้อผ้าบางแต่พันแล้วอุ่นมาก ๆ


ด้วยความที่เรามีเงินเนปาลเหลือ ก็เลยไปแลกคืนที่เคาเตอร์ก่อนเลย เพราะเอากลับมาไทย คงเน่าคากระเป๋า เพราะแลกที่ไทยไม่ได้

แล้วก็กันเงินส่วนนึงไว้เป็นค่าแท็กซี่ไปสนามบิน ซึ่งเราเหลืออยู่ติดกระเป๋าแค่NRS 225 เท่านั้น แท็กซี่คันแรกเปิดราคามา NRS400
แต่เราได้คันที่ 2 เปิดราคามา NRS300 เราบอกว่าเหลือเงินแค่ NRS225 ไปไหม ฮีไปเราก็ไป

ได้ภาพจากรถแท็กซี่มาเล็กน้อย เป็นถนนหนทางในเนปาล


ขอลาเนปาลด้วยภาพสนามบินตรีภูวัน นะคร๊า (จริง ๆ เค้าห้ามถ่ายค่ะ เพราะพอเราถ่ายเสร็จ เจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่าห้ามถ่ายนะจ๊ะนายจ๋า )

ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเนปาลอีกรอบไหม แต่ถ้ายังไหวคงได้ไปเบสแคมป์บ้างล่ะ Smiley




 

Create Date : 27 กันยายน 2554    
Last Update : 27 เมษายน 2555 15:18:42 น.
Counter : 1643 Pageviews.  

MALAYSIA มาเลเซีย แค่ไปเดินเล่น 23-25 Oct 2010

ทริปนี้ เพราะอดีตคุณแฟน วีซ่าหมดอายุ ต้องออกนอกประเทศ แล้วกลับเข้ามาใหม่ เลยเลือกไปมาเลเซียใกล้ ๆ

BKK-KUL เที่ยวบิน AK739 เวลา 13.10-16.15
KUL-BKK เที่ยวบิน AK738 เวลา 11.30-12.40

เดินทางด้วยแอร์เอเซีย แบบไม่มีโปร แพงอ่ะ Smiley  4,093 บาท

เวลาที่มาเลเซีย เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง

23 ตุลาคม -> China Town

หลังลงเครื่องเราก็ต่อรถ sky bus ประมาณ 1 ชั่วโมง จาก LCCT เข้ามาที่ KL Sentral ชอบบรรยากาศระหว่างนั่งรถบัสเข้ามาจังเลย ต้นไม้เยอะดี

ทริปนี้ เราพักกันที่ Le Meridien (ใช้ไมล์การบินไทย แลก 2 คืน) ซึ่งอยู่ตรง KL Sentral พอดี ใกล้ทั้งรถ sky bus และรถไฟฟ้า สะดวกมาก ๆ

ชอบห้องพักที่นี่มาก ๆ Smiley เตียงนุ่ม ๆ แต่ไม่ยวบนะ

หัวเตียงมีไฟส่องอ่านหนังสือด้วย

ชอบหน้าต่างแบบนี้มาก ๆ สามารถขึ้นไปนั่งริมหน้าต่าง แล้วจิบกาแฟแก้วโปรด ชมวิว Smiley

มีกาแฟสดให้ด้วย หอม อร่อยม๊าก

อุปกรณ์ครบครัน

มาดูอุปกรณ์ในห้องน้ำกันบ้าง

วิวจากห้องพักบ้าง

เริ่มหิว ไปตะลุยหามื้อเย็น ที่ไชน่าทาวน์ดีกว่า

จาก KL Sentral เราไปสายสีเขียว Putra line ลงที Pasar Seni

 

ขึ้นรถไฟฟ้าไปกันเลย

ถึงแล้ว ไชน่าทาวน์ คนเยอะมาก ๆ

เดินมาโซนร้านอาหารบ้างดีกว่า หิว ๆ Smiley

กินร้านแหละ อยากกิน บัคกุดเต่ Smiley

หน้าตาบัคกุดเต่ กับผัดผักคะน้า อร่อยมาก ๆ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

24 ตุลาคม -> IKEA, ห้าง Pavilion, ตึกแฝด

วันนี้ตั้งใจไป IKEA หาซื้อของนิดหน่อย

จาก KL Sentral เราไปสายสีเขียว Putra line ลงที่ Kelana Jaya แล้วก็ไปต่อ Shuttle bus ฟรีของ Ikea ขากลับก็ขึ้นรถของเขากลับมาสถานีเดิม

เริ่มมื้อสายด้วยติ่มซำ แถวสถานี Kelana Jaya อร่อยดี

หลังจากเดิน IKEA ได้ของติดไม้ติดมือกลับมา ก็เริ่มหิว

เนื่องจากอดีตคุณแฟน ชอบกินข้าวมันไก่มาก เราเลยไปร้านข้าวมันไก่ชื่อดัง นั่งรถไฟฟ้าไปลง สถานี Taman Jaya

