un'estate italiana : Day 7 หอเอนแห่งเมืองปิซ่า
Day 7 / 15 เมษายน

เราตื่นเช้าเหมือนเคยเพราะวันนี้ต้องเดินทางไปหอเอนเมืองปิซ่า หลังอาหารเช้าและทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วเราจึงออกเดินทางไปสถานีรถไฟเช่นเคยโดยเดินเท้าไปประมาณ 10นาทีจากโรงแรม เป้าหมายคือเราต้องขึ้นหอเอนในเวลาที่เราจองเอาไว้เพราะเขาจำกัดคนขึ้นในแต่ละรอบ (ไม่งั้นก็พัง)



มื่อไปถึงที่สถานีเราจึงมองหาตู้กดตั๋วอัตโนมัติซึ่งจริงๆ เมื่อวานหลังอาหารได้แวะมาดูที่สถานีแล้วว่ามีรอบไหนบ้างที่เหมาะสำหรับการเดินทางไปให้ทันกำหนดเวลา สรุปค่ารถไฟไป Pisa ค่าตั๋ว 8euro x 2 (ไปกลับ) = 16euro เป็นตั๋วแบบไม่ระบุที่นั่ง


เมื่อได้ตั๋วแล้วเราจึงแยกย้ายไปซื้ออาหารจำพวกแซนวิชในร้านในสถานีรถไฟเพราะกลัวว่าสถานที่ท่องเที่ยวจะเจออาหารแพง เมื่อได้ของกินพร้อมแล้วจึงรีบไปเดินหาชานชาลาซึ่งใกล้เวลามากแล้ว กว่าจะตามตัวกันเจอก็เกือบไม่ทันรถไฟ เราออกจากฟลอเร้นส์ตอน 9.30น. อากาศวันนี้ค่อนข้างอุ่นแดดดีเหมาะแก่การถ่ายภาพ


บรรยากาศถนนจากสถานีไปจัตุรัสหอเอน


เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. พอถึงสถานีที่ปิซ่าเราก็เดินเท้าต่อไปที่หอเอน ระยะทางประมาณ 2กม.ระหว่างทางมีข้ามแม่น้ำสายหนึ่ง (แต่ไม่สวยเท่าที่ฟลอเร้นส์) กำหนดการเข้าหอเอนเราได้จองมาจากในเน็ทซึ่งกำหนดเวลาแน่นอนเราจึงเร่งฝึเท้านิดหน่อยเพราะไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ผ่านไปราว 20 นาทีเราจึงมาถึงหอเอนที่เลื่องชื่อของเมืองปิซ่า นักท่องเที่ยวมากมายยืนถ่ายรูปและทำท่ายอดฮิต (ท่าดันหอเอน)



ตอนเดินมาถึงด้านหน้ามีฝรั่งมาชวนลงชื่อคัดค้านการทารุณสัตว์อะไรซักอย่างจำไม่ได้ พร้อมหยิบป้ายชื่อให้ดู ผมก็ไม่ทันดูใบลงชื่อให้ละเอียดเพราะคิดว่าไม่มีอะไรก็เลยเขียนชื่อนามสกุลลงไป ดันไม่ได้มองตารางว่าช่องสุดท้ายมันเขียนว่า บริจาคกี่ยูโร พอมาเจอตรงนี้เลยคิดว่าโดนไถแล้วกู สรุปหยิบให้มันไป 2euro แม้มันจะบอกว่าน้อยไปซัก 5euro มีไหม แต่เราว่าเงินหมดแล้วและรีบเดินหนีไป


หอเอนเมืองปิซ่า หรือ LeaningTower of Pisa มีชื่อภาษาอิตาเลี่ยนว่า Torre pedente di Pisa เป็นหอระฆังของมหาวิหารของเมืองปิซ่าและเป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่อันดับ 3 ในจัตุรัส Piazza del Duomo (เก่าแก่ต่อจากมหาวิหารและหอล้างบาป) หอนี้ตอนสร้างแรกๆ ก็ไม่ได้เอียงนะครับ แต่ระหว่างที่สร้างมันเริ่มเอียงเล็กน้อยและในระยะ10ปีมันก็เอียงเพิ่มขึ้นก่อนจะก่อสร้างเสร็จเนื่องจากฐานรากไม่แข็งแรงพอ 

