Group Blog
 
 
ตุลาคม 2557
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
23 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 
แผนร้าย อุบายรัก - 6 - หวั่นไหว




มาธวีเดินสำรวจดูความเรียบร้อยของสถานที่ไปรอบบริเวณห้องจัดเลี้ยงภายในเรือสำราญลำใหญ่ โดยมีอนุชาซึ่งเป็นหัวหน้าทีมจัดสถานที่ของบริษัทตามติด คอยอธิบายและตอบข้อสงสัยของหญิงสาวไปด้วย

“ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมคุณน้ำหวานก็บอกมาได้เลยนะครับ ผมจะรีบจัดการให้ก่อนจะถึงงานเลี้ยงคืนพรุ่งนี้”

อนุชาแอบชื่นชมมาธวีมานานแล้ว แต่ก็รู้ดีว่าเธอเป็นเหมือนดอกฟ้าที่เขาไม่อาจเอื้อมมือคว้าลงมาประดับใจได้ แต่ขอแค่ให้เขาได้มีโอกาสใกล้ชิดและชื่นชมเธอบ้าง แม้จะเป็นเรื่องงานก็ทำให้เขารู้สึกดีใจมากแล้ว

“ขอบคุณค่ะ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมน้ำหวานจะบอกอีกทีนะคะ ตอนนี้ก็จัดไปตามแพลนได้เลย เดี๋ยวน้ำหวานขอปรึกษาคุณภวัตก่อน ถ้าเขาโอเคก็คงไม่ต้องเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมอะไรอีก” หญิงสาวบอกด้วยรอยยิ้มที่แฝงความจริงจังเอาไว้ เวลาทำงานเธอจะเปลี่ยนเป็นคนละคนกับยัยน้ำหวานจอมเอาแต่ใจของภวัต

“งั้นเหรอครับ ผมก็นึกว่าคุณน้ำหวานมีสิทธิ์ขาดทุกอย่างในการตัดสินใจซะอีก เห็นทำงานคล่องแล้วก็เก่งออกอย่างนี้ อีกอย่างผมไม่ค่อยเห็นคุณภวัตเข้าบริษัทเลยนอกจากมีประชุมผู้ถือหุ้น ปกติแล้วเขาไม่ค่อยได้มาดูแลที่นี่ไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมงานนี้เขาถึงเข้ามาจัดการเอง” อนุชาถามด้วยความสงสัย

เขาเพิ่งเข้ามาทำงานในบริษัทนี้เมื่อสองเดือนก่อน ตอนแรกยังคิดว่ามาธวีเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทเสียอีก เพิ่งจะมารู้เอาเมื่อไม่นานนี้เองว่าเธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของภรัณยูผู้เป็นประธานบริหาร ส่วนภวัตเป็นน้องชายของภรัณยูและมีหุ้นในมือคนละครึ่งกับพี่ชาย

มาธวียิ้มรับคำชม แล้วอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ “น้ำหวานเป็นผู้ช่วยเฉยๆ ค่ะ พี่...เอ่อคุณภวัตเป็นคนรับผิดชอบงานนี้ ถึงเขาจะไม่ค่อยได้เข้ามาช่วยงานที่บริษัท แต่เขามีบริษัทออแกไนซ์ที่ต้องดูแลด้วย ทำงานและบริหารเอง เรียกว่าทำเป็นทุกอย่าง เพราะฉะนั้นคุณอนุชาไม่ต้องกลัวว่าเขาจะทำให้งานของเราพังหรอกค่ะ กว่าจะลากเขามาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่รับรองได้ว่างานนี้ต้องผ่านไปด้วยดีแน่ค่ะ”