แล้วก็ต่อแท็กซี่ไปอีก ไกลเหมือนกัน ค่าแท็กซี่ไปกลับ แพงกว่าค่าข้าวอีก  Smiley 

แต่ก็อร่อยดี ร้านนี้เลย IPOH Chicken Rice

หน้าตาอาหาร

หน้าตาไก่บ้านเขา

อิ่มท้องแล้ว ก็ขอไปชอปปิ้งบ้าง ห้าง PAVILION ต่อ โดยนั่งรถไฟไปลง Dang Wangi ซึ่งเป็นสถานีเชื่อม Monorail  ที่ Bukit Nanas เพื่อไปลง Bukit Bintang

ห้างใหญ่มาก คนเยอะ ฝนตกด้วย

เดินเล่นในห้าง พร้อมหาของว่าง และไอศครีมกิน

แล้วก็ไป ดูตึกแฝด (Petronas)  โดยนั่ง Monorail กลับมาขึ้นรถไฟฟ้าไปลงสถานี KLCC

ตึกแฝด จะมีห้าง Suria KLCC ด้วย เราไปถึงดึกแล้ว เลยไม่ได้เดิน

ถ่ายรูปสักพัก เหนื่อยกลับโรงแรมดีกว่า ระหว่างทางเดินกลับเริ่มหิว เจอร้านอาหารอินเดีย อดีตคุณแฟนอยากลองทาน จัดไป อืม อร่อยดี

 

 

25 ตุลาคม -> กลับแล้วจ้า ไว้จะมาใหม่นะ

 




 

Create Date : 27 กันยายน 2554    
Last Update : 27 เมษายน 2555 15:19:34 น.
Counter : 647 Pageviews.  

SINGAPORE สิงค์โปร์รอบ2 ประเดิมUniversal 14-17 Apr 2010

ทริปนี้โชคดีจองตั๋วโปรแอร์เอเซียไว้ จังหวะที่ไป Universal พึ่งเปิดใหม่ ๆ พอดี ได้ไปประเดิมซะเลย Smiley

BKK-SIN เที่ยวบิน FD3503 เวลา 10.40-14.05
SIN-BKK เที่ยวบิน FD3504 เวลา 14.40-16.05

วันแรก 14 เม.ย. --> Chinatown, Clark Quay

เริ่มจากภาพในสนามบินสุวรรณภูมิก่อนเลย เตรียมตัวเดินทาง

หลังลงเครื่องก็เรียกแท็กซี่ไปโรงแรม สมาชิก 4 คน นั่งแท็กซี่ดูจะคุ้มกว่า ชอบถนน ที่ต้นไม้เยอะ ๆ แบบนี้จัง

ทริปนี้เราพักกันที่ Fragrance Hotel-Emerald ตั้งอยู่ในย่าน Gaylang Lorong 6 หรือซอย 6 นั่นเอง ซึ่งทำเลใกล้ป้ายรถเมล์มาก ๆ สามารถนั่งรถเมล์ไปประมาณ 4-5 ป้าย เพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี Lavender โดยสังเกตุฝั่งซ้ายมือ ถ้าเห็นวัดออกแนวแขก ๆ ก็เตรียมตัวลงป้ายนั้นเลย

ป้ายรถเมล์กับช่างภาพหนุ่มของเรา Smiley เทห์ซะ ขอติดสอยห้อยตามมาด้วย ซื้อตั๋วทีหลังพวกเรา ได้โปรถูกกว่าอีก Smiley หมั่นไส้

เก็บของเสร็จก็ไปไชน่าทาวน์ก่อนเลย โดยขึ้นรถเมล์สาย 2 ไปต่อรถไฟฟ้าที่ ->EW11 Lavender เปลี่ยนสถานีที่ ->EW16/NE3 Qutram Park แล้วลง->NE4 Chinatown

เจอผนังสวย ๆ ในรถไฟฟ้า ถ่ายซะหน่อย

 

 

ถึงแล้ว ไชน่าทาวน์

อ๊ะ ๆ อย่าเข้าใจผิด เพื่อนกันนะจ๊ะ Smiley แบบว่าสนิทกันอ่ะ จัดไปอีกสักรูป

เดินมาเรื่อย ๆ จะเจอวัดนี้ วัดพระทันตธาตุ แต่เราใส่กระโปรงสั้นมาเลยเข้าไม่ได้ Smiley (แต่คราวหน้าที่เรามากับแม่ ก็พาแม่มาวัดนี้ ข้างในมีหลายชั้น สวยมาก)