ได้มีการซ่อมบำรุงในระหว่างปี 1990-2001เพื่อรักษาไม่ให้มันทรุดไปกว่านี้จนทำให้ปัจจุบันหอเอนเมืองปิซ่าเอียงประมาณ3.99องศา (ก่อนซ่อมจะเอียงประมาณ 5.5องศา)



หลังรวมพลได้แล้วเราจึงเดินไปที่หอเอนที่นี่ต้องฝากกระเป๋าซึ่งเราก็ไปฝากไว้ในตู้ล๊อกเกอร์มีคนเฝ้าและมีระบบที่ปลอดภัยแล้วจึงไปต่อแถวเพื่อขึ้นตามรอบที่กำหนด เมื่อเข้าไปในหอเอนจะเป็นหอมีช่องที่มองทะลุขึ้นไปถึงข้างบนเจ้าหน้าที่เริ่มบรรยายประวัติศาสตร์ประมาณ 5 นาทีหลังจากนั้นทุกคนจึงเดินไต่ระดับขึ้นบันไดบนไปยังยอดสูงสุด

เนื่องจากอาคารนี้มันเอียงบางจุดเราจะเอียงไปซ้าย บ้างขวาหรือเอนไปข้างหน้าและหลังแล้วแต่ว่าเราเดินวนมาอยู่ตรงจุดไหนของความเอียง กว่าจะถึงยอดก็เล่นเอาทุกคนเหนื่อยและร้อนทีเดียวใครไม่ค่อยได้ออกกำลังกายก็อาจหอบได้ (เห็นฝรั่งตัวใหญ่ๆ ยังยืนหอบหายใจ)


ปล่องในหอเอนที่มองขึ้นไปได้ถึงด้านบนสุด

หอระฆังนี้สูงประมาณ 7 ชั้น น้ำหนักประมาณ 14500 ตันต้องขึ้นบันไดเกือบ 300ขั้นกว่าจะถึงชั้นบนสุด ที่ด้านบนนี้จะเป็นระเบียงที่เดินวนได้รอบให้ชมวิวทิวทัศน์และถ่ายรูป แต่ใครที่คิดจะเอาของมาหย่อนแบบที่กาลิเลโอทำในอดีตนั้นคงไม่ได้นะครับ

วิวจากบนหอเอน

เมื่อครบกำหนดเวลาที่เขาตั้งไว้ (ประมาณ 15นาที)เจ้าหน้าที่ก็มาไล่ให้พวกเราลงจากหอเพราะมีคิวต่อไปเตรียมขึ้นมาชมบ้างเมื่อลงจากหอเอนแล้วเราจึงเดินไปเข้ามหาวิหารแห่งเมืองปิซ่า Pisa Cathedral ภายในบริเวณจัตุรัสต่อ

มหาวิหารแห่งเมืองปิซ่า Pisa Cathedral




ภายในมหาวิหารที่วิจิตรตระการตา


ดูลีลาแต่ละคนครับ (credit : mickey)

ตามประวัติแล้ว มหาวิหารนี้สร้างตั้งแต่ประมาณปี 1093ในสไตล์ Romanesque โดยสถาปนิกนาม Buscheto(ถูกฝังไว้ที่ด้านหน้าทางเข้าบริเวณ.ซุ้มโค้งด้านซ้ายมือซึ่งบริเวณด้านหน้าของมหาวิหารสร้างเสร็จโดยลูกศิษย์ของเขาเองนาม Rainaldo มหาวิหารนี้ถูกไฟไหม้ในปี 1595และทำลายงานศิลปะยุคกลางส่วนใหญ่แต่ก็ได้มีการจ้างศิลปินเก่งๆ ในยุคเรเนอซ้องค์มาซ่อมและตกแต่งใหม่


ลีลาการถ่ายภาพ "แบกหอเอน" 

(credit : mickey)

