รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
24 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
ทวนกระแสความคิด คือ อย่างไร

ในพุทธประวัติได้มีการกล่าวถึง เจ้าชายสิทธัตถะไ้ด้ทรงอธิษฐานก่อนลอยถาด
ที่นางสุชาดาใส่อาการถวายพระองค์ ปรากฏว่า ถาดได้ลอยทวนน้ำขึ้นไป
นีคือปริศนาธรรมที่อยู่ตำรา

สำหรับผู้ที่อ่านเรื่องของหลวงพ่อเทียน ท่านก็พูดถึงการทวนกระแสความคิด
ว่า อย่าเข้าไปในความคิด พอคิดแล้วให้ตัดความคิดทันที

ซึ่งในบทนี้ ผมจะเขียนขยายความให้ท่านมองภาพออกครับว่า ปริศนาธรรม
เรื่องถาดลอยทวนน้ำ และ การทวนกระแสความคิด นั้นคืออย่างไร

1..ก่อนอื่น ท่านต้องสมมุติตัวเองก่อนครับว่า ท่านคือ มดแดงตัวหนึ่ง
ที่กำลังเดินอยู่ หรือ จะยืนอยู่ก็ได้ ไม่ว่ากัน จากนั้นปรากฏว่า
จู่ ๆ มีน้ำไหลมาอย่างแรงที่ยังตัวท่านที่เป็นมดแดง เนื่องจากน้ำมีความแรง
ดังนั้น ตัวท่านคือมดแดง ก็จะถูกกระแสน้ำนั้นพัดพาไปด้วย
น้ำไหลไปทางไหน ตัวท่านคือมดแดงก็จะลอยตามกระแสน้ำนั้นไปตลอด

2..สิ่งที่เขียนในข้อ 1 คือสภาวะแห่งจิตใจของท่าน(เปรียบเหมือนมดแดง)
ส่วนความคิดที่ท่านกำลังคิด (เปรียบเหมือนกับกระแสน้ำที่ไหล)

ตามธรรมชาติในการทำงานของจิตใจในปุถุชน จิตใจจะยึดติดกับขันธ์ 5
ด้วยแรงยึดคือตัณหา เมื่อท่านคิดสิ่งใด แรงยึดคือตัณหาจะยึดดึงจิตใจของท่าน
ติดเอาไว้กับความคิดนั้น (อาการนี้ บางอาจารย์จะเรียกว่า การเข้าไปในความคิด)
ซึ่งเปรียบเหมือน มดแดงที่กำลังลอยตุ๊บป่องอยู่ในกระแสน้ำไหล จะหนีออกจากกระแสน้ำก็ไม่ได้
ซึ่งเหมือนกับ จิตใจจะหนีออกจากความคิดก็ไม่ได้ เพราะถูกแรงยึดคือตัณหายึดเอาไว้

เมื่อเป็นดังนี้ เมื่อความคิดนั้นเป็นเรื่องราวแห่งความทุกข์
จิตใจก็จะรับรู้ความทุกข์นั้นไปด้วย
ถ้าความคิดนั้นเป็นสุข จิตใจก็รับรู้ความสุขไปด้วย

ทำให้ปุถุชน หลงวนเวียนไปกับทุกข์สุขตลอดเวลา อันเนื่องมาจากความคิด
ที่ปรุงแต่งขึ้น

3..การที่จะมดแดงไม่ไหลไปตามน้ำในข้อ 1 นั้น มดแดงต้องไม่อยู่ในแนวทางของน้ำไหล
ก่อนน้ำจะไหลมา เพราะมดแดงไม่อยู่ในทางน้ำที่ไหลมา มดแดงจะเป็นอิสระจากน้ำไหล
และมดแดงจะเห็นน้ำที่ไหลได้ เพราะตัวเองไม่ได้อยู่ในกระแสน้ำนั้นแล้ว

