ตะลอนกาญจนบุรี พักบ้านกกกอด ตระเวนเมืองมัลลิกา ย่ำเท้าบนสะพานมอญ กราบสักการะหลวงพ่ออุตตมะ สังขละบุรี






Kanchanaburi-Sangkhlaburi (9-11 มิถุนายน2560)

ทริปไม่สนดิน ฟ้า อากาศ

อากาศอบอ้าว ทำท่าไม่ค่อยจะสู้ดีนักก่อนหน้าวันที่จะเดินทาง ฝนก็ยังคงตก ตก และตก ลงมาเป็นระยะๆ รักที่จะเดินทาง กลัวอะไรกับฟ้าฝน พวกเรา 3 คน ร้อยกว่าขวบ ชิลไม่ชิล หกโมงเย็นยังอยู่ร้านกาแฟแถวนครปฐม และจะต้องมุ่งหน้าไปที่พัก บ้านกกกอดกาญจนบุรี อีก 134 กม. เอาเป็นว่าน่าจะถึงดึกอยู่ คือว่ายังสาวและสวยกันมากด้วย ก็เลยกังวลกันนิดหน่อยว่าจะถึงกี่โมงเนี่ยชิลกันขนาดนี้ ระหว่างที่ออกเดินทางต่อหลังจากดื่มกาแฟกันเสร็จ คือชิลพอละ ระหว่างเดินทางไปบ้านกกกอด เจ้าหน้าที่ได้มีการโทรมาถามประมาณว่า(พวกแก)ยังจะมากันอยู่ไม๊ก็ต้องมีการคอนเฟิร์มกันว่า ”ไปสิ” เงินก็จ่ายแล้ว เรื่องไรจะไม่ไป เพียงแต่เราไม่รีบเร่งไงชีวิตมันจะเร่งอะไรกันทุกเรื่อง คือทางบ้านกกกอดเค้านำเสนอเมนูอาหารเย็นว่ามี นี่นี่ นี่ พวกคุณจะรับไม๊ ไม่บังคับ ถ้ารับเค้าจะได้เตรียม ถ้าไม่สั่งล่วงหน้าเข้ามาไม่มีอะไรให้ทาน ไม่มีอะไรขาย ทั้งชุด 650 บาทประมาณนี้แหล่ะ พวกเราตกลงกันว่าสั่งอาหารเย็นเค้าละกัน ไม่ต้องลำบากหาตามทาง พอคุยกันเสร็จเค้าบอกว่าพวกเราน่าจะถึงประมาณสามทุ่ม สรุปเป็นจริงดังว่าถึงประมาณสองทุ่มครึ่ง ตรงหน้าเคาน์เตอร์มีอาหารอยู่ 1 สำรับคิดในใจของพวกกรุแหง แต่ก็น่ากินดีนะ ที่สำคัญกาแฟคนละแก้วที่ดื่มกันมันยังไม่ย่อยเลยอะสิ ก็เลยได้แต่ชิมๆ ตอดๆ กันคนละคำ สองคำ น่าเสียดายเป็นที่สุดรสชาติอาหารถือว่าใช้ได้ ไม่เสียอารมณ์ แต่เสียดายอาหาร เพราะเหลือเพียบเลย


อาหารเย็นของพวกเราที่ บ้านกกกอด


หน้าห้องพักยามค่ำคืน

ห้องนอนแบบ 3 คนนอนสบาย ๆ เตียงเสริมช่างแยกเป็นเอกเทศ


ป้าแกก็ไม่หวั่นถึงแม้เตียงเสริมจะถูกแยกออกมาอย่างไม่อบอุ่นเท่าไรนัก แต่ก็เก๋ไปอีกแบบ




ทั้งหมดนี้คือบรรยากาศโดยรอบของที่พักบ้านกกกอด

จริงๆ แล้วที่พักบ้านกกกอดโดยปกติจะต้องจองล่วงหน้ากันถึง 2 เดือน ไม่ใช่อยู่ๆ คิดอยากจะเดินทางก็โทรจองได้ทันที แต่คราวนี้ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมถึงฟลุ๊คขนาดนี้เพื่อนเพิ่งโทรจองก่อนวันเดินทางไม่กี่วัน เพราะทริปนี้ไม่ได้ตั้งใจเลย จนกลับถึงกทม.ละ ยัง งง ๆ ทริปนี้โผล่มาจากไหนวะเนี่ย ตอนแรก ๆ ที่เพื่อนจองห้องพักที่บ้านกกกอดได้ มีแอบคิดเหมือนกันนะว่าทำไมห้องเหลือ สาเหตุที่มีห้องเหลือคืออะไรวะ บอกจริงๆ ว่ากลัวมาก อยู่ๆ มีห้องว่าง ห้องที่ว่างมีประวัติ มีตำนานมีเรื่องเล่าอะไรกันรึเปล่า แล้วไม่ยอมบอกลูกค้า คำตอบคือทางบ้านกกกอดเค้าสร้างห้องเพิ่ม โดยที่อาจจะยังไม่ค่อยมีคนรู้ พวกเราเลยได้มาแบบฟลุ๊คๆ ก็แค่นี้แหล่ะ เฮ้อ!!!!!!!!โล่งอกไปที

