รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
19 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 
สภาวะปรมัตถธรรม 3 แบบ

ขอให้ดูจากภาพประกอบ


บนสุด 1 สภาวะแห่งของเรา สภาวะแห่งการเป็นเรา

ในปุถุชนทั่ว ๆ ไป ด้วยอวิชชาและโมหะทีเข้าครอบงำจิต จิตผู้รู้เกิดตัณหาเมื่อจิตได้สัมผัสผ่านอายตนะต่างๆ ด้วยพลังแห่งตัณหาได้ดีงจิตผู้รู้เข้าไปยีดติดกับสิ่งต่างๆ ทีสัมผัสได้บนโลกใบนี้ ซี่งก็คือ คน สัตว์ สิ่งของต่างๆ

เมื่อจิตไปยีดติด คน สัตว์ สิ่งของ แล้ว
คนทั่วไป ก็จะรู้สีกถีงการเป็นเจ้าของ คน สัตว์ สิ่งของ ขึ้นมา

เมื่อเกิดการสัมผัสทีไม่น่ารักใคร่ ก็จะเกิดการปรุงแต่ง คือ โทสะ ตามมา
เมื่อเกิดการสัมผัสทีน่ารักใคร่ ก็จะเกิดการปรุงแต่ง คือ โลภะ ราคะ ตามมา
เมื่อเกิดการปรุงแต่ง ก็จะเกิดความคิดความเข้าใจว่า ฉันโกรธ ฉันรัก ความโกรธเป็นของฉัน ความรักเป็นของฉัน

คนทั่วไป ทีไม่ได้ยินพระธรรม หรือเพียงได้ยินแต่ไม่ได้ฝีกฝนอริยมรรคมีองค์ 8
ก็จะอยู่ในระดับนี้เรื่อยไป เวียนเกิดเวียนตายไม่รู้จบสิ้น


กลางที่ 2 สภาวะแห่ง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา

เป็นสภาวะของนักภาวนาทีได้ลงมือภาวนาสติปัฏฐานด้วยการเจริญมรรค 8 ด้วยหลักวิชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

จนจิตผู้รู้ นั้นเกิดการตั้งมั่นอยู่ในฐานของจิตได้พอสมควร

แต่เนื่องด้วยพลังแห่งปัญญายังไม่แก่กล้า สัมมาสมาธิยังไม่มั่นอย่างถีงทีสุด
จิตจะส่งพลังงาน กระแสวิญญาณ ออกจากจิตผู้รู้ (หมายเหตุ ใน blog ผมเรียกพลังงานนี้ว่า มโน ) เมื่อจิตมีการสัมผัสผ่านอายตนะต่างๆ ขึ้นมา

เมื่อเกิดกระแสวิญญาณ กั้นกลางระหว่างตัวจิตผู้รู้ และ สิ่งของต่างๆ บนโลกใบนี้ ได้แก่ คน สัตว์ สิ่งของ นักภาวนาจะพบว่า สิ่งของต่างๆ คน สัตว์ สิ่งของ นั้น เมื่อมองดู สิ่งเหล่านี้ จะอยู่ห่างออกไปจากตัวเราทีกำลังมองอยู่ ซึ่งต่างจาก บนสุดที 1 ทีคนทั่วๆไป จะไม่เห็นระยะห่างของวัตถุต่างๆ ทีมองไป

ในการฝีกฝนนั้น นักภาวนาเพียงมองเป็น เห็นสิ่งต่างๆ เป็นแบบภาพ 3 มิติ การมีระยะห่างก็เกิดขุี้นได้ทันที

การเห็นวัตถุต่างๆ อยู่ห่างตัวออกไป นักภาวนาถ้าสังเกตอีกนิด ก็จะรู้สีกได้เองว่า วัตถุต่างๆ ทีอยู่ห่างออกไปนั้น มันไปของเรา ไม่ใช่ตัวเรา

อนี่ง เมื่อมีจิตปรุงแต่งเกิดขึ้น พลังงานจิตปรุงแต่งนี้ ก็จะเกิดอยู่ใน พลังงานของ มโน นี้ทั้งสิ่ง ทำให้นักภาวนาเห็นจิตปรุงแต่งนี้ได้ และเมื่อเห็นได้ จิตปรุงแต่งนี้ ก็จะเกิดดับเป็นไตรลักษณ์ตามธรรมชาติของเขาเอง

นักภาวนาทีเข้ามาภาวนามาพอสมควร จะพบว่า สภาวะของบนสุดที 1 และกลางที 2 จะวนเวียนสลับไปมาอยู่เสมอ เนื่องด้วยกำลังสัมมาสมาธิยังไม่ตั้งมั่นพอ

