All Blog
<Whisper of the Heart> ความรัก ความฝัน กับคนที่เข้าใจ
[Spoiled Alert!!!]



"I'm no man's burden! I want to be of use! "

- Whisper of the Heart (1995)


เสียงกระซิบจากคนรอบข้างนั้นบางครั้งมันก็เบาเกินกว่าที่ตัวเราจะจับใจความสำคัญได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามทีเสียงกระซิบนั้นเป็นเสียงที่หัวใจของเราเองนั้นพร่ำร้อง เสียงที่ได้ยินนั้นกลับดังก้องกังวานอยู่ภายในโสดประสาทอย่างที่เรานั้นไม่อาจที่จะละเลยหรือเพิกเฉยต่อเสียงเหล่านั้นได้เลย เสียงกระซิบจากหัวใจถ้าคิดดีๆแล้วมันเปรียบเสมือนเป็นเพื่อนแท้คนหนึ่งที่หลบซ่อนอยู่ในซอกหลืบภายในจิตใจของผู้รับฟัง คอยตักเตือน คอยกระตุ้น รวมไปถึงคอยชี้นำให้ตัวเรานั้นใช้ชีวิตในปัจจุบันกาลอย่างมีความหมาย มีความสุขไปกับสิ่งสวยงามรอบๆกายของเรา สิ่งที่บางครั้งอาจถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย เสียงเหล่านั้นคอยย้ำเตือนให้เราหยุดเดินตามชีวิตที่แสนจะน่าเบื่อและวุ่นวาย หยุดนิ่งและเปิดใจที่จะสัมผัสความงดงามต่างๆรอบกาย ซึมซับและรับรู้ถึงการมีตัวตนของสิ่งเหล่านั้น พร้อมกับตะโกนบอกกับตนเองเบาๆว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นตัวเราช่างโง่เขลาเพียงใดที่มองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป และที่สำคัญที่สุดก็คงเป็นการย้ำเตือนถึงสิ่งที่อาจจะถูกลืมไปนานแสนนานแต่มันก็ยังไม่สายเกินไปที่จะคว้ามันกลับมาด้วยมือสองมือ สิ่งนั้นคือ ‘ ความฝัน ’


“ความฝัน ความรัก และ เสียงเพลงอันไพเราะ” ถ้าจะให้นิยามถึงความหมายของสามคำสั้นๆทีว่ามานี้อย่างพร้อมเพรียงกันให้จบภายในคำเดียว “จิบลี”คงเป็นคำตอบสุดท้าย แต่ถ้าเอ่ยถามถึงบทเพลงคันทรีในตำนาน จากเสียงร้องของ John Denver อย่างบทเพลงที่มีชื่อว่า “Take Me Home,Country Roads” รวมไปด้วยเป็นคำที่สี่แล้วนั้น แน่นอนว่าคำตอบเพียงหนึ่งเดียวที่ทุกคนคงตอบได้ด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ คงจะเป็นคำไหนไปไม่ได้นอกจาก “Whisper of the Heart” นั่นเอง




Whisper of the Heart เป็นเรื่องราวที่ดำเนินเรื่องหลักๆโดยเด็กสาวคนหนึ่งชื่อ ชิซูกุ เด็กสาวชาวญี่ปุ่นธรรมดาๆคนหนึ่ง เธอไม่มีอะไรที่โดดเด่นเหนือคนอื่นเป็นพิเศษ ถ้าจะให้อธิบายถึงอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของเธอนั้น ก็คงเป็นเรื่องการหลงใหลในการอ่านหนังสือของเธอ ถ้าจะพูดง่ายๆก็คือเธอเป็นหนอนหนังสือนั่นเอง อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ตัวเธอนั้นโดดเด่นเหนือเด็กๆรุ่นเดียวกันก็คงเป็นเรื่องการเรียบเรียงภาษาที่เธอใช้มันในการดัดแปลงเพลง “Take Me Home,Country Roads” เพื่อใช้ในการร้องประสานเสียงในงานโรงเรียน ซึ่งอีกหนึ่งในความลุ่มลึกของ Whisper of the Heart นั้นก็คือการบรรยายเรื่องราวต่างๆ ผ่านเนื้อเพลงทำนองของ“Take Me Home,Country Roads” ที่โดนดัดแปลงเนื้อหาไปตามความรู้สึกนึกคิดของตัวชิซูกุเอง อีกซ้ำเพลงที่เธอแปลงนั้นยังมีอีกเพลงทำนองเดียวกันชื่อ “Take Me Home,Concrete Roads” เพลงที่เธอเรียบเรียงแต่งขึ้นมาเล่นๆ ขำๆ แต่ในความขำๆนั้น มันก็สามารถสะท้อนถึงความแตกต่างถึงวิถีการใช้ชีวิต รวมไปถึงบรรยายถึงบรรยากาศสถานที่ระหว่างคนในเมืองและคนชนบทได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆเลยมาอธิบายให้วุ่นวาย เพียงแค่เสียงเพลงถูกร้องออกมา ทุกอย่างถูกอธิบายออกมาผ่านภาษาที่ผ่านการสังเคราะห์และร้อยเรียงออกมาในรูปแบบร้อยกรองทำนองเพลง ซึ่งได้เปิดโอกาสให้ผู้ฟังอย่างเราๆนั้นได้ตีความออกมาเป็นรูปภาพกันอย่างเพลิดเพลิน ถึงแม้จะฟังดูน่าขำขันแต่มันก็สามารถสะท้อนความจริงได้อย่างลึกซึ้งเช่นกัน


