ขนาดเราเป็นคนอยู่เฉยๆเรายังรู้สึกได้เลยว่าเวลาผ่านไปเร็ว

วันนี้เมื่อ 1 ปีที่แล้วเป็นช่วงเวลาที่เรากำลังเตรียมตัวจะได้ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ

เนื่องจากแฟนเราได้รับทุนไปทำวิจัยที่ประเทศเกาหลีใต้เป็นเวลา1 ปี เราเลยหาเรื่องลาออกจากงานและติดสอยห้อยตามไปใช้ชีวิตแบบสโลไลฟ์ของเรา(คนเดียว) ณ ประเทศเกาหลีใต้ด้วย

นี่ก็จะถึงเวลากลับไปสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้ง(กลับไปหางานทำ หาเงินค่า)เราเลยอยากมาแชร์ประสบการณ์เล็กๆน้อยๆของเราที่ประเทศเกาหลีใต้นี้ เผื่อเวลา 1ปีที่ผ่านมาจะมีประโยชน์แก่ใครบ้างเล็กน้อยก็ยังดี เหนอะ

เริ่มต้นจากการเตรียมตัวก่อนเดินทางนะคะ

วีซ่า /No วีซ่า

สำหรับใครที่จะมาทำงานที่เกาหลีหรือไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตามนะคะ ขอวีซ่าไปให้ถูกต้องตามกฎหมายนะคะอย่าแอบเข้าไปทำเลยค่ะ เราคิดว่า เอเยนซี่ที่ถูกกฎหมาย เค้าน่าจะขอให้เราได้ให้เข้าประเทศแบบถูกต้องอ่ะ

สำหรับแฟนเราทางมหาวิทยาลัยที่เกาหลีเป็นผู้ดำเนินการให้ค่ะแต่ว่าเราต้องเตรียมเอกสารส่งให้เค้าโดยทางเกาหลีจะเป็นผู้ดำเนินการให้แล้วให้เลขวีซ่ามา สำหรับให้เราไปยื่นที่สถานทูตเกาหลีใต้ในประเทศไทยค่ะ ส่วนใครที่ต้องยื่นเองก็อย่าลืมเตรียมเอกสารไปให้พร้อมนะคะ เราว่าขอวีซ่าที่นี้ไม่ง่ายนะคะดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้นะคะ //tha.mofa.go.kr/worldlanguage/asia/tha/visa/issuance/index.jsp หรือเมลล์ไปถามเค้าก็ตอบกลับมาทุกครั้งค่ะ

ส่วนใครที่ไปเที่ยวเฉยๆ สามารถอยู่ได้นาน 90 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่าค่ะ ซึ่งเราก็เป็น 1ในนั้นนะคะอาศัยไปกลับไปกลับเอาค่ะ จะได้กลับมาเยี่ยมบ้านด้วย ส่วนแฟนเราก็อยู่ยาวไปเลยค่ะ

ตั๋วเครื่องบิน

ปัจจุบันก็มีหลากหลายสายการบินให้เลือกบินนะคะมีทั้งแบบบินตรง และแวะพัก การเลือกสายการบินก็เอาตามความเหมาะสมของแต่ละคนเลยค่ะ

สายการบินแบบที่ไม่Low Cost (เรียกงัยอ่ะ) ราคาอาจจะสูงซักหน่อยแต่ก็แลกมากลับความสะดวกสบายบนเครื่องบิน

สายการบินแบบ LowCost ประหยัดนิดนึง(หรืออาจจะเยอะ) แต่ก็ต้องจ่ายค่ากระเป๋า สัมภาระ ค่าอาหารหรือแม้แต่ค่าเช่าผ้าห่มเพิ่มเติม

สำหรับเราเคยขึ้นมาแล้วทั้ง 2 แบบเราก็เฉยๆนะกับการนั่งแบบไม่มีหนัง หรือเกมส์เล่น (เพราะเรานอนบนเครื่องได้)จากระยะทางการเดินทาง 5-6 ชม. มันก็ยังไม่ทำให้อึดอัดมากไป

