บ้านไม้สามัญของนักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่
ฤดูหนาว ปลายปีที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมที่มีโอกาสบินลัดฟ้า มาเยี่ยมเยือน กรุงฮานอย ด้วยตัวเองเป็นช่วงเวลาสั้นๆ
เมื่อได้ใช้เวลาสักครู่ตรองนึกทบทวนถึงความทรงจำต่อสถานที่ ที่ได้ไปเยี่ยมเยือนมา หนึ่งในสถานที่ซึ่งประทับใจที่สุด ผมเลือกโดยไม่ลังเลเลยว่าย่อมเป็น บ้านไม้สองชั้นหลังสมถะเรียบง่าย ที่พำนักอย่างเป็นทางการของ โฮจิมินห์บุรุษผู้เปรียบดั่งบิดาของชาวเวียดนามทั้งชาตินั่นเอง..
ราว ๑๗ ปีที่แล้วผมมีโอกาสได้อ่านชีวประวัติของ บุรุษนักปฏิวัติเวียดนามท่านนี้ อย่างจริงจังผ่านหนังสือสารคดีชื่อสั้นๆ ว่า ลุงโฮที่เขียนเรียบเรียงอย่างสุดฝีมือโดย วิลาศ มณีวัตนักเขียนอาวุโสของเมืองไทย ประทับใจกับฉากชีวิตที่หวือหวา แสนพิสดารและเสี่ยงภยันตรายร้อยแปดของบุรุษร่างเล็ก ผอมบาง เครายาวขาวผู้มีจิตใจเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์รักชาติมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะช่วยเหลือชาวเวียดนามของท่านให้หลุดพ้นจากการกดขี่ไร้มนุษยธรรมจากเจ้าอาณานิคมอย่าง ฝรั่งเศส
ใครที่ได้ศึกษาประวัติชีวิตโฮจิมินห์ หรือ ลุงโฮ มาบ้าง ย่อมต้องชื่นชมคุณสมบัติหนึ่งของท่าน ที่ดำรงมาตลอดนับตั้งแต่ยังเป็นนักปฏิวัตินิรนามอยู่ในเขตป่าเขาใช้ชีวิตเดินทางไปเผยแพร่อุดมการณ์การเมืองไปทั่วยุโรป เอเชียแม้กระทั่งเมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งเวียดนามเหนือ แล้วก็ตามนั่นคือแง่มุมชีวิตที่แสนสมถะ เรียบง่าย ติดดิน และมีความเห็นอกเห็นใจเข้าถึงผู้คนชั้นล่างอย่างแท้จริง!
ความเรียบง่ายในการใช้ชีวิตของลุงโฮ สะท้อนออกมาจาก บ้านพักอาศัยของท่านครับ ที่ นครพนม ผมมีโอกาสได้เห็น บ้านพักของลุงโฮ ที่ตั้งอยู่บ้านนาจอก หลายต่อหลายครั้งเป็นบ้านไม้แบบชาวสวน ร่มรื่นไปด้วยแปลงผัก สวนผลไม้ ที่ ลุงโฮ หลบลี้มาอาศัยสั้นๆหลายช่วงเวลา เพื่อบ่มเพาะแนวคิดปฏิวัติร่วมกับ ชาวญวนพลัดถิ่นผู้รักชาติเมื่อครั้งที่ลี้ภัยจากการคุกคามของฝรั่งเศสมายังดินแดนสยาม
แม้กระทั่งบ้านพักรับรองอย่างเป็นทางการของ ลุงโฮ กลางกรุงฮานอยซึ่งท่านได้พำนักภายหลังที่ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศแล้ว ก็กลับมีความเรียบง่ายธรรมดาสามัญไม่ต่างไปเลย
บ้านโฮจิมินห์ ตั้งอยู่ภายในอาณาบริเวณกว้างใหญ่ด้านหลังทำเนียบประธานาธิบดี และจัตุรัสบาดิงห์ ในบรรยากาศของอุทยานพรรณไม้ที่คล้ายดังป่ากลางเมือง ตัวบ้านซ่อนอยู่ท่ามกลางร่มเงาไม้ใหญ่ที่แผ่ครึ้มปกคลุมมีสระน้ำกว้างทอดตัวอยู่หน้าบ้านพัก เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่งดงามน่าอยู่ที่สุดใน กรุงฮานอย ก็ย่อมได้ครับ
จริงๆแล้วแต่แรก รัฐบาลเวียดนาม ได้สร้างทำเนียบหลังรโหฐาน เพื่อเป็นเกียรติให้แก่ท่านแต่ ลุงโฮ ไม่เคยพิสมัยกับการอาศัยในบ้านปูนที่หรูหราใหญ่โตเลยท่านจึงลงมือออกแบบบ้านหลังเล็กๆ แสนเรียบง่ายแบบชาวชนบทขึ้นใหม่ด้วยตัวเองและท่านก็อาศัยอยู่ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๕๘ ๑๙๖๙ ซึ่งเป็นช่วงปีสุดท้าย ที่ ลุงโฮ จากโลก และชาวเวียดนามไปในวัย ๗๙ปี
บ้านหลังนี้ เป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงชั้นล่างโปร่งโล่งไม่มีผนัง ด้านนอกมีบันไดขึ้นสู่ชั้นบน ที่กั้นแบ่งเป็นห้องทำงาน ห้องสมุด และห้องนอนเล็กๆ เพียงห้องเดียวของท่าน ผมได้เห็นเฟอร์นิเจอร์เครื่องเรือนชิ้นดั้งเดิมเพียงไม่กี่ชิ้น ตั้งวางภายในห้องเหมือนในสมัยที่ ลุงโฮยังมีชีวิตอยู่เฉกเช่นเดิมทุกประการ ซึ่งล้วนบ่งบอกถึงความสมถะ เรียบง่ายปราศจากความหรูหรา ฟุ่มเฟือยใดๆ ทั้งสิ้น
ท่ามกลางความสมถะของบ้านไม้หลังน้อย ที่มีธรรมชาติสวยอยู่รายล้อมนี่แหละครับ ที่ ลุงโฮท่านใช้เป็นที่ประชุม ปรึกษาข้อราชการสำคัญในการบริหารประเทศมาแล้วมากมายใต้ถุนโล่งของบ้านยังเคยใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ผู้นำสำคัญจากทั่วโลก และที่รัฐบาลสหรัฐฯ คงไม่อาจลืมได้เลยคือ สถานที่นี้แหละที่ โฮจิมินห์ได้ใช้วางแผนยุทธการณ์สู้รบร่วมกับเหล่าทหารเสนาธิการคนสำคัญของกองทัพเวียดนามเหนือจนสามารถบุกตี กรุงไซ่ง่อน จนแตก แล้วบดขยี้ กองทัพอเมริกันอันเกรียงไกรให้พ่ายแพ้อย่างยับเยินหมดรูปอย่างที่สุด
นี่คือความทรงจำล้ำค่าที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังบ้านไม้ประวัติศาสตร์หลังนี้ ที่ครั้งหนึ่ง บุรุษสามัญชนผู้มีชีวิตแสนยิ่งใหญ่ได้พำนักอยู่ และผู้คนทั่วโลกย่อมไม่อาจลืมเลือนชื่อของ โฮจิมินห์ลงได้เลยตราบเท่านาน