อยู่มาวันหนึ่งวันที่ชิซูกุต้องนำอาหารเที่ยงไปให้พ่อของเธอซึ่งทำงานอยู่ที่ห้องสมุดส่วนกลางใจกลางเมือง ในระหว่างทางที่เธอโดยสารอยู่บนรถไฟฟ้านั้นเธอสังเกตเห็นแมวตัวหนึ่งขึ้นมาบนรถไฟฟ้าด้วยตัวของมันเอง และยิ่งไปกว่านั้นมันลงสถานีเดียวกับเธอ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอก็ไม่พลาดที่จะเดินตามแมวตัวนั้นไปเพื่อที่จะตามหาว่าแท้จริงแล้วมันอาศัยอยู่ที่ไหนและใครเป็นเจ้าของ จนท้ายสุดแมวอ้วนตัวนั้นก็ได้นำพาเธอให้พบกับสิ่งสามสิ่งที่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปตลอดกาล


“ความรัก ความฝัน และ คนที่เข้าใจ”


ความรักกับความฝันบางครั้งสองสิ่งนี้มันก็มาพร้อมกัน ไม่ต่างกับโชคชะตาชีวิตของชิซูกุ ที่ได้มาพบกับเด็กหนุ่มช่างฝันพระเอกของเราอย่างเซจิ เซจิเองนั้นมีความฝันที่จะเป็นช่างทำไวโอลิน เขามุ่งมั่นและยืนกรานทีจะไปทำงานที่ประเทศอิตาลีด้วยเหตุผลเพราะว่าประเทศนั้นเป็นแหล่งรวมของช่างทำไวโอลีนระดับโลกไว้มากมายหลายคน ด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวนี้เองที่ทำให้ชิซูกุได้ตกหลุมรักเซจิเข้าเสียแล้ว สิ่งที่เธอชอบในตัวของเซจินั้นไม่ใช่เพราะว่าตัวเขานั้นเป็นนักดนตรี หากแต่ว่าเขานั้นเป็นนักฝันผู้เด็ดเดี่ยว เพราะต่อให้เสียงไวโอลินที่เขาบรรเลงออกมานั้นเสียงมันจะไพเราะเพราะพริ้งเพียงใด หากไร้ซึ่งความฝัน ความสุขตัวเธอนั้นมีต่อเซจิก็คงเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาที่เสียงเพลงบรรเลง เมื่อเพลงจบตัวเขาก็ไม่ใช่ใครหากแต่เป็นนักดนตรีคนหนึ่ง ซึ่งตัวเซจิก็ได้บอกเองว่า “ใครๆก็เล่นได้” แต่มีไม่กี่คนหรอกที่ฝันและทำให้มันเป็นจริงได้




“ความฝันผลักดันให้เกิดความรักได้ฉันใด ความรักก็สามารถผลักดันให้เกิดความฝันได้เช่นกันฉันนั้น”


