SHANGHAI-ZHOUZHUANG-HANGZHOU เซี่ยงไฮ้ โจวจวง หังโจว ในวันที่อากาศหนาวและฝนปรอย 14-18 Mar 2012
ทริปนี้ ใช้คะแนนการบินไทย แลกไมล์ไปเซี่ยงไฮ้ เราเลยจ่ายแค่ค่าภาษีและน้ำมันเท่านั้น เป็นเงิน 6,435 บาท ทริปนี้สามาชิกเพียง 3 คน คือ สามี-ภรรยา (เพื่อนอิฉัน) และอิฉันนี่เอง (อิอิ ก้าง) เนื่องจากทริปนี้ ช 1 ญ 2 ทำให้ ตม. ที่โน้นสงสัย นึกว่าพาพวกเรามาหากินที่นั่น กำ แก่ป่านนี้คงทำไม่ได้แล้ว BKK-PUDONG เที่ยวบิน TG662 เวลา 01.10-06.25 PUDONG-BKK เที่ยวบิน TG665 เวลา 17.20-21.15 เวลาที่เซี่ยงไฮ้จะเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ควรพกเครื่องคิดเลขหรือมือถือที่ใช้กดตัวเลขได้ เพราะเวลาไปซื้อของ ถ้าสื่อสารกันไม่ได้ ก็กดตัวเลขเอา อุณหภูมิภายนอก ที่กัปตันประกาศ 9 องศา วันที่ 14 มีค -> Shopping 2 ตลาด (East Nanjing, Fake market at Shanghai Science & Technology Museum) และ The Bund or Waitan หลังจากลงเครื่อง เราก็นั่งรถไฟแม่เหล็กความเร็วสูง หรือ Maglev (แม็คเลฟ) ไปลงที่ Longyang Rd โดยเราซื้อตั๋วแบบไป-กลับ ใช้ได้ภายใน 7 วัน ราคา 80 หยวน ความเร็วประมาณ 300 - 400 กิโลเมตร / ชม. (ขึ้นอยู่กับเวลาและขบวนที่นั่ง ความเร็วจะไม่เท่ากัน) ลงรถแล้วขอถ่ายรูปเล่นกันซะหน่อย จากนั้นก็นั่งรถไฟฟ้าสาย 2 (สีเขียว) มาลงที่สถานี East Nanjing Rd แล้วไปต่อสาย 10 ลงที่ Tiantong Rd ทะลุชอปปิ้งมอลออกมา ข้ามถนนเดินตรงมาเรื่อย ๆ ก็ถึงโรงแรมแล้ว แต่กว่าจะมาถึงเล่นเอาเหนื่อย ตอนซื้อตั๋วรถไฟเนี่ยะแหละ ตอนแรกว่าจะซื้อแบบตั๋วเติมเงิน แต่ตรงเคาเตอร์ขายตั๋วพูดอังกฤษไม่ได้เลยอ่ะ แล้วเราก็เดินมาเจอเจ้าหน้าที่รถไฟ เป็นผู้หญิงใจดีมาก ๆ เราเอาแผนที่ให้ดูว่าจะไปลงสถานีไหน คุณเธอพูดอังกฤษไม่ได้หรอก แต่น่ารักสุด ๆพยายามสื่อสารกับเรา สุดท้ายหล่อนก็สอนเราซื้อตั๋วรถไฟจากตู้อัตโนมัติ โชคดีที่ตอนนี้ตู้ขายตั๋วมีภาษาอังกฤษให้เลือกแล้ว เย้ ๆ แค่เพียงเรารู้ว่าจะไปลงสถานีไหน ก็ซื้อตั๋วได้ง่ายนิดเดียว ค่าตั๋วรถไฟที่นี่ถูกมากเลย ซื้อทีไรเริ่มต้น 3 หยวนตลอด เคยนั่งไกลสุด ก็แค่ 4 หยวนเอง นั่งซะคุ้มเลย อิอิ ขอแปะภาพแผนที่รถไฟฟ้าที่ copy มาจากคุณAnti_shake นะค่ะ มีประโยชน์มาก ๆ อ๋อ อีกอย่าง ที่นี่มีเครื่องสแกนก่อนเข้าสถานี ทุกสถานีเลย กระเป๋าอย่างหนัก ยกเข้าเครื่องสแกนมันทุกรอบ กลับมาอิฉันคงกล้ามขึ้นแน่ ๆ โรงแรมที่เราพัก New Asia Hotel เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว ราคาไม่แพง ประมาณ 1,450 บาท / คืน เราว่าใช้ได้เลยล่ะ (ดูรีวิวโรงแรมด้านล่างนะ) ระหว่างรอเช็คอิน เราก็มาถ่ายรูปเล่นกันสักหน่อย หลังจากเก็บของเข้าที่พัก ก็หาอาหารมื้อเช้าก่อนเลย เจอร้านนี้ ลองชิมดูหน่อยซิ ภาษาอังกฤษไม่มีเลย คนขายพูดได้แต่จีน งั้นดูรูปเอาละกัน สั่งไปมั่ว ๆ ได้มาแบบนี้ ไม่อร่อยเลยอ่ะ ไม่เป็นไรแก้ตัวมื้อหน้าต่อไป ลงสถานี East Nanjin Road ไปเดินเล่นกันก่อน เช้า ๆ แบบนี้คนไม่ค่อยเยอะ เดินสบาย ๆ หน่อย เจอชานมร้านนี้ หอม อร่อยดี เป็นถนนสายชอปปิ้งที่ยาวดี เดินเมื่อยอ่ะ ขอบอก แต่ก็มีเหมือนรถรางให้บริการ คนละ 2 หรือ 3 หยวน แต่เราไม่ได้นั่ง เดินมากก็หิวอีกแล้ว ขอกินกลางวันอีกรอบละกัน มาเข้าร้านนี้บ้าง South Beauty อืมอร่อยดีแต่แพงโคตร แหมก็ร้านคุณเธอซะหรูอ่ะนะ ภาพเพื่อนร่วมทริป (คู่สามี-ภรรยา) อิฉันเหมือนเป็นส่วนเกิน หุหุ แต่อย่าได้แคร์ เนื่องจากเพื่อนที่ไปด้วย เสื้อหนาวเอาไม่อยู่ ส่วนเรารองเท้ากัด อาจจะเดินไม่ไหว เราเลยตกลงกันว่าไปชอปปิ้งก่อนที่จะหนาวตาย และเท้าอิฉันตายด้าน ไปตลาดก็อปปี้ดีกว่า เพราะคิดว่าใช้แค่กันหนาวไม่กี่วัน ลงสถานี Shanghai Science & Technology Museum แล้วก็ชอปกันให้สนุกไปเลย ถ้าคุณคิดว่าคุณซื้อของที่นี่ได้ในราคาที่ถูกแล้ว คุณอาจจะเดินไปตลาดอื่น ได้ของที่ถูกกว่า ในแบบและคุณภาพเหมือนกัน ขอให้ทำใจไว้ เพราะที่นี่คือเมืองจีน (ไม่โดนฟันมาไม่ถึง ) ที่นี่เราซื้อเลคกิ้งกันหนาว ราคาเปิดมา 80 หยวน ต่อได้ 30 หยวน พรุ่งนี้เช้าเดินตลาดแถวที่พัก แม่ค้าติดป้ายไว้ 9 หยวน กำ แบบเดียวกันเด๊ะ ฮากระจายกัน 3 คน แม่ค้า งง ขำไรกันฟระ ว่าแล้วก็ซื้ออีกคู่ เจ็บใจ เรากับเพื่อนได้รองเท้ากันคนละคู่ ต่อแล้วเหลือคู่ละ 120 หยวน ไปอีกตลาดติดป้าย 100 หยวน ได้แต่ปลอบใจกันว่า ของเราพื้นรองเท้าดีกว่า ส่วนเพื่อนก็ได้เสื้อขนเป็ดตัวยาวสมใจ ในราคา 500 หยวน (ต่อสุดชีวิตแล้ว) หลังจากเดินมาหลาย ๆ ตลาด ขอบอกว่าตลาดนี้แพงสุดเลย อาจเพราะเป็นตลาดที่นักท่องเที่ยวนิยมเดิน แม่ค้าเลยตั้งราคาได้สูง จริง ๆ ตลาดที่อยู่แถวที่พักเราตรงสถานี Tiantong Rd ถือว่าราคาถูกมาก ๆ เพราะวันกลับพวกเรามาชอปทีนี่ ได้ของหลายอย่างมาก ๆ แล้วราคาเปิดมาก็ไม่แพง แบบไม่ต้องต่อเลยก็ได้ แต่คิดว่าน่าจะขายเฉพาะวันหยุด ชอปปิ้งเสร็จ กลับโรงแรมไปนอนเอาแรงสัก 1 ชม. ก่อน แล้วค่อยออกมาหาอาหารเย็น เดินมาเจอร้านนี้ลองชิมซะหน่อย อืม อร่อยอ่ะ แต่ลืมถ่ายรูปอาหารมา สงสัยหิวจนหน้ามืด อิ่มแล้วก็เดินเล่นชิว ๆ ซะหน่อย เจอตลาดกลางคืนขายผลไม้ และขายของข้างถนนเหมือนคลองถมบ้านเราเลย ของถูกมาก ๆ เจอมะม่วงลูกเล็ก ๆ อยากชิมนะ แต่ไม่มีมีด จะปอกลำบากอ่ะ เลยต้องบาย แล้วก็เดินทะลุไป The Bund หรือหาดไว่ทาน ดีกว่า ตอนเช้า 9'c แล้วกลางคืนมันจะเหลือเท่าไหร่เนี่ยะ ขอบอกว่าลมแรงมาก ๆ มันก็ยิ่งทำให้หนาวขึ้นไปอีก มือกับหน้าชาไปเลย คนเยอะมาก ๆ กรุ๊ปทัวร์ก็เยอะ เดินสักพัก ทั้งหนาว ทั้งง่วง