Carpe Diem !

<<
ธันวาคม 2558
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
17 ธันวาคม 2558
 

Trans-Mongolia train

หลังจากเที่ยวปักกิ่งกันมาสามวันเต็ม เราก็ได้เวลาเริ่มต้นเดินทางด้วยรถไฟสายทรานส์มองโกเลียกันที่สถานีรถไฟเมืองปักกิ่ง ทั้งๆที่อุตส่าห์มารอรถไฟกันล่วงหน้าเป็นชม เพราะกลัวว่าถ้าพลาดขบวนนี้ โปรแกรมจะรวนไปทั้งทริป แต่แล้วก็มีเรื่องให้ลุ้นจะตกรถไฟจนได้ เนื่องจากเพื่อนอีก 2 คนอยากจะเข้าห้องน้ำก่อนจะขึ้นรถไฟ เราเลยอาสาเฝ้ากระเป๋าให้ แต่ระหว่างนั้น ก็สังเกตว่า เอ๊ะ ทำไมฝรั่งทั้งหลายที่นั่งรออยู่ ล้วนลุกขึ้นไปต่อแถวเข้าชานชลากันหมดเลย น่าสงสัยนะเนี่ย เราจึงวิ่งไปถามจนท.ได้ความว่ารถไฟมาจอดแล้ว และจะออกตรงเวลาเป๊ะ ซึ่งเราจะต้องวิ่งไปที่ชานชลา และหาโบกี้ที่เราจะขึ้นอีก เอาล่ะสิ !! เราเลยรีบลากกระเป๋าที่แสนจะหนักอึ้งของเพื่อนไปฝากจนท.(ที่ดูไม่ค่อยเต็มใจจะรับฝากนัก) ก่อนจะวิ่งหน้าตั้งไปตามเพื่อนๆที่ห้องน้ำ แล้วก็ใส่เกียร์หมาวิ่ง 4x100 มายังชานชลา ทันพอดี ก็ถือว่าเป็นเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้น พอให้ได้หัวเราะกันตั้งแต่เริ่มรถไฟขบวนแรกกันเลยทีเดียว



การเดินทางครั้งนี้ เราเลือกเดินทางกับตู้รถไฟชั้นสาม เป็น 4-berth compartment ซึ่่งนับว่าหรูและสะอาดกว่าที่เราคิดไว้ มีผ้าปูโต๊ะ แต่ละ compartment จะมี power outlet และประตูที่ล็อคได้ มีจนท.จอมเฮี๊ยบคอยตรวจตราทำความสะอาดทุกชั่วโมง มีน้ำร้อนฟรีให้ตลอด 24 ชม.



มองโกเลียเต็มไปด้วยที่ราบกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แต่บางครั้งก็สลับกับภูเขา แล้วอยู่ดีๆ ก็จะมีชุมชนเล็กๆโผล่ขึ้นมาทีนึง จากนั้นก็จะสลับกับที่ว่างเวิ่งว้างไปอีกระยะ



คนมองโกลจะอาศัยอยู่ใน Ger (เท่าที่ฟังคนมองโกลอ่าน เค้าอ่านคำนี้ว่า เกียร์ ไม่ใช่ เก้อ แบบที่เราอ่านๆกัน) ทำปศุสัตว์ เลี้ยงม้า เลี้ยงวัว ระหว่างนั่งรถไฟอยู่ เราก็จะเห็นหนุ่มมองโกลล่ำบึ้กควบม้าผ่านไป เป็นเรื่องธรรมชาติ



เรานั่งรถไฟกันนาน 1 วัน 1 คืน ตอนใกล้ๆเที่ยงคืน ก็จะมีจนท.มาตรวจพาสปอร์ตและวีซ่า เมื่อรถไฟวิ่งผ่านชายแดนจีนกับมองโกเลีย จากนั้น รถไฟก็จะทำการเปลี่ยนล้อนานประมาณ 1 ชม. เพราะรางรถไฟของจีนและมองโกลขนาดไม่เท่ากัน เมื่อตื่นเช้ามา เราก็เริ่มเข้าสู่เขตเมืองหลวงของมองโกเลีย คือ อูลานบาทอร์นั่นเอง