ต่อหน้าพนักงานในบริษัทมาธวีมักจะเรียกภวัตว่า ‘คุณ’ เสมอ แต่ก็มีบางทีที่สับสนเรียกเขาว่า ‘พี่’ อยู่บ้าง เนื่องจากปกติก็เรียกเขาแบบนี้ และไม่บ่อยนักที่เขาจะยอมเข้ามาช่วยงานของบริษัท อาจเพราะต้องการแสดงให้ภรัณยูเห็นว่าเขาโตพอที่จะตัดสินใจอะไรเองได้จึงยอมมาทำงานเพื่อพิสูจน์ตัวเอง หรืออีกนัยก็คือเขาเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะเลือกคู่ครองเองได้ ไม่ต้องให้พี่ชายช่วยเลือกนั่นแหละ

น้อยคนจะล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างมาธวีกับคนในครอบครัวนี้ พนักงานต่างเข้าใจกันไปเองว่าเธอเป็นน้องสาวของภรัณยูกับภวัต แต่เมื่ออยู่ที่นี่นานไปก็จะรู้ว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรกับพวกเขาเลย สิ่งเดียวที่เธอเป็นนั่นก็คือ ‘กาฝาก’

“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่คืนนี้คุณน้ำหวานค้างบนเรือเหรอครับ” เขาถามเพราะรู้มาว่ามีพนักงานบางคนหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางมาด้วยรวมทั้งหญิงสาวหน้าหวานคนนี้

มาธวีหลุดจากภวังค์ “ค่ะ แต่ไม่ใช่น้ำหวานคนเดียวหรอกนะคะ พนักงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในงานครั้งนี้อีกหลายคนก็ด้วย ถามทำไมคะ”

“เปล่าครับ แค่ถามดูเผื่อคุณน้ำหวานค้างที่นี่ ผมอยากจะชวนไปทานมื้อเย็นด้วยกันซักมื้อน่ะครับ” เขาบอกอย่างขัดเขิน

ขอแค่นี้แหละ ไม่ได้คิดจะขออะไรมากกว่านี้จริงๆ นะ...

มาธวีพอจะมองออกว่าอนุชาสนใจเธออยู่บ้าง เธอจึงยิ้มอย่างพีอาร์และประชาสัมพันธ์คนเก่ง ไม่ใช่ยิ้มที่มีความหมาย แต่ถ้าอีกฝ่ายจะคิดไปไกลเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน

“ว่าไงครับ ตกลงรึเปล่า” อนุชาถามอย่างมีความหวัง

“ถ้าบนเรือก็พอได้ค่ะ แต่ถ้าเป็นบนฝั่งน้ำหวานไม่อยากไปไหน ยังห่วงทางนี้อยู่” จะปฏิเสธไปเลยก็กระไรอยู่จึงตอบในทำนองแบ่งรับแบ่งสู้

“บนเรือก็ได้ครับ แถวนี้มีร้านอาหารอร่อยๆ อยู่หลายร้าน เราสั่งมาทานบนเรือก็ได้ ได้บรรยากาศดีเหมือนกัน”

มาธวียิ้มโดยไม่ว่าอะไร การไปกินข้าวกับลูกค้าก็เป็นอีกหน้าที่ของเธออยู่แล้ว ดังนั้นถ้าคิดจะว่าอนุชาเป็นเหมือนลูกค้าอีกคนหนึ่งก็สบายหายห่วง



เมื่อตกเย็นอนุชาก็สั่งอาหารสามอย่างขึ้นมากินบนเรือกับหญิงสาวตามที่นัดกันไว้ มีสายตาหลายคู่ของพนักงานมองยิ้มๆ เหมือนจะรู้ว่าทั้งสองคนต้องการพื้นที่ส่วนตัว ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่มีใครขึ้นมาเพ่นพ่านบนดาดฟ้าเรือให้เป็นการรบกวนดินเนอร์สุดโรแมนติกมื้อนี้

อนุชาเป็นคนคุยสนุก เขาชวนคุยเรื่อยเปื่อย ถามนั่นถามนี่อย่างมีความสุข เพราะหัวข้อสนทนาส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องงานเลยไปจนถึงงานอดิเรก ไม่ถึงกับเป็นเรื่องส่วนตัวมากมายจนเปิดเผยไม่ได้ ทำให้หญิงสาวไม่รู้สึกอึดอัดที่จะพูดคุยกับเขาเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง



“ใครเห็นมาธวีบ้าง” เสียงห้าวห้วนเอ่ยถาม เมื่อตกเย็นแล้วแต่เขากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของยายเด็กขี้แย ทั้งที่เขาหิ้วท้องรอเธอกินข้าวจนไส้จะกิ่วอยู่รอมร่อ

พนักงานสองคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอดีเหมือนจะถูกบีบให้ตอบคำถามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งสองคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

“เอ้า...ว่าไง เห็นหรือไม่เห็นล่ะ อ้ำอึ้งอยู่ได้” เขาเริ่มหงุดหงิดมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบเสียที

“คือ...คุณน้ำหวานดินเนอร์อยู่กับคุณอนุชาบนดาดฟ้าเรือค่ะ” หนึ่งในนั้นตอบออกไป

คิ้วเข้มของภวัตขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ “อนุชาไหน?” เสียงที่ถามก็ห้วนสั้น ไม่ปิดบังความไม่พอใจสักนิด

“คุณอนุชาที่เป็นหัวหน้าทีมจัดสถานที่น่ะค่ะ” เสียงตอบไม่ดังนัก

เขาพยักหน้ารับรู้ แต่ต้องถามย้ำอีกครั้ง “ดินเนอร์เหรอ?”

ทั้งสองคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง

นี่เขากำลังหิ้วท้องรอคนที่กำลังดินเนอร์มื้อหรูอยู่กับคนอื่นอย่างนั้นหรือ?

โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ขายาวๆ ก็พาเจ้าตัวก้าวขึ้นบันไดไปยังดาดฟ้าเรือทันที พอขึ้นมาก็เจอภาพชายหนุ่มหญิงสาวนั่งดินเนอร์กันใต้แสงดาว หัวร่อต่อกระซิกอย่างน่าหมั่นไส้

เขาไม่สนใจจะรักษามารยาทใดๆ ทั้งสิ้น คนเลือดร้อนเดินดุ่มเข้าไปขัดจังหวะด้วยมาดกวนประสาท “ว่าไงจ๊ะน้ำหวาน มาดินเนอร์กับคุณอนุชาไม่บอกพี่ซักคำ โกรธอะไรพี่เหรอจ๊ะคนดี”

พูดจบก็ยักคิ้วให้หญิงสาวโดยไม่ให้ชายหนุ่มอีกคนเห็น

อนุชาหน้าเสียทันที

นี่มาธวีเป็นแฟนของภวัตหรือ?

หญิงสาวขมวดคิ้ว จ้องคนกวนประสาทอย่างโมโห

‘คนดี’ บ้าบออะไรกัน กวนประสาทชัดๆ!

“ว่าไงล่ะ พี่ถามทำไมไม่ตอบฮึ”

โดยที่มาธวีไม่คาดฝันมาก่อน ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงฝังจมูกที่ข้างแก้มทีหนึ่ง โชว์ผู้ชายอีกคนที่นั่งเป็นใบ้พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

“เอ๊ะ!” เธอร้องเสียงสูงอย่างตกใจปนเปกับความอับอาย ใบหน้าสวยหวานแดงก่ำไปทั้งแถบ

“ขอโทษทีนะครับคุณอนุชา ไม่ทราบว่าน้ำหวานทำให้คุณเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า เธอเป็นคู่หมั้นผมน่ะครับ เรากำลังจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้” ภวัตบอกชายหนุ่มอีกคนหน้าตาเฉย

“เอ่อ...ขอโทษด้วยครับคุณภวัต เราแค่มาทานข้าวด้วยกัน ไม่ได้มีอะไรมากกว่านี้หรอกครับ ขอโทษที่ทำให้คุณไม่พอใจ” อนุชารีบบอก

ถ้ามาธวีมีเจ้าของถึงขั้นหมั้นหมายและจะแต่งงานในเร็ววันนี้ก็ไม่มีประโยชน์ที่เขาจะยื้อความสัมพันธ์อันเลื่อนลอยนี้ไว้เพื่อหลอกตัวเองไปวันๆ เขาควรต้องตัดใจ!

