BlogGang.com : : navagan : *** Rogue One: A Star Wars Story *** ตามหาแผนผัง ตามหาความหวัง

*** Rogue One: A Star Wars Story *** ตามหาแผนผัง ตามหาความหวัง

*** Rogue One: A Star Wars Story ***

Rogue One: A Star Wars Story เป็นเรื่องราวในจักรวาลของ Star Wars โดยหนังเล่าเรื่องของ Jyn Erso (Felicity Jones) ที่เป็นลูกสาวของ Galen Erso (Mads Mikkelsen) นักวิทยาศาสตร์ผู้สร้าง Death Star (อาวุธทำลายล้างของฝ่ายจักรวรรดิ) ที่ต้องกลายเป็นผู้นำกลุ่มกบฏในการโจรกรรมแผนผังของ Death Star ที่ Galen พ่อของเธอได้วางกับดักไว้ในกลไกของมัน

โดยเรื่องราวนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาก่อนเหตุการณ์ใน Star Wars: A New Hope

ประเด็นหลักของ Rogue One ว่าด้วยการนำความหวังครั้งใหม่กลับคืนมา หลังจากที่ฝ่ายกบฏเริ่มหมดหวังเมื่อได้เห็นอานุภาพการทำลายล้างของ Death Star

หนังย้ำคำว่า “ความหวัง” อยู่หลายครั้งผ่านบทพูดของทั้ง Cassian (Diego Luna) เจ้าหน้าที่ฝ่ายกบฏและตัวของ Jyn เองว่า

“จุดเริ่มต้นของกลุ่มกบฏคือความหวัง”

ดังนั้นภารกิจของ Jyn และกลุ่ม Rogue One จึงไม่ใช่แค่การไปขโมยแผนผังของ Death Star

แต่มันคือการนำความหวังของกลุ่มกบฏกลับคืนมา

พัฒนาการของตัวละคร Jyn Erso อาจดูก้าวกระโดดจนเกินไปในช่วงกลางเรื่อง จากเดิมที่เธอไม่เคยสนใจเรื่องการต่อต้านจักรวรรดิ แต่กลับเปลี่ยนมาต่อต้านจักรวรรดิอย่างเต็มที่และกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มภารกิจในท้ายที่สุด

แต่ที่จริงแล้วหนังมีเหตุผลที่หนักแน่นและเข้าใจได้ไม่ยาก ซึ่งก็คือความตายของพ่อเธอที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ นี่เองที่ทำให้ Jyn ต้องสานต่อสิ่งที่พ่อเธอได้เริ่มต้นเอาไว้

ปัญหาก็คือหนังเลือกที่จะให้เวลาผู้ชมได้ซึมซับความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครน้อยเกินไป เราจึงรู้สึกว่าตัวละครนี้เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

และไม่ใช่แค่ตัวละคร Jyn Erso เท่านั้น ตัวละครอื่นๆในหนัง ต่างก็มีศักยภาพที่จะทำให้ผู้ชมรักและผูกพันได้ไม่ยาก ทั้ง Chirrut ของ Donnie Yen, Baze ของ Jiang Wen, Bodhi ของ Riz Ahmed, Cassian ของ Diego Luna รวมถึง K-2SO ของ Alan Tudyk

แต่หนังกลับให้โอกาสตัวละครเหล่านี้สร้างอารมณ์ร่วมกับผู้ชมน้อยไป ไม่เช่นนั้นช่วงสุดท้ายของหนังคงกระทบความรู้สึกได้มากกว่านี้

ส่วนที่น่าชื่นชมในความสร้างสรรค์ของหนัง คือการใช้บรรยากาศและสภาพแวดล้อมในแต่ละช่วงของหนังมาเป็นตัวช่วยเสริมอารมณ์ของตัวละครต่อผู้ชมได้อย่างมีชั้นเชิง

ในช่วงแรกที่ความหวังกำลังจะสูญสิ้น ตัวละครมักจะเจอสภาพอากาศที่เป็นฝนอยู่เสมอหรือไม่ก็เป็นบรรยากาศมืดครึ้มหม่นหมอง

แต่ในช่วงสุดท้ายแม้จะเป็นช่วงแห่งความเป็นความตาย แต่ก็เป็นช่วงที่ตัวละครเปี่ยมไปด้วยความหวัง ซึ่งช่วงนี้หนังใช้ภาพอันสดใสและชัดเจนของบรรยากาศบนดาว Scarif เป็นฉากหลัง

(บางทีเป็นเอาจพียงความบังเอิญ เพราะช่วงสุดท้ายเป็นการถ่ายแก้ของ Tony Gilroy มือเขียนบทของหนัง ตามกระแสข่าวที่ออกมาว่า Disney ไม่พอใจกับช่วงสุดท้ายของหนังในแบบเดิมของผู้กำกับ Gareth Edwards)

การปรากฏตัวของหนึ่งในสุดยอดตัวละครของจักรวาล Star Wars ในฉากสุดท้ายคือความยอดเยี่ยมที่สุดของหนัง

เพราะนี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงอานุภาพของสิ่งที่ตัวละครพร่ำพูดอยู่เสมอ นั่นคือ “พลัง” ที่แม้จับต้องไม่ได้และไม่เห็นเป็นรูปธรรม แต่กลับกลายมาเป็นสิ่งที่ผู้ชมสัมผัสได้จริงและรู้สึกได้ว่ามันรุนแรงมากเพียงใดในฉากนี้

ดังนั้นฉากการมาของพลังในท้ายเรื่อง ก็กลายเป็นฉากอันทรงพลังที่ยกระดับหนังไปอีกขั้น

ในฐานะที่ไม่ใช่แฟนของ Star Wars ถือว่า Rogue One: A Star Wars Story มอบความบันเทิงได้ดีเลยทีเดียว

น่าเสียดายที่หนังมีวัตถุดิบที่เหมาะสม ทั้งเรื่องราวแบบโศกนาฏกรรมและตัวละครที่มีเสน่ห์ชวนให้เอาใจช่วยได้ไม่ยาก แต่หนังกลับไม่เข้มข้นและกินใจได้อย่างที่ควรจะเป็น

7 / 10

Create Date : 20 ธันวาคม 2559

Last Update : 20 ธันวาคม 2559 22:44:41 น.

1 comments

Counter : 2738 Pageviews.

กระทู้ที่ตั้งใน Pantip

https://pantip.com/topic/35932393

โดย: navagan

วันที่: 22 มกราคม 2560 เวลา:0:45:53 น.