นักภาวนาจึงต้องหมั่นฝีกฝนอยู่เสมอ เพื่อให้จิตมีกำลังสัมมาสมาธิทีตั้งมั่น แล้วเห็นจิตปรุงแต่งเกิดดับเป็นไตรลักษณ์ให้ได้อยู่เนือง ๆ จึงจะทำให้เกิดปัญญาสะสมเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ
จนเข้าสู่สภาวะของ ล่างที 3 ต่อไป

สภาวะกลางที 2 นี้ ในทาง มหายาน จะบอกว่า เป็นสภาวแห่งของคู่ คือ มีผู้รู้ และสิ่งทีถูกรู้
โดยผู้รู้ คือ จิตผู้รู้ และ
สิ่งทีถูกรู้ คือ พลังงาน มโน และ จิตปรุงแต่งต่างๆ ทีเกิดในพลังงาน มโน นี้ และ วัตถุสิ่งของต่างๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ

ล่างที 3 สภาวะแห่งไม่มีตัวเรา

เป็นสภาวะของนักภาวนาทีมีสัมมาสมาธิ จิตผู้รู้ตั้งมั่นอย่างทีสุด
ซี่งสภาวะล่างที 3 นี้มาจากการพัฒนาปัญญาของระดับกลางที 2 จนมีปัญญาแก่กล้า ปัญญาแก่กล้ามีเหตุมาจากการมีสัมมาสมาธิทีตั้งมั่นอย่างแก้กล้า

ในสภาวะล่างที 3 นี้ เนื่องจากปัญญาทีแก่กล้า นักภาวนาจะรู้จักและพบเห็น พลังงานของ กระแสวิญญาณ (พลังงาน มโน ) ซี่งได้มาจากตอนทีอยู่ในระดับกลางที 2
ในขณะทีนักภาวนาเจริญ นิพพิทาสภาวะ จิตเกิดการเบื่อหน่าย เห็นโทษภัยของสังขารปรุงแต่งต่างๆ ของ พลังงาน มโน เกิดปัญญาขึ้นมาว่า อันความทุกข์นั้นมาจากสังขารปรุงแต่งทั้งสิ้น ความเบื่อหน่ายนี้จะไปสร้างกำลังสัมมาสมาธิให้ตั้งมั่นมากขึ้นไปอีก เมื่อสัมมาสมาธิตั้งมั่นมากขึ้น จิตจะพบทางแห่งการหลุดพ้นได้เอง แล้วเกิดสภาวะของการสิ้นไปของตัณหา เมื่อตัณหาสิ้นไป นักภาวนาก็พบกับสภาวะแห่งการสิ้นไปของพลังงาน มโน
แต่ยังเหลือแต่เหลือแต่จิตผู้รู้ และ อายตนะต่างๆ ทียังทำงานทียังรับรู้สิ่งต่างๆ ทางโลกได้อยู่เหมือนคนทั่วไป ต่างเพียงว่า จิตผู้รู้ ไม่เข้าไปเกาะยีดและไม่มีการสร้างพลังงาน มโน ยื่นออกไปเท่านั้น

การสิ้นไปของพลังงาน มโน ทำให้จิตผู้รู้ตั้งมั่นโดดเดียวอยู่ในฐานจิตเพียงลำพัง
การตั้งมั่นแบบนี้ของจิตผู้รู้ในฐานจิต นักภาวนาจะพบกับสภาวะของการเป็นหนี่ง ซี่งสภาวะนี้ ทาง มหายานเรียกว่า สภาวะทีไม่ใช่ของคู่
ครูบาอาจารย์หลายท่านจะเรียกสภาวะนี้ว่า ไม่มีผู้รู้ ไม่มีสิ่้งทีถูกรู้ มีแต่การรู้

ในพระไตรปิฏก พาหิยะสูตร พระพุทธองค์ตรัสสอนพาหิยะว่า เมื่อเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน รู้สักแต่ว่ารู้ การเป็นของตัวตนก็จะไม่มี ซี่งนักภาวนาสามารถสัมผัสพระสูตรนี้เมื่ออยู่สภาวะล่างที 3 นี้เอง

เมื่อนักภาวนาทีสัมผัสได้ถีงระดับนี้ จะเข้าใจอย่างท่องแท้ของคำสอนของพระพุทธองค์ ในเรื่อง อริยสัจจ์ 4 และ ปฏิจสมุปบาท อันเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา




Create Date : 19 ตุลาคม 2557
Last Update : 19 ตุลาคม 2557 14:30:33 น. 0 comments
Counter : 1936 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.