ประโยคข้างบนที่ได้กล่าวไปอาจฟังดูแล้วเพ้อเจ้อปนโลกสวย แต่มันก็ฟังดูสมเหตุสมผลในตัวของมันเอง แต่เดิมนั้นชิซูกุเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่อ่านหนังสือนิยายไปวันๆ โดยตัวเธอนั้นได้มองข้ามพรสวรรค์ที่เธอมีไปอย่างไม่เคยสนใจแม้แต่น้อยที่จะนำมันมาต่อยอด แต่การที่ได้มารู้จักกับเซจินั้น รวมไปถึงการที่เซจิบอกกับเธอว่าตัวเขานั้นต้องไปฝึกงานที่ต่างประเทศสองเดือน มันเป็นก้าวแรกของเขาในการตามหาฝัน ความกระหายในการล่าฝันของเซจิได้สร้างเสียงกระซิบเล็กๆขึ้นมาภายในจิตใจของเธอเสียแล้ว เสียงกระซิบนั้นได้เตือนให้เธอหยุดเดินและหันกลับมามองตนเอง พิจารณาตนเองว่าที่ผ่านมานั้นเธอมีอะไร และพลาดอะไรไป จากการใช้ชีวิตที่แสนจะปกตินี้เอง เมื่อเธอได้รับฟังเสียงกระซิบแล้วก็อดไม่ได้ที่จะน้อยใจในสิ่งที่เธอเคยทำลงไป จากประโยคที่ว่า “ทำไมตัวเขาเดินหน้าไปแสนไกล ตัวฉันทำได้เพียงยืนนิ่งเฉย ทั้งๆที่ฉันและเขาก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน” บวกกับลักษณะนิสัยของเธอที่มีความเป็น Feminism อ่อนๆตามสไตล์เด็กสาวของจิบลีแอบซ่อนอยู่ในตัวของเธอ ซึ่งได้แสดงออกมาอย่างชัดแจ้งในฉากท้ายของเรื่องซึ่งเซจิอาสาที่จะพาเธอซ้อนจักรยานของเขา พาเธอปั่นขึ้นเนินอันสูงชันโดยขณะที่เธอนั้นได้ซ้อนท้ายอยู่ เธอก็ไม่ลังเลที่จะกระโดดออกทันทีพร้อมทั้งบอกกับเขาว่า “ฉันไม่อยากที่จะเป็นภาระของใคร ฉันอยากมีประโยชน์อย่างน้อยก็กับเธอ” แต่เพียงประโยคเดียวก็สามารถอธิบายถึงเหตุผลของความคิดของเธอได้เป็นอย่างดี


ด้วยความที่เธอนั้นไม่อยากให้ความฝันของคนที่เธอรักทำให้ระยะห่างของเขาและเธอนั้นมีมากเกินไป เมื่อระยะห่างสร้างความกลัวขึ้นมา ความกลัวที่เกิดจากการนิ่งเฉยของเธอเอง ถ้าจะทำอะไรซักอย่างเพื่อที่จะลดระยะที่มองไม่เห็นนี้ก็คงเป็นการสร้างความฝันของเธอขึ้นมาโดยใช้พรสวรรค์ด้านภาษาที่เธอมี ซึ่งคราวนี้เธอตั้งใจที่จะใช้มันในการเขียนนิยาย


ยังไงก็ตามถนนเส้นทางที่พวกเราใช้เดินทางเพื่อตามหาความฝันนั้นมันย่อมไม่ได้โปรยไว้ด้วยกลีบของดอกกุหลาบอย่างที่หลายๆคนคิดไว้ ชิซูกุเองก็ไม่ต่างกัน เพราะการที่จะเป็นนักเขียนนิยายที่ดีสำหรับเธอนั้นด้วย ฝีมือในการแต่งและเรียบเรียงภาษาอย่างเดียวอาจจะไม่พอ ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้เสียด้วยสิว่า การเป็นนักเขียนต้องหาสิ่งใดมาใส่ตัวบ้างนอกจากความฝันและแรงบันดาลใจ ถึงจุดนี้ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีใครซักคนที่มีประสบการณ์ ผู้ที่มาคอยให้แนวทางและคอยชี้นำ คนที่เข้าใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือเธอเสมอ คนๆนั้นก็คือปู่ของเซจินั่นเอง

ปู่ของเซจินั้นเมื่อได้รับรู้ถึงเป้าหมายของชิซูกุ เขาก็ไม่รีรอที่จะไปหยิบก้อนหินก้อนหนึ่ง ก้อนหินที่ดูภายนอกธรรมดาแต่เมื่อมองเข้าไปดีๆกลับมีอัญมณีสีสันสดใสตกผลึกอยู่ภายใน เขาพูดถึงสิ่งๆหนึ่งโดยเอาหินก้อนนั้นไว้เป็นตัวเปรียบเปรย สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับนักเขียนทุกคน นักฝันก็คงไม่ต่างกัน


:: การเจียระไน ::


-การเจียระไนมิใช่หรือที่ทำให้เราเห็นความสวยงามที่ซ่อนอยู่ภายในก้อนหิน-


การเจียระไนคือการปรับเปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อยของสิ่งๆหนึ่ง สิ่งๆนั้นครั้งมันมีความสวยงามอยู่ภายในอยู่ในตัวของมันอยู่แล้วแต่กลับถูกอะไรบางอย่างปกปิดไว้ไม่ให้เผยออกมา การทั่งหินให้เนื้อนอกมันสึกกร่อนทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าเราจะเห็นอัญมณีที่อยู่ภายในก้อนหิน ทำไปจนกว่าความสวยงามที่ถูกบดบังไว้ได้กลับมาทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง และแน่นอนว่าการเจียระไนนั้นย่อมใช้เวลาไม่มากก็น้อยแปรผันไปตามขนาดความหนาของเนื้อหิน