“งั้นผมขอตัวคู่หมั้นคืนนะครับ” ภวัตพูดต่อหน้าตาย

“ได้ครับ งั้นผมไปก่อนนะครับคุณน้ำหวาน พรุ่งนี้เจอกันครับ” อนุชาบอกแล้วลุกขึ้น เดินลงไปจากดาดฟ้าเรือทันทีด้วยอาการของคนหัวใจสลาย

มาธวีกำมือแน่นโดยไม่พูดอะไรจนอนุชาเดินพ้นไปแล้วจึงหันมาจ้องหน้าภวัตอย่างเอาเรื่อง

“เราเป็นคู่หมั้นกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบคะพี่วัต”

ภวัตเดินไปนั่งลงตรงข้ามกับหญิงสาวด้วยใบหน้าบึ้งตึง

“ก็เธอบอกเองว่าจะเป็นเจ้าสาวของพี่ แล้วอีกไม่นานเราก็จะแต่งงานกันไง พูดเองจำไม่ได้เหรอ” เขาถามอย่างกวนประสาท

“จำได้ค่ะว่าเคยพูด แต่จำไม่ได้ว่าพี่วัตยอมรับน้ำหวานเป็นเจ้าสาวตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไปบอกคุณอนุชาแบบนั้นทำไม” หญิงสาวย้อนเสียงขุ่นด้วยความไม่พอใจ เพราะรู้ว่าภวัตไม่ได้พิศวาสอะไรเธอ แต่เขาต้องการทำให้เธออับอายต่อหน้าคนอื่นต่างหากล่ะ

“แล้วไง? ไม่อยากให้หมอนั่นรู้ว่ากำลังจะแต่งงานหรือไง ทำไมพี่จะบอกไม่ได้ในเมื่อยังไงเราก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี” เขาถามเสียงห้วน ดวงตาขุ่นเข้มขึ้นทุกขณะ พอกันกับความรู้สึกในหัวใจที่ยากจะอธิบาย

มาธวีเบะปาก ก่อนจะย้อนด้วยน้ำเสียงแดกดัน “พี่วัตคงจะลืมไปแล้วมั้งคะว่ามีใครรออยู่ที่บ้าน แปลกนะคะ ยังไม่ทันข้ามวันเลย ลืมเมียตัวเองไปแล้วหรือไง”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมุกนะ มันเป็นเรื่องของเราสองคนไม่ต้องพูดถึงคนอื่น” เขาว่าอย่างอารมณ์เสียเมื่อโดนยอกย้อนเข้าให้

หญิงสาวถอนหายใจแรงๆ อย่างอัดอั้น “พี่วัตจะเอายังไงกันแน่คะ เมื่อวานบอกไม่แต่ง วันนี้บอกจะแต่ง ตกลงพี่วัตต้องการแต่งงานกับน้ำหวานหรือไม่ต้องการ เอาซักอย่างสิคะ”

“พี่ไม่เคยต้องการแต่งงานกับเธอ เรื่องนี้พี่รัณเป็นคนคิดเอง อ้อ เธอเองก็เห็นดีเห็นงามด้วยนี่ พี่ถูกบังคับเธอก็รู้” เขาแถไปน้ำขุ่นๆ เมื่อโดนหญิงสาวย้อนเอาๆ แบบไม่มีเวลาตั้งตัว

“แต่เมื่อวานพี่วัตยืนยันว่าจะไม่แต่ง แล้วทำไมวันนี้บอกคุณอนุชาว่าจะแต่งล่ะคะ” หญิงสาวย้อนถามเสียงสูง

รู้หรอกว่าไม่อยากแต่งงาน แต่ไม่ต้องพูดตรงๆ ก็ได้นี่ คนบ้า!