หลังจากเดินเล่นเก็บภาพที่พักเรียบร้อย แวะทานอาหารเช้าที่ทางบ้านกกกอดจัดเตรียมไว้ให้ซะหน่อย บอกเลยอาหารเช้าไม่ค่อยประทับใจ เพราะเค้าจัดเตรียมเป็นชุดๆ ไว้ให้หมดแล้ว ไข่ดาวนี่แข็งมาก เหมือนกับพร็อพให้ถ่ายรูปเล่น แต่ช่างเถอะได้เวลาละออกเดินทางต่อดีกว่า เพราะโปรแกรมต่อไปของเราคือ เมืองมัลลิกาทางเจ้าหน้าที่บอกว่าห่างจากที่พักแค่ไม่ถึง 10 กิโลเมตรเอง แต่เราจำเป็นต้องรีบออกเพราะหลังจากเมืองมัลลิกา พวกเราจะต้องขับต่อไปอีก 178 กิโลเมตร โดยประมาณ เพื่อให้ถึง อ.สังขละบุรี (สะพานมอญ) อันโด่งดัง

ทั้งหมดนี้คือภาพบรรยากาศคร่าวๆ ของเมืองมัลลิกา ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่โดยปกติคนละ 250.- บังเอิญช่วงที่พวกเราไปมีโปรโมชั่นพอดิบพอดีเลย ค่าเข้าคนละ 200.- เท่านั้น ทางเมืองมัลลิกามีบริการให้เช่าชุดไทยทั้งผู้ชายผู้หญิง สำหรับผู้ที่ต้องการบรรยากาศแบบไทยๆ จะว่าไปถ้าทุกคนร่วมใจกันแต่งชุดแล้วเดินเล่นกันหมด บรรยากาศคงดูดีไม่น้อย เป็นการรำลึกอดีตได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับบางคนที่บังเอิญแต่งมาแล้วเหมือนคนสมัยก่อนมากๆ (จะดีใจหรือเสียใจดี)ถ่ายรูปออกมาก็จะดูน่ากลัวนิดนึงนะ ส่วนค่าเช่าชุดเท่าไรอันนี้ไม่ทราบจริงๆ  เพราะไม่ได้เล่นกับเค้าด้วย คือขี้เกียจ เจตนามาเยี่ยมชมดูบรรยากาศแบบไทย ๆ ที่สมัยเด็กๆ เราเคยพบเจอถ้าเป็นเด็กสมัยนี้เค้าจะสนใจบรรยากาศแบบนี้ไม๊น๊อ เพราะเค้าไม่ได้โตมากับบรรยากาศแบบนี้เหมือนพวกเรา 

ก่อนหน้าที่จะเดินทางมาเมืองมัลลิกาได้ยินจากเพื่อนพ้องที่เคยมา เล่าว่าช่วงบ่ายๆ จะมีการแสดงด้วย ใครมีเวลาก็น่าจะดี แต่สำหรับพวกเรามีเวลาไม่มากนักแต่ก็ถือว่าได้เดินจนทั่ว และได้ชื่นชมมากพอสมควร แต่จะให้เต็มอรรถรสคงจะต้องแวะกลับมาใหม่อีกครั้งสำหรับสถานที่แห่งนี้

หลังจากนั้นพวกเราต้องรีบออกเดินทางเพื่อไปสังขละบุรีต่ออีกเกือบ 200 กิโลเมตร และทางก็คดเคี้ยวขึ้นเขาลงเขาต้องใช้เวลามากกว่าทางปกติแน่นอน สมัยนี้ทางไปสังขละบุรีถือว่าดีมาก ๆ แล้วทางเรียบ ถนนยังไม่เสีย ก่อนหน้านี้เพื่อนๆ ที่ชอบเดินทางมาสังขละบุรีเล่าว่าใช้เวลาหลายชั่วโมงมากทั้งๆ ที่ระยะทางไม่ได้ห่างไกลมากมายเลยจากตัวเมืองกาญจนบุรี ถนนไม่ดี รถวิ่งได้ช้ามาก ๆ เอาเป็นว่าถ้าใครอยากจะมาสังขละบุรี ณ วันนี้สบายใจได้ เพียงแต่ต้องใจเย็นๆ กับบรรดารถที่ขับช้าถึงช้ามากแต่ริอยากจะวิ่งขวากันนิดนึง ก็ไม่รู้ว่าเค้ารู้กันไม๊กระจกส่องหลังมีประโยชน์ยังไง