หลังจากเดินชมวิวโดยรอบแล้วเราจึงกลับมาเอากระเป๋าที่ฝากไว้และหาทำเลที่นั่งเพื่อกินอาหารเที่ยงที่ซื้อมาจากฟลอเร้นส์ ตอนแรกว่าจะนั่งบนสนามหญ้าแต่มันชื้นๆ หน่อย เลยไปลงเอยที่ข้างหลังโบสถ์ที่เพิ่งเข้าไปก่อนนี้ เมื่ออิ่มแล้วจึงเดินเล่นถ่ายรูปโดยรอบอีกหน (ไหนๆ ก็เดินทางมาไกล) เมื่อถ่ายจนพอใจแล้วจึงแวะซื้อของที่ระลึกอีกหน่อยและออกเดินเท้ากลับสู่สถานีรถไฟเพื่อเดินทางกลับฟลอเร้นส์รถไฟออกตอนบ่าย 2 ถึงบ่าย 3


สภาพบนรถไฟตอนนี้อากาศร้อนมากด้านที่เราได้นั่งก็มีแดดเข้าทำให้อากาศอบอ้าวมากบนรถจนต้องเปิดหน้าต่างให้ลมพัดเข้ามา หลายคนเหนื่อยจากการเดินและอากาศที่ร้อนจึงงีบหลับไปไม่นานนักเราก็กลับมาถึงฟลอเร้นส์ หลังจากนี้จะเป็นการเก็บจุดท่องเที่ยวในเมืองฟลอเร้นส์เป็นวันสุดท้ายก่อนย้ายไปเวนิสในวันพรุ่งนี้

ทางเดินในเมืองฟลอเร้นส์

เราเดินจากสถานีรถไฟไปถึงตลาด Mercato Nuovo (ตลาดหมูป่า) ประมาณ 5โมงเย็นแล้ว ซึ่งตัวตลาดอยู่ไม่ไกลจากศาลากลางPalazzo Vecchio นัก จากข้อมูลที่มีเรามาเพื่อดูเครื่องหนังตามคำแนะนำของหลายๆคนตามเวปบอร์ด แต่พอได้มาเดินดูจริงๆ กลับรู้สึกธรรมดาและผิดหวังเล็กน้อย


บริเวณที่มีรูปหล่อหมูป่ามีคนไปถ่ายรูปกันเยอะว่ากันว่าต้องเอาเหรียญไปวางที่ปากของหมูป่าแล้วให้มันร่วงไปในน้ำด้านล่างแปลว่าจะได้กลับมาอีกครั้ง (ก็ว่ากันไป) มีฝรั่งรัสเซียมาดูพวกเราทำแล้วก็งงๆเราก็พยายามอธิบายให้เขาทำตาม สื่อสารกันคนละภาษาแต่ก็มั่วๆ กันไปได้

เอาเหรียญวางไว้บนปากหมูป่าให้หล่นลงไปในตะแกรงน้ำด้านล่าง


หลังจากถ่ายรูปกับหมูป่าแล้ว มิกและด้วงก็เดินดูของที่ระลึกต่างๆ ผมและผึ้งก็ไปเดินวนๆ ดูเครื่องหนังในตลาดสุดท้ายเราเลยมารวมตัวกันและเตรียมเดินทางไปที่อื่นต่อ จำได้ว่าอีกฝั่งของแม่น้ำ Arno ยังมีที่สวยๆ อีกระหว่างที่กำลังเดินดูอะไรอยู่แถวนั้นด้วงก็เจอคนดำตัวใหญ่ๆ เอาสายรัดข้อมือมายื่นขายในราคา 2euro แต่มันไม่สนใจคนดำจึงเอามาวางบนมือแล้วทำท่าเคร่งขรึมจริงจังว่าจะต้องซื้อ (ตัวมันใหญ่) พอพวกเราหันไปเจอจึงรีบไปช่วยกันบอกปัดแล้วรีบเดินหนีออกมา

แผนผังเมืองบริเวณด้านใต้ของแม่น้ำ Arno

สรุปว่าหมดโปรแกรมตามที่เราวางเอาไว้ (เพราะตลาดหมูป่ามันไม่มีอะไรโดดเด่น) เราจึงสรุปกันว่าจะเดินเล่นไปทาง Palazzo Vecchio แล้วทะลุไปด้านพิพิธภัณฑ์ Uffizi และเดินต่อไปที่สะพาน Ponte Vecchio แล้วเดินข้ามแม่น้ำ Arno ไปอีกฝั่งซึ่งจะมีแหล่งท่องเที่ยว (ดูจากแผนที่) 