ระหว่างนั่งรอเพื่อน ๆ อยู่ด้านนอก ก็เจอเทคนิคการตากผ้าของชาวสิงคโปร์ Smiley คือการใช้ไม้เสียบเสื้อผ้า ยื่นออกมาจากห้อง

 เริ่มหิว เดินไปกินติ่มซำ TAKPO ดีกว่า อร่อยดี จนลืมถ่ายรูป

พอรองท้องได้สักพัก เราก็ไปต่อกันที่ CLARKE QUAY โดยนั่งรถไฟไป 1 สถานี ลง NE5 Clarke Quay กันเลย

ร้านนี้ เก๋อ่ะ เอารถเข็นพยาบาลมาทำเป็นที่นั่ง

ระหว่างทางเดินกลับ เจอฝรั่งเครื่องเล่นนี้ หวาดเสียวแทนฝรั่ง พวกเราเลยช่วยกันกรี๊ด Smiley

หลังจากนั้นก็กลับโรงแรม โดยนั่งรถไป เปลี่ยนสถานีที่ ->EW16/NE3 Qutram Park แล้วลง->EW9 Aljunied ต่อรถเมล์ -> สาย62,63,80,100,158 ไปลง Lorong 8 โดยเมื่อรถเมล์เลี้ยวขวา ป้ายแรกไม่ลงให้ลงป้ายถัดไป

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันที่  15 เม.ย. --> Universel studio , VIVO City

ทริปนี้ตั้งใจมา ยูนิเวอร์แซล เลย พึ่งเปิดด้วย เริ่มมื้อเช้าด้วยร้านติ่มซำ ใกล้ ๆ ปากซอย จากนั้นก็นั่งรถไฟไปลง NE1 Harbour front กะว่าจะต่อ Cable car ไป Sentosa ซะหน่อย ปรากฎว่า ปิดซ่อม Smiley 

ก็เลยนั่ง โมโนเรล ไปแทน 

ถึงแล้ว ค่าตั๋วคนละ 66 SGD ได้คูปองอาหารกับคูปองซื้อของที่ระลึก แต่จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่ แต่หลาย ๆ โซน ยังไม่เปิดให้เล่น

วันนี้เรามีแขกรับเชิญมาด้วย คือเจ้านายเพื่อน เป็นคนสิงคโปร์ ขอตามมาเที่ยวด้วย Smiley คนนี้ไง

เจอกังฟูแพนด้า กับแก๊งค์เด็ก ๆ ก่อนเลย เอ้าใครอยากถ่ายรูปต่อคิวเลย

 วันนี้แดดแรงมาก ๆ คนก็เยอะ

นี่เลยรถไฟเหาะรางคู่ ที่เขาว่าสูงที่สุดในโลก แต่ตอนนี้ยังไม่เปิด ถึงเปิดก็ไม่กล้าเล่นอ่ะ กลัว Smiley

มาเล่นเจ้านี่ก่อนเลย 4D Shrek ชอบนะ

ดูช่างภาพของเรา นี่ถ้ายังไม่มีแฟน นึกว่า Smiley

มาโซน Jurassic Park กันบ้าง รอต่อคิวเครื่องเล่น นานมาก ร้อนด้วย

จากนั้นไปโซน Water World ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ปรากฎว่าเครื่องเล่นปิดซ่อม อด Smiley 

ใกล้เที่ยงแล้วไปกินข้าวก่อนดีกว่า เพราะคนเยอะ เด่วต้องแย่งกัน ปรากฎว่าคนเยอะมาก ๆ

ระหว่างจองโต๊ะ เพื่อผลัดกันไปซื้อข้าว ก็ถ่ายรูปเล่นซะหน่อย

หลังจากอิ่มแล้ว ก็เดินกันต่อไป เจอโซนมัมมี่ ชอบเครื่องเล่นที่นี่มากเลย เลยจัดไป 2 รอบ แต่ละรอบออกมาพอมาดูรูปถ่าย ไมรูปฉันทุเรศ ทุเร๊ศ กำลังแหกปากกรี๊ดเลย Smiley

ก่อนจะเล่นเครื่องเล่นที่นี่ ต้องฝากกระเป๋าและของทุกอย่างไว้ที่ล็อคเกอร์ก่อน เพราะแรงเหวี่ยงเครื่องเล่นนี้แรงมาก ๆ คล้าย ๆ กับรถไฟเหาะเหมือนกัน ล็อคเกอร์จะเป็นแบบอัตโนมัติ เก๋อ่ะ

 