และแล้วก็มาถึงที่พักประมาณซักบ่ายๆ เกือบเย็นได้ เพราะฝนตกตลอดทาง ถึงที่พักก็ทุลักทุเลนิดหน่อย ต้องขนกระเป๋าท่ามกลางสายฝน ร่มน่ะมีแต่สมัยนี้ร่มธรรมดาจะเอาอยู่ไม๊ ขนาดว่าทางที่พักให้ยืมร่มที่ใหญ่ประมาณตามร้านอาหารข้างทางแบบนั้นยังเกือบไม่รอด สรุปกางร่มกับไม่กางร่มเปียกต่างกันนิดหน่อย เพื่อนคนที่จองบอกว่าหาที่พักที่ใกล้สะพานมอญไม่ได้เลยเต็มหมดทุกที่ บางที่เต็มจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมเลย ได้ที่พักที่ค่อนข้างไกลออกมานิดนึง แต่ก็ไม่ได้ไกลมากมายอะไรนัก เอาวะก็ยังดีกว่าไม่มีที่นอน กว่าจะถึงก็เย็น เช้าก็ต้องออกมาอีกละนอนไหนก็นอนเถอะ ปลอบใจตัวเองไป

สะพานมอญ เมื่อมองจากร้านอาหารซองกาเลียช่วงยามเย็น

เนื่องจากฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจเท่าไรนัก ตกกันทั้งวันไม่มีทีท่าว่าจะหยุดถึงเวลาต้องตัดสินใจลุยก็ลุย ไปมันทั้งที่ฝนตก ๆ นี่แหล่ะแวะทานอาหารร้านที่คิดว่าวิวดีที่สุด นั่งติดขอบเลย เห็นสะพานมอญชัดเชียว หมอกก็ลงวิวช่างสวยงามเป็นที่สุด แต่หลังจากที่พนักงานหยิบผ้าขี้ริ้วเพื่อมาเช็ดโต๊ะเท่านั้นแหล่ะ คือว่ามึงเอ๊ย ทำไมไม่ซักผ้าขี้ริ้วกันบ้างหรือไง มันเหม็นแบบกลิ่นติดโต๊ะ ติดจมูกจนต้องหาทิชชู่มารองแขน รองข้าวของที่ติดไปด้วย วิวดีแต่ออกมาแบบนี้ จะไหวไม๊

ลืม ๆ มันไปเรื่องกลิ่นผ้าขี้ริ้วอย่าเรื่องมากได้แต่บอกตัวเองแบบนั้น ถึงเวลาอาหารมาเสริฟ หนึ่งในนั้นมีต้มยำไก่ดูแล้วเนื้อนุ่มน่ารับประทานเป็นที่สุด ตักปุ๊ป กัดปั๊ป เหม็นโคตร ใช่เนื้อไก่นี่แหล่ะ คือร้านนี้ไม่มีคนสั่งเมนูไก่กันเลยหรือ เก็บมานานกี่วันแล้ววะเนี่ย คือมันควรจะอยู่ในถังขยะมากกว่าที่จะอยู่ในกระเพาะลูกค้านะ เสียดายหรืออะไร แต่ที่แน่ๆ คือเสียอารมณ์สุดๆ พอ พอ พอ เลิกกิน สรุปสุดท้ายสำหรับร้านอาหารแห่งนี้ ที่ดีที่สุดก็คือวิวสะพานมอญแค่นั้นจริง ๆ



เช้าวันรุ่งขึ้นต้องออกมาเดินสะพานมอญกันซะหน่อยจะดูแต่วิวมันก็กระไรอยู่ ละแวกนี้จะมีแม่ค้าออกมาขายของสังฆภัณฑ์กัน ชุดเล็กชุดใหญ่ว่ากันไป เพราะจะมีพระออกมาบิณฑบาตรอยู่โดยรอบ พวกเราก็พร้อมใจที่จะใส่บาตรร่วมกันไม่วายชาติหน้าได้ออกเดินทางร่วมกันอีก