“พี่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับผู้หญิงของพี่ เธอไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งกับผู้ชายหน้าไหนทั้งนั้น” เขายกเหตุผลข้างๆ คูๆ ขึ้นมาอ้าง ด้วยตอนนี้ไม่รู้จะแถไปทางไหนแล้ว

“น้ำหวานไม่ใช่ผู้หญิงของพี่วัต ไม่ใช่ผู้หญิงของใครด้วย อย่ามาพูดเอาแต่ได้นะคะ ในเมื่อพี่วัตไม่ได้ต้องการแต่งงานกับน้ำหวานก็ควรให้น้ำหวานได้มีโอกาสรู้จักคนอื่นบ้าง ไม่ใช่หวงก้างไว้คนเดียวแบบนี้ เขาว่าตัวอะไรน้า...ที่มันชอบหวงก้างน่ะ”

หญิงสาวยื่นหน้ายื่นตาต่อล้อต่อเถียงกับเขาอย่างไม่ยอมแพ้ ก็การยั่วโมโหเขาได้มันเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของเธอนี่

“น้ำหวาน!”

ภวัตลุกขึ้น ตรงดิ่งเข้ามาจับแขนเรียวของหญิงสาว กระชากเข้าหาตัวโดยแรง “เธอว่าพี่เป็นหมาเหรอ”

“น้ำหวานไม่ได้พูดนะคะ พี่วัตพูดเอง” แม้จะตกใจกลัวกับพายุลูกใหญ่ตรงหน้า แต่มาธวีก็ยังเถียงไม่ลดละตามนิสัยสู้คนของเธอ

“ปากดีนักนะ!” เขากระซิบเสียงเหี้ยม

“แล้วพี่วัตจะทำไมล่ะ จะทำอะไรน้ำหวานได้” หญิงสาวยังลอยหน้าลอยตาเถียงเขาอย่างไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง

“ทำอะไรได้งั้นเหรอ เธอผิดเองนะที่ท้าทายพี่ก่อนน้ำหวาน”

ว่าแล้วก็บดขยี้ริมฝีปากบางสวยนั้นด้วยริมฝีปากหยักลึกของตนอย่างแรง หวังจะลงโทษให้หลาบจำมากกว่าอารมณ์อื่นใด ค่าที่เธอชอบอวดดีกับเขาและท้าทายไม่เกรงกลัวแบบนี้เสมอ

มาธวีดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการกอดรัดและลงโทษจากเขา แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อร่างกายของเธอเทียบกับร่างสูงใหญ่ของภวัตแล้วเล็กกว่ากันหลายเบอร์ แรงผู้หญิงมีหรือจะต้านทานเรี่ยวแรงของผู้ชายได้ แล้วยิ่งแรงโมโหเป็นพายุทอร์นาโดแบบนี้ด้วยแล้ว เธอก็ยากจะต่อกรไหว

มือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังเนียนภายใต้เดรสสีหวานอย่างลืมตัว สัมผัสรุนแรงจากริมฝีปากร้อนรุ่มเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลอ่อนหวาน เรียกร้องการตอบสนองจากหญิงสาวคล้ายไม่รู้จักอิ่มจักพอ อีกมือกอดกระชับร่างบางให้แนบชิดร่างแกร่งของตนมากยิ่งขึ้น

มาธวีสิ้นไร้เรี่ยวแรงจะต้านทานเมื่อเขาเปลี่ยนจากสัมผัสรุกรานเป็นเว้าวอนอ่อนหวานจนเธอแทบละลายไปกับความวาบหวามนั้น สองมือที่เคยทุบอกเขาเปลี่ยนเป็นเกาะกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว ปล่อยให้ชายหนุ่มสำรวจร่างกายของเธอโดยไม่ต่อต้านด้วยความด้อยประสบการณ์จึงถูกชักนำได้ง่าย

ช้านานกว่าภวัตจะยอมถอนริมฝีปากออกมาเมื่อรับรู้ว่าร่างนุ่มนิ่มที่อยู่ในอ้อมแขนไม่ผลักไสเขาอีกต่อไป ใบหน้าสวยหวานแหงนเงยรับจูบจากเขาราวกับเต็มใจ ชายหนุ่มแทบอดใจไม่ไหว อยากจะอุ้มมาธวีเดินเข้าห้องนอนไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ยับยั้งตัวเองเอาไว้ได้ด้วยคำถามที่ว่า

เขาทำแบบนี้ทำไม?