ในที่สุดเราก็มาถึงตัวเมืองหลวง Ulaan Baatar ของมองโกเลีย โดยเราได้ติดต่อให้จนท.ของโฮสเทลมารับที่สถานีรถไฟ โดย First impression ของเราที่มีต่อเมืองนี้คือ


1. เป็นเมืองที่ฝุ่นเยอะมากกกกกก...


2.คนขับรถได้นักเลงมากๆ ปีนเกาะกลางถนน แซงกัน ชนกัน ไม่ได้แคร์เวิร์ลใดๆ



เมื่อเรานำสัมภาระเข้าไปเก็บในที่พักแล้ว เราก็จอง local tour ที่โฮสเทล เพื่อที่จะไปเที่ยวรูปปั้นเจงกิสข่าน อุทยานแห่งชาติ Terelj รวมทั้งนอนเกอร์เป็นเวลา 1 คืน ก่อนที่เราจะออกไปแลกเงินทุกรุกของมองโกเลีย โดยเอาเงิน US dollar และเงินหยวนที่เหลืออยู่ไปแลก จากนั้นเราก็เดินไปเที่ยวจัตุรัสกลางเมืองชื่อ Sukhbaatar square



จุดสังเกตอย่างหนึ่งของที่นี่คือ ตามสวนสาธารณะ หรือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจต่างๆในเมือง มักจะมีคนนำรถเด็กเล่น มาให้บริการเช่า เพื่อให้ครอบครัว มาเด็กๆมาแว๊นซ์รถเล่นกันอย่างสนุกสนาน ก็เป็นไอเดียที่น่าสนใจไปอีกแบบ


ก่อนจะกลับที่พัก เราก็แวะไปเดินเที่ยวตลาดกัน และแล้ว.. เราก็ได้เจอดีที่มองโกเลียจนได้ !!


มีชายหนุ่มคนหนึ่ง กำลังรูดซิปกระเป๋าสะพายหลังของแดม เพื่อนร่วมทริปอยู่ โชคดีที่เราหันไปเห็นทัน จึงรีบตะโกนเตือนเพื่อน โจรคงตกใจ แล้วก็รีบเดินหนีจากไปแบบไม่รู้ไม่ชี้ ...เกือบไปแล้วมั๊ยละ


หลังจากเกือบจะฟาดเคราะห์ไป ก็ได้รับข่าวดีว่า รุ่นน้องชาวมองโกเลียที่ได้ทุนไปเรียนที่เมืองไทยคนนึง กลับมาเยี่ยมบ้านพอดีในช่วงนี้ เราจึงทักทายน้องไปทางเฟส น้องก็รีบบอกทันทีว่า จะมารับไปเที่ยว แล้วจะพาไปพักที่บ้านพักตากอากาศพรุ่งนี้เอง ให้ไปยกเลิกทัวร์ที่จองไว้ซะ ...เราสามคนปรึกษากันว่าจะเอาไงดี จะไปนอนเกอร์ หรือไปกับน้องดี หลังจากตกลงกันว่า ไปกับน้องดีกว่า เราจึงรับหน้าที่เดินทำหน้าละห้อยไปบอกยกเลิกทัวร์ที่โฮสเทล ซึ่งเค้าก็เข้าใจ แต่ก็หงุดหงิดเล็กน้อย บรรยากาศเริ่มมาคุขึ้นมาพอสมควร


คืนนั้น น้องมารับพวกเราไปเที่ยวที่ Zaisan memorial ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ซึ่งรัสเซียได้สร้างอนุสาวรีย์นี้ไว้ให้เป็นที่ระลึก ในโอกาสที่มองโกเลียเป็นอิสระจากจีน เราสามารถจะมองเห็นวิวมุมสูงของเมืองอูลานบาทอร์ได้จากที่นี่