กลับโรงแรมดีกว่า เพราะอดนอนมา 2 คืนแล้ว และพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปโจวจวงอีก เอาภาพรีวิวโรงแรม มาให้ดูนะ โรงแรมใช้ได้ อุปกรณ์ครบ ไวไฟไม่ฟรี แต่โชคดีเสิร์ชเจอไวไฟฟรีได้ อิอิ เลยเปิด Skype โทรกลับไทยซะเลย คุ้ม ๆ ไม่ต้องใช้โรมมิ่ง ส่วนปลั๊กไฟ เขาทำไว้ 2 แบบเลย สำหรับคนท้องถิ่นกับคนต่างชาติ สะดวกดี มีฮีตเตอร์ด้วย สังเกตุว่าโรงแรมจีน จะไม่มีกาแฟ มีแต่ชาเท่านั้น และจะไม่มีน้ำดื่มให้ด้วย แต่โรงแรมนี้มีหัวก๊อกน้ำดื่มด้วย อยู่ตรงกลางระหว่างน้ำร้อนและเย็น เก๋จริง ๆ แต่น้ำดื่มขวดที่จีนก็ไม่แพง ถ้าน้ำธรรมดา ประมาณ 1-2 หยวน แต่ถ้าน้ำแร่ก็จะ 5 หยวน หาซื้อได้ที่ Family mart ทั่วไป อ๋อ ถุงพลาสติคถ้าจะเอาต้องซื้อนะ เหมือนฮ่องกง +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ วันที่ 15 มีค -> Zhouzhuang (โจวจวง หรือหมู่บ้านน้ำ) เริ่มต้นเช้าวันใหม่ ด้วยอาหารจากฟู้ดคอร์ดเล็ก ๆ แถวที่พัก อาหารจืดสนิท ไม่อร่อยเลย โจ๊ก บะจ่าง และเกี๋ยว วันนี้เราจะไปทัวร์หมู่บ้านน้ำกัน ต้องไปซื้อ One day tour ที่ สนามกีฬาเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stadium) โดยนั่งรถไฟใต้ดินสาย 1 ลงที่ Shanghai Indoor Stadium แล้วเดินไป Shanghai Stadium ...แต่ไกลนิดนึง หรือ สาย 4 ลง Shanghai Stadium เลย ใกล้นิดเดียว แล้วเดินไปใต้บันไดหมายเลข 5 Gate 12 (แอบ copy วิธีเดินทางจากบล็อคคุณ L@st love มา) ตอนเช้าหน้ายังผ่องกันอยู่ ถึงแล้วสนามกีฬาเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stadium) เมื่อวานฟ้ายังใสอยู่เลย ทำไมวันนี้เริ่มครื้ม ๆ แล้วล่ะ ค่าทัวร์ไปโจวจวง 150 หยวน รวมค่ารถบัสไป-กลับ,ค่าผ่านประตู และค่านั่งเรือ (เป็นเรือใหญ่ ไม่ใช่เรือเล็กในโจวจวงนะ แต่พวกเราไม่ได้นั่ง เพราะฝนตก เลยไม่อยากเดินไปขึ้นเรือ มันไกลอ่ะ) เจ้าหน้าที่ขายตั๋วที่สถานี ใจดีมาก รู้ว่าเราเป็นคนต่างชาติ ก็ให้แผนที่ พร้อมชี้บอกด้วยว่านั่งเรือตรงไหน ขากลับต้องมาขึ้นตรงไหน หน้าตาบัตรที่เราไปซื้อ เบอร์ 27 คือที่นั่งขาไป ส่วนเบอร์ 25 คือที่นั่งขากลับ ตอนแรกพวกเราไม่รู้ (ก็อ่านภาษาจีนไม่ออกอ่ะ) ก็นึกว่านั่งตรงไหนก็ได้ สุดท้ายแก๊งค์เจ้าของที่มาไล่ที่ ถึงรู้ว่าต้องนั่งตามเบอร์ อายจัง แต่ก็ดีนะ เขาไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็บอกให้เรารู้ว่าเราต้องนั่งตรงไหน ส่วนเวลา 16.00 คือเวลาขึ้นรถขากลับ ห้ามสายนะจ๊ะ ขากลับก็ต้องไปเจอกันอีกที่หนึ่งด้วย ไม่ใช่ตรงที่ลงรถขามา