4..ในข้อ 3 นั้นเปรียบเหมือนกับว่า ท่านได้ฝึกฝนสัมมาสติจนมีความตั้งมั่นเพียงพอ
ทีจะต่อสูุ้กับแรงยึดดึงของตัณหา เมื่อความคิดเกิดขึ้น กำลังความตั้งมั่นแห่งสัมมาสติ
ที่ชนะแรงยึดดึงของตัณหา จะทำให้จิตใจไม่เข้าไปผสมรวมกับความคิด
เมื่อจิตใจไม่เข้าไปผสมรวมกับความคิด จิตใจก็จะเห็นความคิดนั้น เปรียบเหมือนมดแดง
ในข้อ 3 ที่เป็นอิสระจากน้ำไหลและเห็นน้ำที่กำลังไหลนั้นได้

5..มดแดง มีความสงสัยเป็นอันมากว่า น้ำนี้ไหลมาจากที่ใดกัน มดแดงก็จะเดินทวนทางน้ำไปเรื่อยๆ จนถึงต้นตอของน้ำ มดแดงก็เห็นได้ว่า น้ำที่ไหลมาจากท่อน้ำประปาที่แตกอยู่ที่นี้เอง
เมื่ือมดแดงเห็นความจริงดังนั้น ก็โทร 1125 แจ้งหน่วยซ่อมประปามาจัดการเปลี่ยนท่อ
น้ำใหม่ เมื่อท่อน้ำเก่าที่แตกถูกเปลี่ยนใหม่ น้ำก็หยุดไหลได้เอง

6..ในข้อ 5 การเดินทวนกระแสน้ำของมดแดง เปรียบได้กับการปฏิบัติที่ว่า
นักภาวนาไม่เข้าไปในความคิดที่เกิดขึ้นนั้น แต่เนื่องด้วยการมีกำัลังแห่งสัมมาสติอย่างมั่นคง
เมื่่อนักภาวนาเห็นความคิดที่เกิดหลาย ๆ ครั้ง
ทำให้นักภาวนาเห็นต้นตอของความคิดที่มันผุดออกมาได้ ซึ่งเปรียบเหมือนมดแดง
เห็นจุดท่อน้ำำที่แตกที่มีน้ำไหลออกมานั้นเอง

จุดท่อน้ำแตก ก็คือจุดที่ความคิดผุุดออกมา ก็คือ รังของอวิชชานั้นเอง

7..การเห็นจุดท่อน้ำแตก หรือ รังของอวิชชา ไม่ใช่เห็นได้ง่าย ๆ
แต่การเห็นความคิดเกิดขึ้น เห็นได้ไม่ยากสำหรับนัำกภาวนาที่ีมีกำลังสัมมาสติตั้งมั่นพอสมควร

แต่การเห็นรังของอวิชชาและเห็นขณะที่ความคิดกำลังผุดออกมาเหมือนสะเก็ดแผลที่กำลัง
หลุดจากผิวหนังเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากสุด ๆ (ขอให้นึกถึงหนังโฆษณาพวกครีมทาผิวขาวของสตรี
ทีีมักถ่ายภาพของชั้นผิวเก่าที่กำลังหลุดออกจากผิวหนัง จะเหมือนกันมาก)
ถ้ากำลังแห่งสัมมาสติไม่ตั้งมั่นอย่างสุด ๆ และไม่มีความว่องไวรวดเร็วอย่างสุด ๆ
ไม่มีทางเห็นอาการนี้ได้เลย เมื่อนักภาวนาเห็นความคิดกำลังผุดออกมา ก็จะเกิดความรู้ขึ้นมา
ได้ทันทีเลยว่า นี่ไง มันออกมาจากที่นี้เอง นี่คือรังของอวิชชา พบแล้ว พบแล้ว

เมื่อนักภาวนาพบรังแห่งอวิชชาด้วยกำลังแห่งความตั้งมั่นและว่องไวสุด ๆ ของสัมมาสติ
นักภาวนาเพียงรักษาสภาพของจิตใจนี้ไว้ อย่าให้มีทิฐิและตัณหา
เมื่อถึงเวลา รังแห่งอวิชชาจะถูกทำลายลงไปเอง ซึ่งนักภาวนาจะเห็นมันขาดลอยออกไป
เหมือน.ว่าว.ขาดลอยจากสานป่านชัก แล้วรังอวิชชาก็หายวับไป

เมื่อรังของอวิชชาถูกทำลาย ท่อน้ำไม่แตกไหล ทุกอย่างก็จบลง

*************
ท่านคงมองภาพออกนะครับว่า คำว่า ทวนกระแสความคิด การลอยทวนของถาด
ของเจ้าชายนั้นหมายความว่าอย่างไร และ ทวนไปเพื่ออะไรกัน




Create Date : 24 สิงหาคม 2553
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:02:14 น. 20 comments
Counter : 1766 Pageviews.