อำเภอสังขละบุรี เป็นชายแดนไทย-พม่า หลังจากที่พวกเราได้เดินข้ามสะพานมอญซึ่งมีความยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร เพื่อไปอีกฝั่งนึงเราก็จะเจอกับผู้คนและวัฒนธรรมที่มาจาก 3 เชื้อชาติ คือ ไทย มอญ และกะเหรี่ยงจะมีร้านค้ามากมาย ร้านโจ๊ก ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายของที่ระลึกเล็ก ๆ น้อย ๆ ถามว่าโจ๊กอร่อยไม๊ตอบเลยว่าธรรมดา แต่ถือซะว่ากินบรรยากาศก็แล้วกัน ส่วนโรตีทางคนขายก็จะคอยตะโกนเหลือแค่สิบแผ่นแล้วนะ หมดแล้วหมดเลยได้ยินแบบนี้มีหรือจะไม่ยอมเป็นเหยื่อทางจิตวิทยา จัดไป สุดท้ายได้ยินคนขายแซวกันเอง อีกละ เหลือแค่สิบแผ่นอีกละ รสชาติพอใช้ได้ไม่ถึงกับปลื้ม ส่วนน้ำชาที่เอามาเสริฟสำหรับทุกโต๊ะ ถ้าไม่อยู่ในกาน้ำชาคงจะบอกไม่ได้ว่านี่คือน้ำชา กลิ่นซักนิดก็หามีไม่ ระหว่างนั้นฝนยังตกลงมาเป็นระยะๆ เหมือนเคย ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน พวกเราเลยต้องตัดสินใจลุยฝ่าฝนเพื่อไปขึ้นรถให้ได้เพราะที่หมายต่อไปคือวัดวังก์วิเวการาม หรือวัดหลวงพ่ออุตตมะ


วัดวังก์วิเวการาม หรือวัดหลวงพ่ออุตตมะโดยทั่วไปชาวบ้านจะเรียกว่าวัดหลวงพ่ออุตตมะ ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบมอญตั้งอยู่บนเนินสูงบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ เป็นจุดที่แม่น้ำ 3 สายไหลมาบรรจบกัน คือแม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี

หลังจากที่ได้กราบสักการะหลวงพ่ออุตตมะเป็นที่เรียบร้อยพวกเราทั้ง 3 ก็ได้เวลาเดินทางกลับกรุงเทพฯ ระหว่างทางแวะดื่มกาแฟกันซะหน่อยยืดเส้น ยืดสายบ้าง อย่าไปเร่งมากชีวิตน่ะ อยู่กรุงเทพอะไร ๆ ก็เร่งไปซะหมดแล้ว ถึงเวลาเดินทางพักผ่อนก็ต้องให้เต็มที่และแวะทานข้าวกันอีกซักมื้อที่ร้านครัวผักหวาน เห็นเพื่อนบอกที่นี่เป็นร้านใหญ่ อาหารโอเค เป็นธรรมดาเมื่อเดินทางมาสถานที่ต่าง ๆ ต้องแวะชิม แวะกินของท้องถิ่นกัน ทริปนี้ถือเป็นการใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ถ้าเป็นสมัยเมื่อหลายปีก่อน หน้าฝนแบบนี้อะเหรอ ต้องใช้คำว่าอย่าฝันว่าจะออกจากกะลาเด็ดขาด เหตุผลแค่เพียงไม่อยากเหนอะหนะ

อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมสวยงามเสมอ ก็เพราะฝนมิใช่หรือ ที่ทำให้เราได้มีโอกาสเห็นหมอกงาม ๆ เช่นนี้

M i E คนอยากเล่า (มิถุนายน 2560)




Create Date : 25 มิถุนายน 2560
Last Update : 25 มิถุนายน 2560 16:00:44 น.
Counter : 4035 Pageviews.

4 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณคนผ่านทางมาเจอ, คุณtuk-tuk@korat, คุณKavanich96

  
สวัสดีค่ะ..

บ้านพักเป็นธรรมชาติดี

ยังไม่เคยเข้าเมืองมัลลิกาเลย..

โหวตให้เลยคะ

patthanid Travel Blog
ปรัซซี่ Review Food Blog
สมาชิกหมายเลข 3944942 Klaibann Blog
Maeboon Travel Blog
NickyOkawa Business Blog
newyorknurse Food Blog
ไมตรีและมิตรภาพ Hobby Blog
Insignia_Museum Hobby Blog
คนอยากเล่า Travel Blog



โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 25 มิถุนายน 2560 เวลา:13:01:26 น.
  
ขอบคุณที่แบ่งปัน
โดย: Kavanich96 วันที่: 26 มิถุนายน 2560 เวลา:2:25:44 น.
  
ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆค่ะ
โดย: Deena IP: 58.8.155.247 วันที่: 26 มิถุนายน 2560 เวลา:20:10:33 น.
  
สอบถามหน่อบค่ะ วันที่ 24,25 ต.ต.60 เปิดไหมค่ะ
โดย: ปลาวาฬ IP: 1.46.175.134 วันที่: 18 ตุลาคม 2560 เวลา:16:38:32 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนอยากเล่า
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 34 คน [?]



Group Blog
มิถุนายน 2560

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30