รถบัสที่เรานั่งไปจะเป็นลักษณะแบบนี้ น่าจะประมาณ 30 ที่นั่ง ภาพนี้ก่อนโดนไล่ที่นะฮ๊า จากด้านหน้าโดนไล่ไปนั่งด้านหลัง นั่งไปสักพัก คนรถก็จอดรถ หลายคนลง เราก็นึกว่าถึงกันแล้ว ปรากฎว่าของพวกเราต้องนั่งไปอีก เพราะฉะนั้น ก่อนขึ้น-ลงรถ ควรโชว์บัตรให้คนขับรถดูสักนิดก่อนก็ดีนะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะเศร้าได้ ก่อนลงเราก็ถามย้ำกับคนขับรถอีกรอบ ว่าจะต้องไปขึ้นรถกลับตรงไหน คนอื่นพอลงรถปุ๊บ ไปเที่ยวทันที แต่พวกเราหาของกินก่อนเลย หิวอ่ะ กองทัพเดินด้วยท้อง อาหารเลื่องชื่อของโจวจวงคือ ขาหมู ที่ชื่อว่า ว่านซานถี เพราะงั้นเราต้องไปชิม สั่งมาเลยขาหมู ผัดผัก ปลานึ่ง (ปลาไรไม่รู้ ก้างเยอะฉิบเป๋ง เหมือนปลาตะเพียนเลย) ส่วนสตอเบอรี่ซื้อจากร้านข้างทางมากิน อร่อยมาก ๆ อ่ะ หวานดี โลละ 40 หยวน (เขาบอกราคามา 20 หยวน ต่อ 1 เราก็นึกว่า 1 กิโล แต่จริง ๆ 1 คือ ครึ่งกิโล) ร้านนี้มีห้องส่วนตัว แยกเป็นห้อง ๆ พร้อมมีฮีตเตอร์ในห้องด้วย ดีจัง อุ่น ๆ กินเสร็จ ออกมาฝนตก ต้องซื้อร่มกันคนละอัน แต่ไม่แพง 10 หยวน โจวจวงเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งได้รับฉายาว่า ยอดหมู่บ้านกลางน้ำแห่งเจียงหนาน มีพื้นที่ครอบคลุมเพียง 0.4 ตารางกิโลเมตร เสน่ห์อันบริสุทธิ์ของโจวจวง ที่คงทนอยู่มานานเกือบ 1000 ปี โดยมากกว่าร้อยละ 60 ของบ้านในโจวจวงนั้นสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง และ ราชวงศ์ชิง ซึ่งถูกอนุรักษ์ไว้จวบจนปัจจุบัน พอเข้าไปแล้วเหมือนหลงไปอยู่ในหนังจีนสมัยโบราณเลย สวยดี ถ้าใครสนใจนั่งเรือ ก็จะมีบริการเรือแจวแบบนี้ด้วย คนพายมีร้องเพลงด้วยนะ แต่ฟังไม่ออก ภายในหมู่บ้าน ก็จะมีร้านอาหารเยอะมาก ๆ ไม่รู้ว่าราคาแพงกว่าข้างนอกไหม แต่เรากินกันเรียบร้อยก่อนเข้ามาแล้ว เดินมาเจอกาแฟร้านนี้ illy ก็เสร็จเราอีกเช่นเคย เจอร้านขายเสื้อผ้าฝ้าย คนขายกำลังปั่นฝ้าย กับทอผ้าอยู่ เดินมาเรื่อย ๆ เจอนกจับปลา เคยได้ยินว่าเขาเลี้ยงนกพวกนี้ไว้เพื่อช่วยจับปลา โดยเมื่อนกได้ปลามาแล้ว เขาก็จะเอาปลาออกมาจากปากนก เดินมาเรื่อย ๆ ก็เจอทางเข้าวัดนี้ ซึ่งเราถ้านั่งเรือใหญ่มา ก็จะมาลงที่บริเวณวัดนี้ เดินแถววัดนี้ ลมแรงมาก ๆ หนาวเลยอ่ะ ขากลับ ก็นั่งรถบัสคันเดิมเข้าเซี่ยงไฮ้ รถติดมาก ๆ ยิ่งกว่ากรุงเทพอีก หิว ๆ เลยนั่งรถไปลง People's Square เดินหาของกิน ฝนก็ตกปรอย ๆ กินเสร็จ กลับโรงแรมนอน ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ วันที่ 16 มีค -> Hangzhou, ทะเลสาบซีหู, ถนนคนเดิน (หังโจว เมืองโรแมนติค) เช้านี้ขอลองชิมโจ๊ก KFC ใกล้ ๆ โรงแรมบ้าง อืม อร่อยดี น้ำเต้าหู้ก็หอมดี มีปาท่องโก๋ด้วย ใช้ได้เลย โชคดีหลังกินข้าวเช้าเสร็จ ฝนหยุดตก เราเลยจัดการแพ็คกระเป๋า ออกเดินทางเพื่อไปหังโจว โดยนั่งรถไฟสาย 10 จาก Tiantong Rd. นั่งยาวไปลง Hongqiao Railway Station เลย ค่ารถแค่ 4 หยวนเอง