รุ่งขึ้น น้องมารับแต่เช้า พวกเราสามคนจึงรีบย่องออกจากโฮสเทลไปเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า น้องเริ่ม City tour แห่งแรกที่วัด Gandhan Khiid monastery ที่อยู่ไม่ไกลนักจากโฮสเทลของเรา



น้องได้สอนวิธีไหว้พระแบบชาวมองโกล ประกอบไปด้วย 4 steps ดังนี้




แล้วเราก็นั่งรถต่อไปยัง Genghis khan statue ถนนที่นี่ยังคงฝุ่นเยอะเช่นเดิม ที่เพิ่มเติมคือ หลุมบนถนนตลอดทาง ให้ความรู้สึกคล้ายเล่นวีดีโอเกมนินเทนโด ที่ต้องขับรถหลบสิ่งกีดขวางสมัยเด็กๆ (เกิดทันไหม?)


ภายในอนุสาวรีย์เจงกิสข่าน จะมีชุดพื้นเมืองของชาวมองโกลให้เช่าถ่ายรูป รวมทั้งมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของมองโกเลีย พร้อมไกด์บรรยายเป็นรอบๆ อีกด้วย



จุดหมายต่อไปของเรา คือ Terelj national park ซึ่งมี turtle rock (ที่หน้าตาเหมือนเต่าจริงๆ !)และมีอูฐ ม้า ให้เราขี่เล่น มีร้านอาหารพื้นเมือง มีเกอร์ให้เช่านอน และมีกิจกรรมเดินป่า สำหรับผู้ที่สนใจ



จากนั้น เราก็แวะเที่ยวทะเลสาบกัน น้ำเย็นมากจนขาชา แม้จะจุ่มขาลงไปแค่ไม่ถึง 5 นาที แต่ก็ยังคงมีชาวมองโกเลียมาปิคนิค ลงว่ายน้ำกันอยู่อย่างสนุกสนาน เค้าคงชินกันแล้ว



เมื่อแวะเที่ยวจนครบแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่ summer house ของน้อง น้องเล่าว่า เนื่องจากประเทศมองโกเลียมีพื้นที่กว้างใหญ่ ในขณะที่มีประชากรไม่มาก รัฐบาลจึงอนุญาตให้ชาวมองโกเลียจะมีสิทธิ์จับจองที่ดินตามชนบท 1 แปลง/1 ครอบครัว เพื่อที่จะสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศฤดูร้อน ในช่วงฤดูร้อน ที่โรงเรียนปิดเทอม ครอบครัวชาวมองโกเลีย ก็จะมาใช้ชีวิตกันที่ summer house แห่งนี้ และเมื่อโรงเรียนเปิด ก็จะเข้าไปอยู่ที่อพาตเมนท์ในเมืองเพื่อความสะดวกในการเดินทางไปทำงาน



เราอยู่ที่นี่กัน 1 คืน คุณแม่ของน้องก็ได้ทำกับข้าว homemade สไตล์มองโกเลียนแท้ๆให้เรากิน ประกอบไปด้วยบะหมี่เนื้อ เกี๊ยว(อีกแล้ว กินตั้งแต่จีนยันยุโรป) milk tea เบียร์มองโกเลีย ลูกอม ขนม และตบท้ายด้วยสูตรเด็ดคือ เบียร์นมม้า !!! จริงๆมันไม่เหมือนเบียร์ แต่มันคือนมม้าที่เค้าเอามาโถปิดฝาหมักเก็บไว้หลายเดือน จนมันมีรสชาติเปรี้ยวๆแปลกๆ เหมือนกินนมบูด แต่ไหนๆเรามาถึงที่แล้ว ก็ต้องชิมซักหน่อย ชิมได้อึกเดียว โอ้โห เหลือทนมากๆ (แต่เพื่อนสาวที่มาด้วยกัน ดื่มจนหมดเลย นางบอกว่า เหมือนโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ฮ่าๆ)