 


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:16:17:57 น.  

 
รังของอวิชชาคงไม่ได้เห็นกันง่ายๆนะคะ. คงต้องเพียรอย่างมากจึงจะมีสิทธิ์เห็นได้. จะพยายามต่อไปค่ะ. ไม่ท้อถอย.


โดย: จิตติ IP: 124.122.48.192 วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:17:49:34 น.  

 
ชอบที่เปรียบเทียบกับมดเหมือนกันครับ มันเดินเหมือนไร้จุดหมายแต่จริงแล้วดึงดูดไปด้วยกรรมกับแรงผลักภายใน


โดย: มีปัญหามาถาม IP: 113.53.79.130 วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:18:09:59 น.  

 
มารออ่านรายวัน เวลามีเรื่องใหม่ๆ รู้สึกเหมือนได้ของขวัญ..โมทนาสาธุค่ะ



โดย: ธัมมทีโป IP: 125.27.206.219 วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:18:49:39 น.  

 
ตอบคุณจิตติ

ผมเองมีความเชื่อว่า ถ้าภาวนาถูกทาง มีความเพียร
ทุกคนมีสิทธิทำลายรังแห่งอวิชชาได้แน่ครับ

แต่ที่ทำลายไม่ได้ ก็มาจากไม่เข้าใจ ทำให้ภาวนาไม่ถูก หรือ ขาดความเพียร


โดย: นมสิการ วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:18:54:26 น.  

 
สาธุคับ

ขอบคุณมากๆคับ

กำลังสงสัรยเรื่องนี้อยู่เลย


โดย: ramai IP: 125.25.130.136 วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:19:13:24 น.  

 
แต่ผมว่า คงใช้เวลานานไม่ใช่เล่นเลย

กว่าจะภาวนา จนถึง ท่อก็อกน้ำแตก หรือ รังอวิชชา ได้

แต่จะก็พยายามไม่ท้อถอยคับ

ปล. คุณนมสิการ เขียน เปรียบเปรยได้น่ารักดีจังเลยัคบ ดูเข้าใจง่ายดี แต่สภาวะจริงๆ คงต้องลุยกันอีกนาน สำหรับผม


โดย: ramai IP: 125.25.130.136 วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:19:24:14 น.  

 
ขอทราบวัดในสายหลวงพ่อเทียนที่สับปายะเหมาะสม และครูบาอาจารย์แนะนำได้ดี และสามารถปฏิบัติแบบอุกฤษฎ์ได้ครับ


โดย: dorn IP: 117.47.250.230 วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:22:40:44 น.  

 
เอ่อ..พี่คะ

ตอนนี้นั่งๆนอนๆ เห็นมันออกมาจากจิตนี่จะใช่ไหมคะ..

มันออกมาจากจิตใช่ไหมนี่.. ถ้ารังอวิชชาอยู่ในจิตทำไงล่ะคะ ???



โดย: ธัมมทีโป IP: 125.27.206.219 วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:22:41:36 น.  

 
ขอบคุณครับ
สำหรับธรรมมะดี

แต่ผมขอแย้งในบทความเก่านะครับ

เรื่องเห็นความโกรธหรือไม่โกรธนั้น

ถ้าจิตจำความโกรธได้ จิตจะมีสติเพราะจำได้ครับ

และความโกรธจะดับไปเอง เพราะหมดเหตุ (สติเป็นกุศล แต่โทสะเป็นอกุศลไม่เกิดพร้อมกัน)

และถ้าเชื้อยังอยู่จะโกรธต่อครับ

อันนี้จะเกิดดับอีกอีกรอบแล้วแต่กำลังของสติ
และ ความแรงของผัสสะ

แต่มันจะไม่สะสมความโกรธลงในสัญญานะครับ

เพราะความโกรธไม่ใช่สัญญาขันธ์

แต่จะเป็นเหมือนภาพ(ความรู้สึก)ความโกรธ มากกว่าครับ

ซึ่งความจำได้นี้จะก่อให้เกิดสติต่อมาครับ
อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ



โดย: ไข่น้อย IP: 118.173.19.112 วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:22:48:26 น.  