คุ้ม จริง ๆ แต่ตอนขึ้นรถไฟต้องสังเกตุไฟนะว่าไป Hongqiao railway station หรือเปล่า เพราะสาย 10 ช่วงปลายสายจะมีแยกไป 2 ทาง (กลับไปดูแผนที่ด้านบนได้) ถึงที่ขายตั๋วแล้ว แต่.... ภาษาจีนล้วน ทั้งตาราง ทั้งเจ้าหน้าที่ เลยต้องรีบถอยกรูออกมาตั้งหลัก และมองหาเหยื่อ ที่พูดอังกฤษได้ เจอแล้วคนจีนมากับแขกต่างชาติ เลยให้พี่ในทริปเนียนไปต่อหลังเขา พร้อมถามทางและวานให้เขาช่วยซื้อตั๋วให้ เย้ สำเร็จ ได้ตั๋วมาแล้ว 76 หยวน ที่นี้แหละ ต้องไปขึ้นรถประตูไหนหว่า คุณพี่ก็ใจดี แนะนำทางขึ้นประตูให้เราด้วย ว่าอยู่ชั้น 2 ประตู 9 เลขที่นั่ง 08F ขบวน G61 เวลา 10.55 น. น่ารักที่ซู้ดดดดดดดดด ขึ้นมาชั้น 2 แล้ว ก่อนเข้าเกจ มีสแกนกระเป๋าด้วย ภายในกว้างขวาง จนนึกว่านั่งอยู่สนามบิน พอใกล้เวลาก็จะเข้าประตู แล้วลงไปรอรถไฟด้านล่าง เห็นคนจีนต่อแถวกันเป็นระเบียบเชียว พอขึ้นรถไฟปุ๊บ ก็หาที่นั่งตามเบอร์ที่ระบุ และมองหาที่วางกระเป๋า กำ ไม่มีที่วางกระเป๋าด้านล่างเหมือน รถไฟ Maglev กระเป๋าแต่ละคนน้ำหนักไม่ใช่น้อย ๆ ตรูจะยกขึ้นไปวางข้างบนยังไงฟระ โชคดีเรามีเฮอคิวลิส (แฟนเพื่อน) มาด้วย โอ้ว ยกกระเป๋า 3 ใบลอยละลิ่ว ขึ้นไปอย่างง่ายดาย จนคนจีนมองตาค้าง รถไฟขบวนนี้ทำความเร็วได้ดีทีเดียว อยากให้เมืองไทยมีแบบนี้บ้างจัง ห้องน้ำก็หรูนะ เหมือนบนเครื่องบินเลย มีพนักงานเข็นรถขายน้ำด้วย นึกว่านั่งแอร์เอเซีย หน้าตารถไฟหัวกระสุน น่านั่งอ๊ะ พอลงจากรถไฟที่ Hanaghou Station เราก็ลากกระเป๋าเดินออกมาข้ามถนน เพื่อจะมาโรงแรม เห็นกำลังก่อสร้างรถไฟฟ้ากันอยู่เลย ดีจัง มาคราวหน้าจะได้นั่งรถไฟฟ้าแล้ว คงสะดวกและง่ายกว่านี้ ระหว่างทางที่มา หิวอ่ะ เจอร้านอาหารเล็ก ๆ ที่เจ้าของร้านพูดอังกฤษไม่ได้เลย โอ้ว ไม่มีแม้กระทั่งเมนู หรือรูปภาพแปะฝาผนังให้ดู แล้วตรูจะสั่งยังไงหว่า แต่ความหิว ไม่อาจทำให้ภาษาเป็นอุปสรรค์กับพวกเราได้ เดินตามโต๊ะดูเลย ว่าเขากินไรกัน อันไหนน่ากิน ชี้เลย โหย อร่อยอ่ะ อร่อยทุกอย่างเลย เช็คบิลออกมาแล้ว ไม่แพงเลยด้วย ร้านนี้เลยคร๊า เจ๊แนะนำ ให้เชล์ชวนชิม โดยเฉพาะผัดเปรี้ยวหวาน อร่อยเหาะสุด ๆ กินไปก็พยายามวิเคราะห์กันว่าทำมาจากเนื้ออะไร แต่ช่างมันอร่อยเป็นพอ อิ่มแล้วก็ลากกระเป๋ากันต่ออีกนิด ถึงแล้ว โรงแรม Green Tea Inn คืนละ 1,620 บาท (ดูรีวิวท้ายวันนะ) เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปทะเลสาบซีหูก่อนเลย ก่อนที่จะมืด จากที่พักเดินไปได้ ระยะทางพอสมควร ทะเลสาบสวยมาก ๆ แต่ถ่ายภาพออกมาไม่สวยเท่าตาเห็นเลย วันนี้ฝนไม่ตก แต่แดดไม่มี ท้องฟ้าครื้ม ๆ เป็นหมอก ๆ ภาพที่ได้มาเลยไม่ค่อยแจ๋มเท่าไหร่ ต้นไม้ก็เหลือแต่กิ่ง เห็นเงาราง ๆ ของเจดีย์ 8 เหลี่ยม ที่เขาว่า เป็นที่ขังนางพญางูขาว