แต่เรารู้สึกว่าการเดินทางมาเกาหลีไม่ควรเดินทางในระยะเวลากลางคืนมาถึงเช้านะคะเพราะมันจะรู้สึกเหนื่อยอ่ะ เนื่องจากได้หลับแค่ 2 ชม. เอง พอไปถึงมันก็จะเหนื่อยๆ(คือเราเป็นประเภทต้องนอนอ่ะ) แต่สำหรับใครที่ลาไป มันก็คุ้มแหล่ะ

สำหรับใครที่ไม่มีวีซ่าอย่าลืมจองตั๋วเครื่องบินขากลับติดไปด้วยนะคะ (เผื่อ ตม. เรียกค่ะเราเอาแน่เอานอนกับเค้าไม่ได้) และอนับจำนวนวันที่อยู่ให้ไม่เกิน 90 วันนะคะ อย่าลืมว่าบางเดือนมี 31 วัน เพราะเราโดนค่าเปลี่ยนตั๋วมาแล้วแต่ถ้าบางสายการบินไม่เรียกเก็บค่าเปลี่ยนตั๋วก็จองไปก่อนตามสบายเลยค่ะ

ที่พัก

ส่วนใหญ่ถ้าไปเที่ยวเราจะจองโรงแรมผ่านทางbooking.com เพราะเราว่ามันถูกกว่าAgoda แต่ถ้าเป็นแต่ก่อนก็จะดูจากhostel world เป็นอันดับแรกแต่พอมาทำงานแล้ว เราก็เริ่มหันไปที่โรงแรมแต่บางประเทศราคาโฮสเตลกับโรงแรมก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร

ส่วนมาเกาหลีรอบนี้เนื่องจากมาอยู่นาน เราก็หาบ้านเช่า ห้องเช่า แล้วสิ่งแรกที่ต้องตกใจคือค่าประกันห้องแพงมากกกกกกก เห็นว่าหอเอกชนเค้าคิด 10 เท่าของค่าเช่าห้อง คือคิดเป็นเงินไทยแล้วก็ตกแสนบาทอัพอ่ะเพราะค่าห้องส่วนใหญ่ก็เป็นหมื่นบาทไทยแล้ว แล้วก็หาจากทางเนตยากมาก เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นภาษาเกาหลีอ่านไม่ออกอ่ะคะ สุดท้ายเราเลยจองโรงแรมมาก่อน 2 คืน แล้วให้ทางนี้ช่วยหาห้องให้อีกที

อันนี้ก็เป็นอีกอย่างนึงที่ควรเตรียมไว้เวลาผ่านเข้าเมืองนะคะคือที่อยู่ที่เราจะไปพัก เผื่อ ต.ม. ขอดูเช่นกันค่ะ

โทรศัพท์

สำหรับคนที่มีวีซ่าสามารถมาซื้อซิมโทรศัพท์ที่นี้ใช้ได้นะคะ หรือถ้าอยู่นานจะซื้อเครื่องพร้อมโปรมือถือก็ลองพิจารณาดูค่ะ แต่ถ้าใครคิดจะมาซื้อเครื่องเปล่ากลับไปใช้ที่ไทย ราคาที่เกาหลีอาจจะแพงกว่าที่ไทยนะคะรวมทั้ง Samsung ซึ่งเป็นของที่นี้ด้วยแต่คุณภาพของที่ขายในเกาหลีอาจจะดีกว่า รึป่าว !?!?!?

แฟนเราก็มาซื้อซิมที่นี้ใช้ค่ะส่วนที่โทรกลับไทยราคาถูกก็เห็นว่ามีนะคะ แต่เราซื้อซิม Fly2go ของ GSM มา แค่ติดไว้เผื่อโทรกลับไทยเฉยๆราคาทั้งโทรออกรับสายก็ประมาณนาทีละ 10 กว่าบาทค่ะ แต่โดยปกติแล้วเราก็อาศัยใช้คุยไลน์เอาค่ะ