มีร้านขายของที่ระลึกด้วย อยากอยู่นาน ๆ เพราะเย็น Smiley

เครื่องเล่นโซนไหนหว่า จำไม่ได้แล้ว แต่คนต่อคิวเยอะมาก

ต่อไปเป็นโซน Madagasca

น่ารักมาก ๆ อ่ะ สีสันสดใส จัดไปอีกสักรูป

เขากำลังเต้นกันอยู่ เลยขอถ่ายกันมาสักรูป

รถไฟรางคู่ ยังไม่เปิดนะ

เดินมาโซน Sci Fi City บ้าง

เดินมาเรื่อย ๆ จากเจอโซนนี้ ชอบมาก ๆ สวยและน่าเดินจริง ๆ

เดินมาเจอเจ้าหญิงลีโอน่า ออกมาโชว์ตัวพอดี เลยเข้าคิวถ่ายรูปซะหน่อย

หลังจากเดินวนกันจนครบ Smiley ก็เล่นเอาเหนื่อยและร้อนเหมือนกัน เลยไปชอปปิ้งต่อที่ Vivo City สอยรองเท้า C&K มา 2 คู่ เพราะถูกกว่าในเมืองไทย และก็ใส่สบาย ถูกใจด้วย ไปทีไรหิ้วกลับมา 2-3 คู่ทุกครั้ง

ชอปเสร็จ เจ้านายเพื่อน พาไปเลี้ยงโจ๊กกบ แถว ๆ ที่พักของเรานั่นเอง อร่อยมาก ๆ ชอบ ๆ อ่ะ Smiley 

  ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันที่ 16 เม.ย. --> Maxwell (Red dot, Tian Tian Chicken rice) , Merlion, Esplanade, Bugis

วันนี้ตั้งใจจะมากินข้าวมันไก่ชื่อดัง หลังจากที่เคยมากินเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เจ้านายเพื่อนเป็นคนสิงคโปร์แท้ ๆ แต่ไม่เคยมากินร้านนี้เลย ดังนั้นเราเลยนัดกันที่ศูนย์อาหาร Maxwell 

เพราะมาก่อนเวลานัด ถ่ายรูปเล่นฆ่าเวลา ระหว่างทางที่เดินไป

ลองเดินเข้ามาดูข้างในสวยดี ถ่ายรูปคู่กันซะหน่อย We are close friend. นะจ๊ะ โปรดอย่าเข้าใจฉันผิด Smiley

ถึงแล้วศูนย์อาหาร Maxwell คนยังไม่เยอะเท่าไหร่

หน้าตา ร้านข้าวมันไก่ เทียน เทียน ถ้ามาเที่ยงคนจะต่อคิวยาวมาก ๆ 

หลังจากกินเสร็จ เราก็ตั้งใจจะไปเมอร์ไลออน เอสพลานาด ต่อ ปรากฎว่าคนสิงคโปร์พาหลง Smiley อิอิ กำลังโทรถามทางอยู่ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว

 

เจอร้านซ่อมรองเท้าข้างทางในสิงคโปร์ด้วย ไม่น่าเชื่อ

เจ้านาย ลูกน้อง น่าตาเหมือนกันเลย

หลังจากเดินหอบมาพักใหญ่ก็เห็นเงาลาง ๆ แล้ว

ถึงแล้ว Smiley ขอแชะรูปเป็นที่ระลึก หลาย ๆ แชะ ให้สมกับความเหนื่อย

 

หลังจากรัวถ่ายรูปที่นี่ จนเหงื่อตก ก็มันร้อนมาก ๆ เราก็แยกกับเจ้านายเพื่อนตรงนี้ และขอไปห้างเอาแอร์ และหาของกินสักหน่อย

ร้านนี้เลย Ya Kun Kaya Toast แต่เราว่า Toast Box อร่อยกว่า

หลังจากนั้นก็ไป Bugis ชอปปิ้งของที่ระลึกกันต่อ คนเยอะมาก ๆ

Smiley เจอร้าน Sex Shop ด้วย แวะเข้าไปดูกันซักหน่อย อย่าให้เสียของ

ได้ของกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ของที่ระลึกนะ ไม่ใช่ของจากร้านข้างบน Smiley)  เราก็กลับไปหาของกินแถวที่พัก มาดูบรรยากาศยามค่ำคืนแถว ๆ ที่พักกันบ้าง

เจอร้านนี้ เพื่อนอยากกินโรตีซะงั้น อ้าวจัดไป ซื้อใส่ถุงไปนั่งกินในร้านบะหมี่อีกร้าน Smiley

กินอิ่ม นอนหลับ พรุ่งนี้เตรียมกลับแล้วจ้า

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันที่ 17 เม.ย. --> กลับแล้วจ้า

ไว้มีโปรเมื่อไหร่ เจอกันอีก กับหางแดงเจ้าเดิม

 

 




 

Create Date : 27 กันยายน 2554    
Last Update : 27 เมษายน 2555 15:21:41 น.
Counter : 1156 Pageviews.  

1  2  

katjang
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




RewriteRule ^category/(.+)$ http://www.yourblog.com/$1 [R=301,L]
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add katjang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.