 
ลืมบอกไป

ข้อดีของความโกรธ

สามารถเห็น(รู้สึก)ได้ชัดเจนมาก

ทั้งตอนเกิดและดับ

ข้อเสียคือ

มีความเสี่ยงต่อการเกิดอกุศลกรรมทั้งกายและวาจาสูง

อันนี้ขึ้นกับอินทรีย์ของผู้ปฏิบัตินั้น

ดังนั้นต้องมีศีลห้าเป็นฐานป้องกันไว้ก่อน


โดย: ไข่น้อย IP: 118.173.19.112 วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:23:05:02 น.  

 
ตอบ คุณ dorn

ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าที่วัดใดจะมีอย่างที่คุณต้องการ
เพราะผมเองส่วนมากก็ฝีกเองที่บ้าน

ที่ผมพอทราบว่ามีคนไปฝึกกันมาก ๆ ก็จะมี
วัดสนามใน ที่ กทม
วัดป่าสุคะโต ที่ ชัยภูมิ
วัดป่าโสมพนัส ที่ นครพนม

มีกระทู้ในห้องศาสนา ที่คนเขาไปถ่ายรูปมาที่วัดป่าสุคะโต
//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9610352/Y9610352.html


โดย: นมสิการ วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:7:39:24 น.  

 
ตอบ คุณธัมมทีโป

การหาที่อยู่ของรังของอวิชชานั้น อันดับแรก นักภาวนาต้องเห็น
อาการของจิต เช่น เห็นความคิด เห็นความโกรธ หรือ อื่น ๆ
ได้ก่อน จากนั้น ให้สังเกตว่า อาการของจิต มันเกิดอยู่ที่ไหน
ดับไปที่ไหน ก็คือที่นั้่นแหละที่เป็นรังของอวิชชา

แรก ๆ จะเห็นอาการของจิตได้ก่อน ซึ่งจะเห็นได้ไม่ยากนัก
เพียงมีกำลังสัมมาสติเพียงพอก็เห็นได้แล้ว

แต่เมื่อฝึกไปอีก กำลังสัมมาสติเพิ่มมากขึ้น จึงจะเห็นความว่าง
อันเป็นแหล่งที่เกิดของอาการของจิตได้ต่อไป




โดย: นมสิการ วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:7:44:07 น.  

 
1. เอาราคะเลย ชัดดี เห็นว่าเกิดจากตากระทบรูป ปั๊บ ปรุงเลย รู้สึก-คิดปุ๊บ แต่พอเห็นมันโผล่แล้วปั๊บมันก็หยุดปุ๊บ ความโกรธบางทีก็เห็นตอนมันกระเพื่อม มันจะปุดขึ้นมาพอรู้สึกได้ว่ามันมาแล้ว เหมือนน้ำกระเพื่อมนิดๆ แล้วก็นิ่งหายไป

2. อาการของจิตที่วิ่งไปหารูป นี่คือสังขารใช่ไหม จิตสังขารใช่ไหมคะ เพราะว่ามันมีสองตัว มีตัวที่ตั้งมั่นอยู่ในตัวเรา แต่บางทีมันเผลอ มันก็วิ่งไปหาตา หรือหู ไปรับรู้ผัสสะ แล้วก็ปรุง เป็นความคิด แล้วก็จะเกิดอารมณ์ขึ้นมา

3. คือถ้ามีสติ ต้องบอกว่ามีความตั้งใจอยู่ คือรู้สึกตัวอยู่ จิตจะตั้งมั่นไม่ไหลออกไปคลุกกับอารมณ์ แต่ถ้าสติไม่ดี คือเบลอๆ อยู่ก็โน่น..ไปแล้ว..รู้สึกไปแล้ววูบนึง..อย่างเงี้ย..