- เจียระไนงานเขียน -

งานเขียนก็เหมือนกับการที่เรานำเอาความคิดที่อยู่ในหัว ถ่ายทอดมันออกมาให้อยู่ในรูปแบบของตัวอักษร เป็นวลีหรือประโยคก็ว่ากันไป การเขียนครั้งแรกเปรียบเสมือนการนำก้อนหินก้อนใหญ่เทอะทะมาวางไว้บนหน้ากระดาษ การขัดเกลา การแต่งภาษาให้ไหลลื่นสวยงาม นั้นจำเป็นอย่างยิ่งต่องานเขียนงานหนึ่ง เพราะมันบ่งบอกถึงการเอาใจใส่ในงานของผู้เขียนคนนั้นๆ การใช้ศัพท์บางครั้งก็เลือกใช้ได้หลายคำที่มีความหมายตรงกันแต่ความสวยงามมันต่างกันราวฟ้ากับเหว งานเขียนที่ดีย่อมผ่านการเจียระไนมาแล้วไม่มากก็น้อย แน่นอนว่ามันย่อมใช้เวลาในการบรรลุผล ดังนั้นการเข็นงานให้เสร็จด้วยเวลาที่จำกัดเหมือนกับที่ชิซุกุทำนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะดีเท่าไหร่ เพราะงานที่ออกมาย่อมเป็นงานที่หยาบไม่ต่างกับงานที่เธอให้ปู่ของเซจิอ่าน นักเขียนทุกคนย่อมอยากที่จะนำเสนอผลงานที่เปรียบดั่งอัญมณีล้ำค่ามิใช่เศษหินที่พบได้ข้างทาง และมันน่าเสียดายมิใช่น้อยหากในก้อนหินนั้นส่วนใหญ่กลับมีเพชรซ่อนอยู่ข้างใน




- เจียระไนชีวิต -

พวกเราทุกคนต่างมีศักยภาพภายในซ่อนอยู่ แต่บางครั้งมันไม่ได้รับการส่งเสริมและได้รับการชี้แนะที่ดีเท่าที่มันควรเป็น การชี้แนะสั่งสอน การเพิ่มพัฒนาศักยภาพก็สามารถเปรียบได้กับการเจียระไนเช่นกัน ชีวิตของพวกเราทุกคนเริ่มต้นจากการเป็นก้อนหินกันทั้งนั้น แต่เป้าหมายของชีวิตนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ก้อนหินหากแต่เป็นเพชรพลอย การเปลี่ยนเศษหินให้กลายเป็นพลอยนั้นไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ แน่นอนว่ามันใช้ความพยายามอย่างสูงในการทำให้สำเร็จ แต่มันก็คุ้มมิใช่หรือถ้าเราได้เพชรก้อนนั้นมาไว้ในครอบครอง แต่ถึงแม้ว่าผลลัพท์ที่ออกมามันจะไม่สำเร็จเป็นเพชรพลอยดั่งใจหวัง แต่อย่างน้อยประสบการณ์ที่ได้รับจากการเจียระไนครั้งนี้มันก็มีคุณค่าต่อเราอย่างแน่นอนเพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้จากปัญหา อุปสรรค  เพื่อที่จะนำไปแก้ไขในการเจียระไนในครั้งต่อๆไป


สุดท้ายนี้ Whisper of the Heart ถือเป็นภาพยนตร์อนิเมชันที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการตามหาความฝันได้อย่างสวยงามโดยไม่ต้องไล่คนดูให้ไปลาออกจากงานประจำ ไม่ต้องขายฝันไปวันๆ อย่างที่พวกเราหลายๆคนคงคุ้นเคย แต่สิ่งที่ Whisper of the Heart ให้นั้นมันคือการจุดประกายความคิด สร้างแรงบันดาลใจจากจุดเล็กๆ ที่หลายๆคนอาจมองข้ามละเลยไปให้หันกลับมาพิจารณาตนเองอีกครั้งหนึ่งแค่นั้นเอง



- Whisper of the Heart (1995)


เครดิต บทความผ่านแผ่นฟิล์ม







Create Date : 28 พฤษภาคม 2558
Last Update : 10 มิถุนายน 2558 13:22:13 น.
Counter : 865 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 1516877
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]