สำหรับไวไฟก็อาศัยตามร้านกาแฟเอา ซึ่งจะมีพาสเวิร์ดติดไว้ไม่ที่หน้าประตู ก็เคาวท์เตอร์หรืออยู่ในใบเสร็จค่ะ หาดูๆ ส่วนในที่พักส่วนใหญ่เดียวนี้ก็มีเกือบทุกทีนะคะอาจจะมีเป็นไวไฟ หรือมีสายแลนให้ (เพราะที่พักที่แรก เราก็เจอเป็นสายแลนเลยแฟนเราก็ต่อกับ window 8 แล้วเปิดให้มันแชร์ไวไฟเอา คือถ้าอยู่คนเดียวก็ใช้ได้แต่คอมอ่ะ)

ส่วนเบอร์โทรศัพท์ในไทยถ้าไม่อยู่นานๆ ก็อย่าลืมไประงับไว้นะคะ

ส่วนใหญ่ทุกเครือข่ายล่ะมัง ให้ระงับได้ฟรี 2 เดือนแรก เดือนต่อไปก็ประมาณ 60 บาท อย่าลืมฝากใครจ่ายไว้ด้วยค่ะ

แล้วเวลาไประงับก็อย่าลืมนำบัตรประชาชนไปด้วยหรือถ้าฝากใครไปก็อย่าลืมเขียนใบมอบอำนาจให้ไปด้วยนะคะ จะได้ไม่เสียเวลาและจากการที่โทรถามทั้ง call center และ ไปที่ shop บอกได้เลยว่าแต่ละคนที่ตอบเราบางทีก็ตอบไม่ตรงกัน ให้ไปทำที่ศูนย์ใหญ่มันเลยก็ดีค่ะ จะได้ไม่เสียเวลา

เสื้อผ้า

ที่เกาหลีมี 4ฤดูนะคะสำหรับเราเป็นคนที่ไม่ค่อยช้อป คือจะบอกว่าประหยัด หรืองกก็ได้ 555 เราก็เอาเสื้อผ้ามาให้ครบกับทุกฤดูกาลค่ะแต่มีมาซื้อเสื้อหนาวขนเป็ดที่นี้เพิ่ม เพราะตัวที่มีอยู่ก็นานหล่ะแม่บอกให้ไปซื้อใหม่เหอะลูก

ฤดูใบไม้ผลิช่วง มี.ค.- พ.ค

ตอนแรกที่เรามาถึงก็ช่วงนี้ค่ะดอกไม้งาม อากาศก็เย็นๆนะคะ ไม่หนาวจัด แต่แดดแรงค่ะเวลาที่แดดออกมันก็จะรู้สึกร้อน แต่ถ้าแดดหุบปุบ จะเริ่มเย็นค่ะ ช่วง มี.ค. -เม.ย.ยังใส่เสื้อกันหนาวอยู่ แต่พอสักปลายเม.ย. เป็นต้นไป เริ่มใส่แบบแจ็กเกตสบายๆก็อยู่ได้ค่ะ อย่าลืมหมวก และแว่นตากันแดดนะคะ

สำหรับใครที่มาช่วงปลายมี.ค – เม.ย.เลือกสีเสื้อผ้ามาให้เหมาะกับซากุระสีขาว ชมพู่อ่อนๆได้เลยค่ะ มีให้ถ่ายรูปได้ทั่วประเทศเลยค่ะแต่ถ้ามาหลังซากุระจากนี้ เราก็มาเจอดอกไม้สีสันสดใสมากๆ ค่ะ

ฤดูร้อน ช่วงมิ.ย.-ส.ค.

อย่างที่บอกคือแดดที่นี้เรียกว่าแรงเลยค่ะช่วงนี้ฟ้าสวย ต้นไม้เขียว ดอกไม้สีสดใสเยอะๆ เราชอบนะถึงแม้คนไทยจะไม่ค่อยมาช่วงนี้กันสักเท่าไร แต่เวลาเดินก็จะค่อนข้างเหนื่อยเพราะมันร้อน แต่แห้งๆ คือมันทำให้เรารู้สึกเจ็บคอแบบหน้าหนาวได้แต่อากาศมันร้อนอยู่อ่ะ

ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี– ใบไม้ร่วง ช่วง ก.ย.- พ.ย.