4. ความว่างที่เป็นแหล่งที่เกิดอาการของจิตในที่นี้ ก็คือตัวจิตใช่ไหมพี่ ซึ่งมันคงไม่มีตัวนะ แต่หนูรู้สึกว่ามันจะว่าง แล้วก็มีบางอย่างไหลเข้ามาตรงนี้ หรือบางทีก็ผุดขึ้นมาจากตรงนี้ ก่อนจะปรุงเป็นความคิด

ก็เลยถามว่า รังอวิชชาเป็นไปได้ไหมว่าอยู่ที่จิต ไม่ใช่อยู่ที่ความคิด...



เป็นความลับสวรรค์หรือเปล่าเนี่ย..ทำไมตื่นเต้นนิดๆ



โดย: ธัมมทีโป IP: 125.27.206.231 วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:9:46:24 น.  

 
1.. อันนี้ดี แสดงว่า จิตมีกำลังสติพอที่เห็นอาการของจิตได้แล้ว

2.. อันนี้บอกว่า กำลังสติของคุณไม่สามารถต้านตัณหาไ้ด้ คุณจึงรู้สึกได้ว่า มันวิ่งไปทางตาบ้าง ทางหูบ้าง สมัยก่อน ผมก็เห็นแบบนี้เช่นกัน
มันวิ่งออกอย่างกะขีปนาวุธ เห็นได้เลยว่า พุ่งออกไป แต่เมื่อฝึกฝนต่อไป อาการนี้จะลดลงและหายไป

อาการนี้จะเกิดเมื่อจิตรู้ ถึงแม้ว่าจะแยกตัวออกมาได้ แต่มันยังอยู่บริเวณ
ศรีษะ หรือ ใบหน้า แต่ถ้าฝึกต่อไปถึงระดับหนึ่ง ที่จิตรู้ มันวิ่งกลับไปสู่ภายในร่างกายแล้ว อาการนี้จะหายขาดและไม่มีอีกเลย

3..ใช่ครับ ถ้ากำลังสติตก มันจะอย่างนั้นเลย ถ้าตกมาก ก็จะเผลอทันที

4.. ในความเห็นของผม มันเป็นมโนทวารครับ แต่อาจไม่ใช่มโนทวารก็ได้ ซึ่งในพระไตรปิฏก จะเรียกจิตบ้าง มโน บ้าง วิญญาณบ้าง
เอาเป็นว่า ที่คุณเล่ามา เห็นมันอยู่ตรงไหน หายไปตรงไหน ที่นันแหละครับ จะชื่ออะไรก็อย่าไปสนใจมันเลยจะดีกว่า

อวิชชา ไม่ใช่อยู่ที่ความคิด ความคิดเป็นขันธ์ของขันธ์ 5
ถึงแม้ทำลายรังอวิชชาแล้ว ก็ยังมีความคิดได้อยู่ แต่มันจะไม่ปรุงต่อ
เป็นชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจ การปรุงแต่งนี่แหละ คือ อวิชชา


โดย: นมสิการ วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:10:28:11 น.  

 
ความลับสวรรค์จริงๆ ด้วยแหละ..

หนูถูกให้โจทย์นี้มา ท่านว่าให้ไปเรียนรู้ระบบขันธ์ห้าให้แตกฉาน และฝึกสติให้คมๆ แล้วจะเข้าใจเอง

หนูมันพวกอินทรีย์อ่อนน่ะพี่..
และตลอดชีวิตเป็นแม่ครัวชั้นเอกเลย ปรุงตลอด ปรุงเก่งสุดๆ ดีนะว่ามันพอจะรู้ตัว เลยปรุงไปวิเคราะห์ไป แต่สุดท้ายมันก็ทุกข์ เพราะวิเคราะห์แบบฝรั่งนี่มันไม่จบน่ะ.. ได้คำตอบทุกครั้ง แต่ไม่จบ..แต่วิธีของพระพุทธเจ้านี่จบ..

อ่านเรื่องรังของอวิชชามาจนถึงที่พี่บอกว่าคือ "การปรุงแต่ง" มีความรู้สึกเหมือนว่าเดินมาอยู่ริมหน้าผายังไงไม่ทราบ.. (ปรุงแระ) หลังจากนั้นมันก็.. (กิเลสกลัวตัวสั่นเลยนะนี่...)