ถุงมือใหญ่มาก ๆ จิกมาจากเพื่อนมาใส่ ของตัวเองไม่ได้หยิบมาจากโรงแรม นึกว่าไม่ค่อยหนาว ปรากฎว่าหนาวอ่ะ หลังจากเดินไปได้สักพัก สังเกตุเห็นมีรถวิ่งรอบทะเลสาบ ก็ขึ้นตรงที่โบกเลย คนละ 40 หยวน คุ้มจริง ๆ นั่งรอบทะเลสาบ ตอนรถวิ่ง เวลาลมพัดมาที หนาวสะท้านเลยอ่ะ คิดว่ารถแบบนี้ไม่น่าจะ Hop-on and Hop-off ได้ เพราะไม่เห็นมีใครขึ้น ๆ ลง ๆ กันเลย สุดท้ายคนขับก็มาส่งเรา ณ จุดที่เราขึ้นเหมือนเดิม จำได้ด้วย เก่งจัง หรือใครอยากจะนั่งเรือล่องทะเลสาบก็ได้นะ หังโจว ตอนนี้ยังไม่มีรถไฟฟ้า แต่จะมีรถจักรยานของเมืองให้เช่า หลาย ๆ จุด สามารถขี่จักรยานจากจุดนึงแล้วไปทิ้งอีกจุดนึงได้เลย โดยต้องใช้การ์ด เพราะเห็นหนุ่มหน้ามนกำลังเอาการ์ดทาบเพื่อถอยจักรยานออกมาจากที่จอด อาจจะหักเงินตามระยะทางที่ใช้จักรยานนั้น ๆ สะดวกดีจัง ชอบหังโจว บรรยากาศดูสบาย ๆ น่าเดินเล่น ชิว ๆ ผู้คนก็น่ารัก เป็นมิตร หรือเราโชคดีที่เจอแต่คนดี ๆ ที่ช่วยเหลือเรากันตลอดเลย ตั้งแต่ก่อนมาเที่ยวแล้ว จริง ๆ คนจีนที่นิสัยดี มีน้ำใจก็เยอะนะ เพียงแต่ภาพลักษณ์ที่คนทั่วไปมักจะคิด ก็คือคนจีนจะไม่ค่อยมีน้ำใจ ไม่มีระเบียบ ซึ่งตรงนั้นเราก็ต้องยอมรับ เพราะเขาจะแย่งกันขึ้นรถไฟฟ้ามาก แต่พออยู่ไปสักพักก็ชิน ที่เด็ดสุด คือ หนุ่มออฟฟิศ ที่เราเข้าไปถามทาง ตอนไปถนนคนเดินกลางคืน เพื่อจะหา Food Street เขาพูดอังกฤษไม่ได้ แต่พยายามเดินหาคนที่จะช่วยพูดกับเราได้ จนสุดท้ายคงหาใครไมได้ เลยโทรไปหาเพื่อนที่พูดอังกฤษได้ แล้วให้เราคุยกับเพื่อนของเขาทางโทรศัพท์ น่ารักไหมล่ะ สุดยอดเลยอ่ะ ด้วยความที่เราไม่รู้ชื่อเฉพาะของถนนเส้นนั้น ปลายสายก็เลยไม่แน่ใจว่าที่เดียวกันไหม ไม่เป็นไร ด้วยความที่เดินไปถ่ายไป ทำให้ภาพไม่ชัดเท่าไหร่ ถนนสายนี้ค่อนข้างยาวเหมือนกัน เดินเมื่อยอ่ะ แต่ก็เดินได้เรื่อย ๆ เขาทำร้านรวง ดูสวยงามแบบจีน ๆ ดี สองสามี-ภรรยา กำลังปรึกษาไรกันอยู่อ่ะ มีร้านขายชาหลงจิ่งเยอะมาก ๆ เพราะหลงจิ่งเป็นใบชาที่มีชื่อเสียงที่สุดชนิดหนึ่งของจีน กล่าวกันว่า "ดื่มชาหลงจิ่ง เพียง 1 จิบ ปากจะหอมตลอดวัน" ร้านนี้เก๋อ่ะ ทำเป็นเหมือนโรงเตี้ยมโบราณ หลังจากที่พยายามหา ถนนสายอาหารแล้วไม่เจอ เราก็เลยไปกินในร้านอาหารแทน เจอร้านนึงเขียน We have english menu เข้าเลย ลองสั่งปลามากิน ก้างเยอะอีกตามเคย ไมปลาที่จีนมีแต่ก้างเยอะ ๆ ฟระ กินจนหมดลืมถ่ายรูปมา อิอิ แต่หลังจากกินอิ่มแล้ว ก็พึ่งเดินมาเจอ Food Street กำ ไว้พรุ่งนี้มาใหม่ละกัน คืนนี้ขอกลับไปนอนเอาแรงก่อน มาดูรีวิวโรงแรมหน่อยละกันนะ เปิดเข้ามาปุ๊บ ได้กลิ่นบุหรี่ค้างอยู่ในห้องทันที อุปกรณ์ทุกอย่างก็มีครบ ห้องน้ำจะเลือกแบบโชว์หวิวหรือปิดม่านก็ได้นะ แต่ถ้ามาคราวหน้าว่าจะลองไปพัก