อาหารมองโกเลียน่าจะถูกใจบรรดา meat lover แน่นอน เนื่องจากจะประกอบด้วยเนื้อสัตว์นานาชนิด นมวัว นมม้า ก่อนหน้าที่จะมาเที่ยวที่นี่ รุ่นน้องคนนี้เคยซื้อเนื้อม้ากระป๋องมาฝากพี่ๆที่ไทย เมื่อมาถึงมองโกเลียแล้ว เราจึงอยากจะลองเนื้อม้าดูบ้าง แต่น้องบอกว่า เค้าจะกินเนื้อม้ากันเฉพาะในหน้าหนาว เนื่องจากมีราคาแพง แต่สามารถให้ความอบอุ่นได้ดีกว่าเนื้อชนิดอื่นๆ เราไปหน้าร้อน ก็เลยอดกินเลย แง้ ..


จากนั้นน้องก็ชวนเล่นเกมส์พื้นเมืองแบบมองโกเลีย โดยใช้กระดูกส่วนข้อของแกะ กระดูกของแกะ จะมีรูปร่างทั้งหมด 4 แบบ เราจะโยนกระดูกทั้งกำขึ้นในอากาศ แล้วใช้หลังมือรับกระดูกไว้ จากนั้นเราจะต้องใช้นิ้วดีดกระดูกที่ตกลงบนพื้น โดยดีดกระดูกที่รูปร่างเหมือนกันให้ชนกันเท่านั้น (คล้ายๆหมากเก็บผสมสนุกเกอร์ยังไงไม่รู้เนอะ)



ช่วงที่เราไปเป็นหน้าร้อน กว่าฟ้าจะมืดก็เกือบ 3 ทุ่ม ก่อนนอนต้องไปยืนแปรงฟันกันนอกบ้าน (เพราะเค้าจะมีท่อปล่อยน้ำเล็กๆ หยดติ่งๆ อยู่นอกบ้าน ที่นี่น้ำน้อย ต้องใช้สอยอย่างประหยัด) ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ น้ำก็เย็นเฉียบ แปรงไปปากสั่นไป


และทุกคนก็ต้องพร้อมใจกันถือไฟฉาย ไปเข้าห้องน้ำก่อนเข้านอน เพราะห้องน้ำยังเป็นแบบเป็นส้วมหลุมอยู่ และตั้งอยู่ห่างจากตัวบ้าน คงไม่มีใครอยากจะตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนคนเดียวนั่นเอง


คืนนั้นเรานอนหลับสบาย ตื่นเช้ามาทานอาหารเช้า ซึ่งได้แก่แครกเกอร์ ขนมปัง กับชานมหอมๆ แล้วก็กลับเข้าเมือง แวะซื้อของที่ระลึกที่ city mall (น้องบอกว่าของที่ระลึกถูกที่สุด) ของที่ระลึกขึ้นชื่อที่นี่ คือทุกอย่างที่ทำจากหนังสัตว์ ขนสัตว์ ผ้าแคชเมียร์ ที่ราคาไม่แพง และคุณภาพดี แลกเงินทุกรุกเป็นเงินรูเบิล จากนั้นจึงไปสถานีรถไฟ เพื่อจะขึ้นรถไฟไปรัสเซียกัน ..



Bye bye Mongolia and see you soon Russia ...




Create Date : 17 ธันวาคม 2558
Last Update : 2 มกราคม 2559 0:28:31 น. 0 comments
Counter : 1270 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

nystagmus
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Google
..comprendre c'est pardoner.. ..live as if you will die tomorrow.. learn as if you will live forever.. gandhi
[Add nystagmus's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com