ตอนนี้อาการคือกำลังเบื่อ..หน่าย.. ซึ่งก็ดูรู้มันไป ทราบว่าหลักการคือต้องละเบื่อให้ได้ แต่ทำไม่ได้ เพราะสันดานมันต้องรู้..ไม่รู้มันไม่ละ.. เบื่อมาหลายวันแล้ว..เลยเล่นเน็ตนานมาก ไม่รู้จะทำอะไรมันเบื่อ..


วันก่อนไปหาอาจารย์ ท่านก็ยิ้มๆและบอกว่าให้ทำจิตให้อยู่อย่างนี้ (คือว่าง) ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรมาก..

ก็ฟังไปงงไป..แต่เนื่องจากเหตุคือฝึกสมถะอยู่ด้วย ก็คิดว่าท่านเตือนให้บาล๊านซ์ละมั้ง..

แต่บทความของพี่นี่ธรรมจัดสรรจริงๆ สาธุสาธุสาธุ มาตอบให้หนูยังกะรู้เลย.. ถ้าพี่บอกมาอย่างนี้ ก็น่าจะสอดคล้องกันที่อาจารย์บอก ที่ว่าไม่ปรุงเป็นชอบ และไม่ปรุงเป็นไม่ชอบ..คืออยู่กับอุเบกขาใช่ป่าวคะ..


เห็นมันแล้วก็ละมัน.. รู้มันแล้วก็ละมัน.. ปล่อยให้ขันธ์ทำงานไป แต่จิตไม่ข้อง.. อย่างนั้นใช่ไหม..


โดย: ธัมมทีโป IP: 125.27.206.231 วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:11:10:46 น.  

 
ที่กล่าวมาก็ถูก คือ เห็นแล้วก็ละทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรกับมัน
ให้สติรับแต่ของสด ๆ อันมาจากความรู้สึกตัว

เรื่องดูความว่าง อันนี้ต้องระวัง เพราะคำพูดของครููอาจารย์แต่ละท่านไม่เหมือนกัน ลองอ่านเรื่องนี้ดูุอีกที เรือง ดูความคิด ดูความว่าง https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=07-2010&date=25&group=8&gblog=70

ถ้าไม่เข้าใจ ไปดูแต่ความว่าง ไม่ดูความคิดด้วย อย่างนี้ก็จะไม่ตรงทาง
เพราะความว่าง คือ รังอวิชชา
ความคิดปรุง คือ สิ่งที่ออกจากรังอวิชชา
จะต้องเห็นทั้ง 2 อย่างด้วยใจที่เป็นอุเบกขา

งานยากอยู่ตรงนี้ครับ คือ การมีสติที่มีกำลังแรง
การมีสติมีกำลังแรง มันมีผลคือความเป็นอุเบกขา
ถ้าสติกำลังไม่พอ จะไม่เป็นอุเบกขา

ความเห็นของผม การเพิ่มกำลังจิตนั้น สมควรเพิ่มด้วยฐานกาย
อย่าไปทำจิตให้ว่างอย่างเดียว แต่ให้ทำฐานกาย และ รู้จิตทีีว่างพร้อมกันไปด้วย ในขณะัเดียวกัน เช่น

เดินจงกรม รู้การเดินด้วย + รู้จิตที่ว่างด้วย
นั่งดุุลมหายใจ รู้ลมหายใจด้วย + รู้จิตที่ว่างด้วย เป็นต้น



โดย: นมสิการ วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:12:40:40 น.  

 
โอเคเลยค่ะท่านพี่(ขออนุญาตเรียกพี่นะคะ)

..ได้ลายแทงแล้ว

กลับไปทำสติโลด...


โมทนาสาธุกับธรรมทานนะคะ


โดย: ธัมมทีโป IP: 125.27.206.231 วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:13:08:06 น.  

 
ขอบคุณเช่นกันคับ

เขียนอธิบายได้ดีจังเลยคับ


โดย: ramai IP: 125.25.158.191 วันที่: 30 สิงหาคม 2553 เวลา:19:33:22 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:16:27:26 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.