เราชอบช่วงปลายๆเดือนต.ค. ถึง พ.ย. มากสุดล่ะ ให้อารมณ์แบบโรแมนติก ท่ามกลางต้นไม้สีเขียว เหลือง แดงช่วงนี้อากาศก็เริ่มกลับมาเย็นอีกแล้วค่ะอากาศที่นี้นึกอยากจะเปลี่ยนมันก็เปลี่ยนได้เลยนะคะ ช่วงนี้หันมาหยิบเสื้อหนาวแบบที่ใส่ช่วงต้นๆ มี.ค.มาใส่ก็ได้นะคะ หนาวแต่ยังไม่ถึงขนาดติดลบค่ะ

ฤดูหนาว ช่วงธ.ค.-ก.พ.

หลายคนอาจอยากมาช่วงนี้เผื่อจะได้มาสกีรีสอร์ต สัมผัสหิมะขาวๆ (หิมะเทียมหรือแท้ก็ไม่รู้)และอากาศเย็นๆที่บ้านเราไม่มี เสื้อหนาว ผ้าพันคอ ที่ปิดหู รองเท้าบูท อย่าลืมลองจอนหรือฮีทเทคด้วยนะคะ จัดเต็มได้เลยค่ะสำหรับช่วงนี้ เพราะถ้าเป็นช่วงอื่นๆถ้าเราจัดเต็มกับชุดกันหนาวของเรา จะดูแตกต่างกับคนเกาหลีทันทีค่ะ แค่เราใส่แจกเกตแบบหนังกลับตอนเดือน พ.ย. เค้ายังว่าเราว่ามันต้องใส่ฤดูหนาวนะ คือไม่มีใครพูดมันก็เฉยๆอ่ะแต่พอมีคนทัก คือบอกไม่ถูกเหมือนกันว่า อาย หรืออะไร แต่เอาจริงๆพอถึงหน้าหนาวเราไม่ได้หยิบมันมาใส่เลยนะ พอช่วงนี้ก็เน้นเสื้อขนเป็ดแล้วอ่ะสำหรับอุณหภูมิติดลบมากที่สุดตอนเราอยู่คือ ลบ 20 องศา

แต่..อากาศที่นี้ ถ้าวันไหนหนาวจัด แดดมันก็จัดให้บาลานซ์กันนะคือแสบหน้าได้ทั้งหนาวและร้อนเลย

หรือถ้ามาถึงหนาวมากๆซื้อถุงร้อนที่ขายในซุเปอร์มาร์เกต มาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อช่วยให้มืออุ่นขึ้นได้นะคะ ตอนแกะจากถุงมันไม่ร้อนนะ แต่ถือๆถูๆสักพักมันจะอุ่นขึ้นค่ะ

อาหารการกิน

สำหรับใครที่กะประหยัดค่าอาหารก็เตรียมพวกผงโลโบมานะคะ ข้าวสารลองมาทานข้าวเกาหลีดูก็ได้ค่ะ ตอนแรกเราก็เอามานะแต่พอมาอยู่รู้แล้วว่าเราทานข้าวกันเปลืองมากๆ ประมาณ 1 กระป๋องต่อ 1 มื้อ (2คน) เราก็ซื้อที่นี้ทานกันค่ะถึงมันจะไม่หอมเหมือนข้าวไทย แต่ก็โอเคอยู่ ส่วนวิธีหุงใช้ขนาดน้ำตามขีดในหม้อหุงข้าวได้เลยค่ะ อ๋อเราเอาหม้อหุงข้าวไซส์เล็กมากจากไทยค่ะ

เบ็ดเตล็ด

อย่าลืมเตรียมพวกยาต่างมาติดไว้นะคะไม่เป็นอะไรมากจะได้มียาไว้ทาน เพราะอากาศเปลี่ยนและต่างจากบ้านเรามากติดไว้ไม่เสียหายค่ะ รวมทั้งชุดกรรไกรตัดเล็บ อุปกรณ์เย็บผ้าติดมาไว้เผื่อฉุกเฉินค่ะ

อ๋อ เตารีดไดร์เป่าผม มาซื้อที่นี้ได้นะคะ ไม่แพงๆ