Maggie ลูกสาวที่รักของพ่อแม่ในจำนวนดาราสาวที่ถือกำเนิดมาจากวงการจอแก้วแล้ว เชื่อได้ว่า เส้าเหม่ยฉี เป็นดาราสาวที่มีบุคลิกเป็นตัวของตัวเองที่ดีคนหนึ่ง มีอุปนิสัยใจคอที่โดดเด่นเป็นพิเศษทีเดียว ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี่ ทางจิตแพทย์กล่าวว่า จะมากจะน้อยก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตวัยเด็กของผู้นั้น วันที่เราได้คุยกับ Maggie ทำให้ยิ่งเชื่อคำพูดของจิตแพทย์ดังกล่าวมากขึ้น เธอมีความเป็นตัวของตัวเอง ใครต่อใครก็พูดเป็นเสียงเดียวกันอีกว่า การเป็นลูกโทนของพ่อแม่นั้น จะเป็นส่วนช่วยเสริมให้ผู้นั้นมีความเป็นตัวของตัวเองยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่า เธอจะไม่ยืนยันในความเป็นตัวของตัวเองของเธอ แต่กระนั้น เธอก็ยอมรับในหลักการที่คนอื่นมาแบบนี้เหมือนกัน"เมื่อใครๆได้รู้ว่า ฉันเป็นลูกโทนของพ่อแม่ ก็มักจะเข้าใจไว้ก่อนว่า ฉันเป็นคนที่เป็นตัวของตัวเองทันที รวมทั้งมีความรู้สึกว่า ฉันเป็นคนที่ยืนหยัดอยู่บนลำแข้งของตัวเองอีกต่างหาก ซึ่งว่าไปแล้ว คนยุคใหม่ส่วนมากแม้ว่าจะอยู่ร่วมกับพ่อแม่พี่น้องก็จริงแต่สภาพสังคมก็ทำให้แต่ละคนมีความเป็นตัวของตัวเอง มีความสามารถในการยืนหยัดอยู่บนลำแข้งของตัวเองกันทุกคนค่ะ ดังนั้น ฉันจึงมีความรู้สึกว่า คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดต่อลูกโทนเสมอค่ะ"ในการพูดคุยกับเธอครั้งนี้ ปรากฏว่า เธอได้พาพ่อแม่ของเธอมาด้วยกัน เพียงแต่ท่านทั้งสองนั่งเงียบๆปล่อยให้เราได้คุยกันอย่างเต็มที่ท่านคงจะรักและทะนุถนอมคุณมากเป็นพิเศษละสิ?Maggie ฉีกรอยยิ้มให้เห็นอย่างร่าเริงพร้อมพยักหน้าตอบว่า "ก็ท่านมีเพียงฉันเป็นลูกคนเดียว ท่านก็ต้องรักฉันเป็นพิเศษน่ะสิคะ"เป็นไปได้ไหมว่า ท่านรักคุณมากเกินไปจนเสียคน?"แล้วคุณว่าไงละ...?" เธอย้อนถามด้วยอาการยิ้มๆ "สมัยฉันเป็นเด็ก ทางบ้านไม่ใช่ว่าจะมีเงินหรือร่ำรวยอะไรหรอกค่ะ แต่ทว่าทุกครั้งที่ฉันอยากได้อะไร เมื่อขอแล้ว ท่านจะต้องหามาให้ได้ ฉันจำได้ว่า ของเล่นชิ้นแรกในชีวิตที่ฉันอยากจะได้ก็คือ รถไฟพร้อมราง ท่านก็หาซื้อมาให้ แล้วฉันก็ไม่ชอบเล่นของเล่นประเภทตุ๊กตาเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วๆไปซะด้วยสิ จริงๆแล้ว ถึงฉันจะเป็นลูกคนเดียว แต่ฉันก็ไม่เคยงอแงหรือเล่นตัวกับท่านเลย พูดได้เลยว่าฉันเป็นเด็กดีคนหนึ่งของพ่อแม่เสมอค่ะ"เนื่องจากส่วนใหญ่แล้ว Maggie มักจะถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวในบ้านเสมอ ตรงนี้แหละเป็นประเด็นสำคัญ ที่ทำให้เธอเพาะนิสัยกลายเป็นคนที่ชินกับการอยู่คนเดียวตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาว รสชาติการอยู่คนเดียวแบบนี้ เธอยอมรับว่าเป็นความทุกข์ทรมานอย่างที่สุดหาใดปาน ตามประสาเด็กที่ย่อมจะต้องการเพื่อนเล่นเสมอ"ฉันยังจำได้อีกว่า สมัยเป็นเด็กเล็กๆอยู่นั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันเคยร้องตะโกนใส่คุณแม่ว่า " โอ๊ย! เซ็งจะตายชัก" ตอนนั้นคุณแม่ถามฉันกลับว่า "แล้วลูกรู้หรือว่าที่เซ็งนั้น มีความหมายว่าอย่างไร?" ฉันถึงกับอ้าปากตอบไม่ถูกเลยจริงๆ ฉันคิดเสมอว่า ความเซ็งนั้นเป็นรสชาติสุดแสนทรมานที่สุด เชื่อว่ามันเป็นความเซ็งชนิดที่ไม่ว่าเด็กรึผู้ใหญ่ต่างก็มีความรู้สึกเดียวกันค่ะ"เมื่อในบ้านไม่มีอะไรพิเศษให้เล่น หรือเป็นความรู้สึกที่เซ็ง เธอก็เลยต้องหาความสนุกตามประสาเด็กนอกบ้าน โดยเฉพาะที่โรงเรียน แต่อย่างว่าคุณแม่มักจะเป็นคุณแม่จอมตื่นเต้นเสมอ ก็ไม่ใช่อะไรหรอก เป็นความรู้สึกที่ห่วงและกังวลกลัวลูกจะเกิดอะไรขึ้นนั่นเอง ดังนั้น จะเดินไปไหนที จะเล่นอะไรที ท่านเป็นต้องคอยติดตามคอยสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิดเสมอ"หลังโรงเรียนเลิกส่วนใหญ่ฉันมักจะขอเล่นต่อที่โรงเรียน ถือโอกาสเล่นบาสเก็ตบอลกับเพื่อนๆนี่แหละ แล้วคุณแม่ท่านก็จะเฝ้ารออยู่ข้างสนามบาสเก็ตบอลเสมอ ถ้าหากทางโรงเรียนมีจัดรายการนำนักเรียนไปท่องเที่ยว ท่านก็มักจะขอติดตามไปด้วย ไม่งั้น ท่านก็จะไม่อนุญาติให้ฉันไปค่ะ ตอนที่เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 ฉันต้องเสียน้ำลายไปเยอะเลยค่ะ กว่าจะหว่านล้อมให้ท่านอนุญาติให้ฉันไปพักค้างแรมเข้าค่ายที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น ก่อนเดินทางคืนนั้น คุณเอ๋ย.. ฉันมีความรู้สึกตื่นเต้นที่สุด จนนอนไม่หลับทั้งคืนเลย ที่ไหนได้ พอวันรุ่งขึ้นพยากรณ์อากาศประกาศว่า ไต้ฝุ่นหมายเลข 3 จะเข้าฮ่องกง ครั้นเดินทางไปถึง ค่ายพักก็ประกาศเตือนครั้งต่อมาว่า พายุไต้ฝุ่นขึ้นมาเป็นหมายเลข 8 เท่านั้นแหละ ทางโรงเรียนต้องรีบพานักเรียนกลับ คุณลองคิดดูสิ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ไปไหนอย่างอิสระโดยไม่มีคุณแม่ตามไปด้วย แล้วต้องเจอปัญหาแบบนี้จะรู้สึกผิดหวังขนาดไหน คงไม่ต้องบอกหรอกนะคะ"... เราเองเคยไปพักค่ายครั้งแรกตอน ม.4 ยิ่งกว่าแมกกี้อีกนะ พ่อแม่ของเส้าเหม่ยฉี ที่เฝ้าติดตามคอยดูแลเธออย่างใกล้ชิดตลอดเวลาตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาวรุ่น เริ่มยอมปล่อยให้มีอิสระ เมื่อตอนที่เธอเรียนจบชั้นมัธยมแล้วนั่นละ หลังจากที่ได้ทำงานทำการแล้ว ซึ่งการแสดงออกเช่นนี้ของคุณพ่อคุณแม่ แม้เธอจะเคยรู้สึกเซ็ง แต่เธอก็รู้ดีว่าเป็นความรักบริสุทธิ์จริงใจที่สุดของพ่อแม่ที่มีต่อลูกต่างหาก เธอจึงไม่เคยโทษคุณพ่อคุณแม่เลยแม้แต่น้อย"ท่านมีแต่ความรักความห่วงถึงได้แสดงออกเช่นนี้ สมัยนั้น ท่านรู้ว่าเวลาฉันอยู่คนเดียวจะต้องรู้สึกเซ็งเสมอ ท่านก็พยายามเจียดเวลาอยู่กับฉันตลอด เท่าที่เวลาจะอำนวยให้ เราสามคน พ่อแม่ลูก จึงมีความสุขตามประสาครอบครัวเล็กๆแบบนี้แหละค่ะ ตรงกันข้าม เมื่อฉันได้เข้าทำงานในวงการบันเทิงแล้วนี่ละ ฉันกลับไม่ค่อยได้อยู่ร่วมกับท่าน หรือเจอหน้ากันน้อยมากด้วยซ้ำ ตรงนี้แหละที่ทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเสมอ"เป็นที่รู้กันดีว่า การเล่นหนังจอแก้ว ถ่ายทำกันทั้งวันทั้งคืนแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันกันเลย แม็กกี้ย่อมรับรู้ถึงความลำบากของการเล่นหนังจอแก้วเป็นอย่างดี คุณแม่ของเธอเคยไปดูการถ่ายทำหนังของลูกสาว ได้เห็นความยากลำบาก ความเหน็ดเหนื่อยของลูกสาวเช่นนี้ ท่านก็เป็นคนหัวสมัยใหม่ เข้าใจและรับรู้ถึงการไม่มีเวลาที่จะอยู่ด้วยกันเหมือนสมัยก่อน และไม่เคยบ่นอะไรให้เธอได้ยินเลยนอกจากความรักความห่วงใยของพ่อแม่แล้ว แฟนๆโดยเฉพาะแฟนสาววัยรุ่นหลายต่อหลายคนทีเดียว ที่ให้ความจริงใจต่อเธอเสมอ มักจะนำอาหารว่างต่างๆ ไปให้เธอถึงกองถ่ายเป็นประจำ ทุกครั้งที่เธอเห็นแฟนหนังของเธอไปเยี่ยมถึงกองถ่าย ความเหน็ดเหนื่อยจะหายเป็นปลิดทิ้งทันทีด้วยความปลื้มอกปลื้มใจ"ไม่ว่าหนทางจะลำบากและไกลขนาดไหน แฟนๆก็มักจะเดินทางไปเยี่ยมเสมอ ฉันเคยมีความรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาแทบร่วง สมัยก่อน เนื่องจากเล่นแต่หนังจอแก้ว โอกาสที่จะพบหน้าพวกเธอค่อนข้างจะลำบาก ผิดกับการถ่ายทำหนังใหญ่เดี๋ยวนี้ เวลาไม่ค่อยจะเร่งรัดเหมือนสมัยก่อน ทำให้ฉันมีเวลาปลีกตัวมาพบพวกเธอมากขึ้น"รู้สึกว่า แฟนๆของคุณส่วนใหญ่จะเป็นเด็กสาวมากกว่าเด็กผู้ชาย??"ถูกแล้วค่ะ แฟนๆในฮ่องกงนี่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กสาว ผิดกับที่ไต้หวัน ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กผู้ชาย"เคยคิดที่จะไปหากินที่ไต้หวันบ้างหรือเปล่า??"ฉันมีความรู้สึกว่า คนเรา เมื่อถึงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งแล้ว ย่อมจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาโดยอัติโนมัติ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ฉันคิดว่าคงจะมีการคิดถึงเรื่องนี้"เส้าเหม่ยฉี เป็นคนที่รู้จักฉวยโอกาสเวลาได้ดีที่สุดคนหนึ่ง เรื่องของอนาคตนั้นเป็นสิ่งที่ยังมองไม่เห็น จึงไม่จำเป็นต้องไปฝันเฟื่อง เพียงแต่มีการเตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์ในอนาคตให้ดีเท่านั้นอย่างน้อยๆ เส้าเหม่ยฉี เป็นคนที่ยอมรับความเป็นจริง ย่อมมองเห็นลู่ทางในอนาคต และตระเตรียมกับการเผชิญหน้าอย่างเต็มที่เสมอ...