Ibis ที่อยู่ใกล้ ๆ กันสักหน่อย เพราะมีไวไฟฟรี ถนนเส้นนี้จะมีหลายโรงแรมเลย เพราะใกล้ถนนคนเดิน ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ วันที่ 17 มีค -> Hangzhou, Lingyin Temple เขาเฟยไหล (จริง ๆ ตั้งใจจะไปไร่ชา แต่หาไม่เจอ เลยมาวัดแทน ) เมื่อวานหลังจากติดใจอาหารร้านเจ๊ เช้านี้ก็เลยขอไปอุดหนุนอีกรอบ แต่ต้องผิดหวัง เพราะตอนเช้าเจ๊แกขายเฉพาะซาลาเปา ก็เลยกินกันตายไปก่อน หลังจากนั้นก็เดินไปป้ายรถเมล์ รอขึ้นสายY7 แล้วไปต่อ Y2 บริเวณทะเลสาบซีหู ที่ป้ายรถเมล์จะมีบอร์ดคอยแจ้งว่ารถสายอะไรจะเข้ามา อีกกี่นาทีจะมาถึง จริง ๆ แล้วไปสาย K7 ก็ได้ เพราะเราเห็นสายนี้ก็ไปทะเลสาบซีหูเหมือนกัน รถเมล์ที่นี่ขึ้นหน้า ลงหลัง โดยมีกล่องรับเงินให้หยอดลงไป ไม่มีทอนตังค์นะ ต้องเตรียมให้พอดี เกินคนขับไม่ว่า แต่ถ้าขาดไม่รู้เหมือนกัน ปรากฎว่ารถแน่นมาก จนขึ้นด้านหน้าไม่ได้ ทุกคนเลยวิ่งจะไปขึ้นด้านหลัง คนขับรีบวิ่งลงมา เฮ้ยมาจ่ายตังค์ก่อนแล้วค่อยไปขึ้นด้านหลัง (แปลจากท่าทางคนขับรถเอา) ระหว่างที่นั่งรถ Y2 ก็ชมวิวข้างทาง จะมีไร่ชาด้วย บรรยากาศดีมาก ๆ นั่งไปจนสุดสาย ก็ถึงวัด Lingyin หน้าตารถ Y2 เก๋นะ ที่นั่งก็ยังเป็นไม้ด้วย เหมือนรถโบราณ ลงแล้วก็เดินขึ้นไปเลย เจอเคาเตอร์ขายตั๋วแล้ว จะมีค่าเข้าหุบเขาเฟยไหล 30 หยวน (มั้ง จำไม่ได้) ค่านั่งเคเบิ้ล 40 หยวน (ใครไม่นั่งก็ไม่ต้องซื้อ เพราะขายแยกกัน) แต่ไหน ๆ มาแล้ว ก็จัดเต็ม ส่วนถ้าจะเข้าวัดหลินอิง ก็ต้องซื้อตั๋วต่างหากข้างในอีก 30 หยวน ดูจากในบัตร เหมือนจะมีวัด 2 ที่ (ไม่นับวัดหลินอิงนะ) ว่าแล้วไปนั่งเคเบิ้ลกันก่อนเลย ระหว่างนั่งเคเบิ้ล ก็จะมองลงมาเห็นไร่ชา วันนี้หมอกเยอะมาก ๆ ถ่ายรูปเลยไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ สวยมาก ๆ ถึงวัดแล้ว แต่ไม่รู้วัดอะไร เดินเที่ยวบริเวณรอบ ๆ สักพัก ก็นั่งเคเบิ้ลกลับลงไปข้างล่าง แล้วก็เดินเข้ามาทางวัดนี้ จะมีหินแกะสลัก เป็นองค์พระตามผนังถ้ำ เต็มเลย เจอแล้ว พระสังกระจาย ที่มีรูปอยู่บนหน้าตั๋ว แล้วก็เดินกันต่อไปเรื่อย ๆ วัดที่นี่จะเหมือนวัดทางญี่ปุ่นเลย จริง ๆ แล้วของจีนต้องเป็นต้นฉบับเนอะ เพราะคนญี่ปุ่นก็คือคนที่มาจีนนั่นเอง จากหน้าตั๋วที่เราซื้อบัตรมา จะสังเกตุว่ามี 2 วัด ถึงแล้ววัดแรก ส่วนวัดที่ 2 ไม่ได้ไป เพราะเพื่อนเริ่มออกอาการป่วย เอ๊ะ หรืออ้อนสามี นั่งหายเหนื่อยสักพัก ก็เดินขึ้นไปข้างบนต่อ เจอวัดนี้ ภายในมีองค์พระ คิดว่าเป็นเจ้าแม่กวนอิมพันมือ นะ ระหว่างทางเจอหินในสวน น่ารักดี จากวัดนี้ยังมีทางเดินขึ้นไปข้างบนอีก คิดว่าคงเป็นอีกวัดนึงตามที่อยู่บนหน้าตั๋ว แต่พวกเราไม่ได้เดินขึ้นไป เพราะจะกลับลงมาเข้าวัดหลินอิง ก่อนเข้าวัดหลินอิง