เราเดินต่อไปอีกไม่ไกลก็มาถึง Palazzo Pitti ซึ่งเป็นปราสาทในยุคเรเนอซ้องค์ย้อนกลับไปถึงประมาณปี1458 ซึ่งเคยเป็นบ้านของนายธนาคารนาม Luca Pitti ตอนนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่สุดในฟลอเร้นส์ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคนมาเที่ยวกันพอสมควร 



ลานหน้าพิพิธภัณฑ์ Palazzo Pitti (credit : siriwan)

อย่างไรก็ตามเราไม่ได้เข้าไปด้านในเนื่องจากปิดแล้ว (6โมงเย็น แต่แดดยังแรง) เลยได้แค่ถ่ายรูปกันบนเนินด้านหน้าและมุ่งหน้าสู่สถานที่สุดท้ายก่อนจะมืดค่ำ


เราเดินลัดเลาะไปตามถนนจนมาถึงจัตุรัส Piazza Santo Spirito ซึ่งอยู่ด้านหน้าของมหาวิหารแห่งพระจิตร Basilica di Santo Spirito (Basilica of the Holy Spirit) ซึ่งบรรยากาศของลานกว้างมีต้นไม้เป็นที่นั่งพักผ่อน ด้านข้างมีร้านอาหารน่านั่งอยู่หลายร้าน เราจึงคิดว่าจะหาที่นั่งพักให้หายเมื่อย โดยแวะซื้อเบียร์จากร้านโชห่วย (ที่อิตาลีเรียกว่า ทาบาคคี่ (Tabacchi)) พร้อมขนมขบเคี้ยวมานั่งจิบและกินหน้าโบสถ์ (เจริญละ)


กินเบียร์หน้าโบสถ์ อืมมม 

นั่งจิบเบียร์กันคนละขวดใหญ่ ตากลมหนาวจนแดดเริ่มจะหมดเราจึงออกเดินเพื่อกลับที่พักเมื่อเดินทะลุจากโบสถ์นี้มาจึงพบกับแม่น้ำ Arno และสะพาน Ponte Santa Trinita ซึ่งในขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าพอดี พวกเราจึงหยุดถ่ายภาพบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินของเมืองฟลอเร้นส์ที่สวยงามแห่งนี้ที่ช่างสวยงามจับใจ

บนสะพาน Ponte Santa Trinita ฉากหลังเป็นสะพาน Ponte Vecchio ที่โด่งดัง (credit : siriwan)

ถ่ายรูปกันบนสะพานจนเพียงพอแล้วเราจึงเดินเท้ากลับที่พัก เย็นนี้เราแยกกันกินอาหารเช่นเมื่อวาน ด้วงอยากไปลองกินอาหารท้องถิ่นกับมิกกี้ส่วนพวกผมกลับไปกินอาหารจีนร้านเดิม แต่วันนี้ดันสั่งเยอะไปหน่อยจึงกินจนแน่นท้อง ตอนจะกลับแวะซื้อผลไม้ร้านแขก แต่ด้วยความอิ่มเลยไม่ได้กินผลไม้อาบน้ำและนอนพักเติมพลัง ดูบอลยุโรปทางทีวีคู่ PSG เปิดบ้านพ่่ายให้กับบาซ่า 1-3 และเตรียมตัวเดินทางสู่เมืองเวนิสในวันพรุ่ง




Create Date : 02 มิถุนายน 2558
Last Update : 8 มิถุนายน 2558 22:29:30 น.
Counter : 1932 Pageviews.

2 comments
  
เสียดายไม่ได้เข้า pitti
โดย: Beeฺbee IP: 94.23.252.21 วันที่: 3 มิถุนายน 2558 เวลา:0:14:01 น.
  
กลางวันร้อน เย็นหนาว แต่งตัวลำบากครับ
โดย: De Rossi IP: 114.109.240.107 วันที่: 23 สิงหาคม 2558 เวลา:10:46:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

biggg
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



my everyday life on EARTH

New Comments
มิถุนายน 2558

 
1
3
4
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
30
 
 
All Blog