แรกนั้นต้องการลงโทษเธอก็ถูก แต่หลังจากนั้นเล่า อาการที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘แทบคลั่ง’ หลังจากที่เขาได้ลิ้มรสจุมพิตจากริมฝีปากช่างยั่วของเธอคืออะไร

ไหนเขาเคยบอกว่าไม่เคยคิดอะไรกับยัยเด็กเอาแต่ใจคนนี้ไง แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้ทำแบบนี้ล่ะ?

มาธวีลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นแววสับสนในดวงตาคู่คมก็รู้สึกมึนงงและตกใจกับอารมณ์ของตัวเอง

นี่ถ้าเขาทำอะไรเกินเลยกว่านี้เธอก็คงจะไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่หลับตาพริ้มรอรับสัมผัสวาบหวามที่เขามอบให้งั้นสิ

หญิงสาวรู้สึกหน้าชาขึ้นมาทันใดเมื่อสำนึกได้ว่าตัวเองพอใจกับสัมผัสและการกระทำที่หยาบคายของเขา เธอรีบปล่อยมือที่กอดเขาไว้แล้วเบี่ยงตัวออกมา ก่อนจะวิ่งกลับลงไปข้างล่างโดยไม่ยอมมองหน้าอีกฝ่าย เพราะความอับอายเกินจะรับไหว

เมื่อถึงห้องก็ปิดประตูลงกลอนด้วยมือที่สั่นเทา แตะมือที่หัวใจของตัวเอง รู้สึกว่าจังหวะการเต้นของมันถี่เร็วจนน่ากลัว

ทำไมเธอต้องรู้สึกวาบหวามเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสของเขาด้วยนะ เขาขโมยจูบแรกของเธอไปอย่างหยาบคายที่สุด แต่เธอดันตอบสนองภวัตไปเสียได้ น่าอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

แล้วถ้าเขาไม่หยุดตัวเองเสียก่อน มันจะเกิดอะไรขึ้น?

เธอสั่นหน้าไปมา

ไม่หรอก มันจะไม่เกิดอะไร เพราะภวัตไม่ได้รักใคร่ชอบพอเธอแม้แต่น้อย ที่เขาทำไปก็เพื่อลงโทษเธอเท่านั้น เธอเองต่างหากที่บ้าบออยู่ฝ่ายเดียว

บ้าจริง! นี่เธอเป็นบ้าอะไรไปแล้วเนี่ย?

หญิงสาวลากขามานั่งลงที่เตียงแล้วเริ่มร้องไห้อย่างสับสน ความรู้สึกปวดปร่าในอกอย่างไม่ทราบสาเหตุทำให้เธอไม่เข้าใจตัวเองแม้แต่น้อย

เสียใจอะไร?

เสียใจที่เขาเป็นฝ่ายหยุดก่อนที่เธอจะห้าม หรือเสียใจที่รู้ว่าเขาทำไปเพราะต้องการแก้เผ็ดเธอเท่านั้นกันแน่

มาธวีไม่กล้าตอบคำถามของตัวเองเลย








Create Date : 23 ตุลาคม 2557
Last Update : 23 ตุลาคม 2557 14:33:43 น. 0 comments
Counter : 561 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nawapat
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




...เขียนเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หนักก็หยุด สนองนี้ดมันไปตามอารมณ์ ^^"...
Friends' blogs
[Add nawapat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.