ต้องซื้อตั๋วก่อน คนละ 30 หยวน พอเข้าไป ผู้คนมหาศาล ควันธูปตลบอบอวล กลายเป็นหมอกจาง ๆ และควัน เจอซากุระต้นน้อยด้วยอ่ะ ภายในวัด บริเวณกว้างขวางมาก แต่เราเดินกันแต่พอเพียงเท่านั้น เพราะเด่วจะไม่มีตั๋วกลับเซี่ยงไฮ้ ขากลับเราก็เดินลงมาขึ้นรถเมล์ตรงที่เราลงตอนแรก ไปลงแถว ๆ ถนนคนเดิน เพื่อไป Food Street เพราะอยากกิน ไก่ขอทาน ซึ่ง Food Street อยู่ซอยข้าง ๆ ร้านอาหารไทยร้านนี้ ร้านใบโพธิ์ทอง ดูใหญ่โต หรูหราดี ถนนสายอาหารนี้ คนเยอะมาก ๆ เป็นถนนเส้นเล็ก จะมีร้านขายอาหารเต็มสองข้าง ใครอยากกินไร ก็ซื้อมานั่งกินที่โต๊ะตรงกลาง หน้าตาไก่ขอทาน ไก่จะห่อด้วยใบบัว กระดาษแล้วไปหมกโคลน เวลากินจะมีถุงมือพลาสติคใส ๆ มาให้ เอาไว้แกะไก่ จะได้ไม่เลอะมือ เออความคิดดีนะเนี่ยะ หลังจากกินเสร็จ ก็เดินกลับโรงแรม มีรถด้วย เผื่อใครไม่อยากเดิน รุ้สึกจะ 3 หยวน แต่ไม่ได้แอ้มจากพวกเรา กลับโรงแรม แพ็คกระเป๋า ขึ้นแท็กซี่ไป Hanaghou Station ซื้อตั๋ว จากนั้นก็นั่งรถไฟไปลงสถานี People's Square คืนนี้เราพักกันที่ Citadines ราคา 2,500 บาท พร้อมอาหารเช้า (รีวิวด้านล่าง) โรงแรมอยู่ตรงข้าม Marriott หลังจาก Check-in เสร็จ เราก็ไปหาของกินแถว ๆ นั้น เป็นถนนสายอาหารเหมือนกัน คราวนี้เราได้ลองชิม หม้อไฟแบบจีน อร่อยดี ฝนตกเลยไม่ได้เอากล้องไปด้วย จริง ๆ ถนนจากสถานี Peopls's Square เดินตรงไปถนนสายชอปปิ้ง ก็จะเจอสถานี East Nanjing Rd เช่นกัน มาดูรีวิวโรงแรมกันบ้าง โรงแรมที่นี่จะเป็นกึ่ง ๆ Service Apartment เพราะมีส่วนทำครัวด้วย ห้องสวยดี ที่นี่มีกาแฟ กับน้ำให้ 2 ขวด ด้วย มาดูห้องน้ำบ้าง อุปกรณ์ครบ ยกเว้นไม่มีหมวกอาบน้ำ ในห้องพักมีอินเตอร์เน็ตแบบแลนให้ แต่ถ้าจะใช้ไวไฟต้องมาใช้บริเวณลอบบี้ ฟรีจ้า ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ วันที่ 18 มีค -> Yuyuan Garden, Shopping ตื่นแต่เช้ามากินบุฟเฟ่ต์ที่โรงแรม มาก่อนชาติอื่น แต่กลับทีหลัง คนไทยชิว ๆ ไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นก็นั่งรถไฟไปลง Yuyuan Garden เลย จริง ๆ ตั้งใจมาชอปปิ้งมากกว่าจะเข้าสวนอ่ะ ก็เลยไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าไป ชิมปลาหมึกย่างซะหน่อย อ๊า ร้อน เสี่ยวหลงเปาที่นี่ จะมีหลอดเสียบไว้พร้อม เก๋ดีอ่ะ แถวนี้จะมีร้านเสี่ยวหลงเปาร้านนึง คนต่อแถวซื้อยาวมาก ๆ พวกเราเลยขี้เกียจรอ แวะเข้าไปชิมร้านอื่นก็ได้ หลังจากชอปปิ้งที่นี่สักพัก ก็แวะไปชอปปิ้งที่นานจิงต่อ ลากันไปด้วยรูปนี้ สรุปค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ จ้า
Create Date : 13 มีนาคม 2555 | | |
Last Update : 14 พฤษภาคม 2555 10:00:17 น. |
Counter : 5514 Pageviews. |
| |
|
|
|