All Blog
[สงครามผ่านแผ่นฟิล์ม] เมื่อความโหดร้ายถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของการ์ตูน


“You know, mankind's been trying to kill each other off since the beginning of time.’’ คำพูดเย้ยหยันบวกกับการเสียดสีที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องตลกแต่ถ้าคิดดูดีๆมันเป็นคำพูดตลกร้ายที่ขำไม่ออกกันเลยที่เดียว คำพูดนี้ได้กล่าวโดยชายคนหนึ่งที่ให้ฉายากับตนเองว่าเป็นตัวตลก อย่าง  The Comedian ซึ่งเป็นตัวละครหลักตัวหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Watchmen ถ้าใครเคยดู Watchmen คงคุ้นกับคำคำนี้เพราะมันช่างเป็นประโยคที่เสียดแทงใจดำและสะท้อนถึงจิตใจมนุษย์ได้อย่างเจ็บแสบ ถ้าแปลเป็นภาษาไทยแล้วคงไม่พ้นว่า ‘รู้ไหม มนุษยชนอย่างเราๆ มันพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตัวเองมาตั้งแต่เริ่มแล้ว’ และต่อด้วยประโยคที่ว่า ‘Ain't nothing gonna matter once those nukes start flying; we'll all be dust. And Ozymandias here will be the smartest man on the cinder.’  ซึ่งแปลเป็นไทยว่า ‘เมื่อระเบิดนิวเคลียร์ได้ถูกปล่อยออกไป มนุษย์อย่างเราๆทุกคนมันก็กลายเป็นเถ้าถ่าน และนาย( Ozymandias) จะเป็นอัจฉริยะคนเดียวที่ยืนอยู่ท่ามกลางผงเถ้าธุลี’ คำพูดประโยคหลังนี้สามารถสื่อถึงผลของสงครามที่มนุษย์สร้างขึ้นได้อย่างชัดเจน  ใช่ครับ สงครามนี่ล่ะครับที่เป็นประเด็นหลักของสองประโยคนี้  

         ‘สงคราม’ คำหนึ่งคำสองพยางค์สั้นๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความหมายที่โหดร้ายและการสูญเสีย ถ้าเทียบประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์เป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งสงครามก็คงเป็นตัวเอกในการดำเนินเรื่องนั่นเอง ทุกวันนี้เราร่างประวัติศาสตร์ด้วยปากกาด้ามหนึ่งที่เอาเลือดมาทำเป็นน้ำหมึก และ เอากระดูกมาทำเป็นโครงปากกา เอาความตายและการสูญเสียมาเป็นตัวดำเนินเรื่อง นับย้อนไปสมัยรุ่นบรรพบุรุษของเรา ก็ได้มีการสร้างอาวุธหินมาทำร้าย ฆ่าฟันกันแล้ว  อาวุธต่างๆกลับถูกพัฒนามาเรื่อยๆ จุดประสงค์หลักคงไม่พ้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง จากใช้ของแหลมคม เปลี่ยนมาใช้ปืนบรรจุกระสุน จนถึงยุคปัจจุบันถ้าจะให้พูดถึงอาวุธมหาประลัย ทุกคนคงนึกถึงระเบิดนิวเคลียร์ ที่มีระดับการทำลายล้างขั้นสูงทั้งในด้านความรุนแรงและขอบเขตในการทำลาย แต่เคยคิดไหมครับว่าเราจะพัฒนาสิ่งเหล่านี้ขึ้นมากันทำไม เพื่อที่จะเข่นฆ่าสัตว์ที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันเองอย่างนั้นหรือ การสงครามตามประวัติศาสตร์นั้น มีเหตุผลมากมายไม่ว่าจะเป็น การแย่งชิงดินแดนที่อยู่อาศัย   ความขัดแย้งกันระหว่างศาสนา ความขัดแย้งกันระหว่างระบอบการปกครอง และที่คุ้นเคยกันมากที่สุดก็คือ ความเกลียดชังทางเชื้อชาตินั่นเอง   สังเกตได้ว่าสงครามนั้นเกิดขึ้นจากความขัดแย้งต่างๆที่ไม่สามารถเจรจา ตกลงกันได้ เมื่อความขัดแย้งเพิ่มพูนขึ้นมักจะเปลี่ยนไปเป็น ความเกลียดชัง ความไม่รู้จักพอจักแปรเปลี่ยนเป็นความโลภ  ความเกลียดชังและความโลภ ก็คงเป็นสิ่งที่สามารถกระตุ้นและเร่งเร้าให้คนเราได้ปลดปล่อยสันดานดิบที่มนุษย์เราทุกคนมีนั่นก็คือความรุนแรงที่อยู่ในตัวเราทุกคนได้เป็นอย่างดี  
          เหตุผลหรือชนวนในการทำสงครามทุกครั้งนั้นมักถูกกำหนดโดยภาพรวมของฝ่ายนั้นๆ  ไม่ว่าจะเป็นผู้นำทางการเมืองหรือ ผู้นำทางการทหารต่างๆ เกมส์กระดานนี้มักเดินเกมส์โดยใช้ชาวบ้านหรือประชาชนมาเป็นตัวหมากในการเดินเกมส์  และที่รู้ๆกันว่าไม่มีเกมส์ๆไหนที่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้โดย ไม่มีการเสียสละตัวหมากต่างๆไม่ว่าตัวหมากนั้นจะมีศักดิ์เล็กหรือศักดิ์ใหญ่  สงครามก็เช่นกันไม่มีสงครามครั้งไหนที่จบลงโดยปราศจากการสูญเสีย  

          การสูญเสียและความโหดร้ายของสงครามมักถูกนำมาเผยแพร่ผ่านทางภาพยนตร์หลายๆเรื่องในหลายๆยุคสมัย  เหยื่อทางสงครามนั้นไม่มีขอบเขตจำกัดว่าต้องเป็นแค่ผู้ใหญ่เท่านั้น ความโหดร้ายของสงครามไม่คัดกรองอายุเหมือนระบบยุติธรรมทั่วไป  โดยเห็นว่ามีหนังหลายๆเรื่องสื่อถึงเหยื่อทางสงครามที่เป็นเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง The Boy in the striped pajamas หรือรวมไปถึงสาวน้อยช่างฝันในเรื่อง Pan’s  Labyrinth  การเล่าเรื่องของหนังแนวนี้จะเล่าเรื่องด้วยความย้อนแย้ง(Paradox) ภาพความโหดร้ายของสงครามเมื่อถูกถ่ายสลับกับความสดใสของเด็กๆมักกระตุ้นความหดหู่ของตัวหนังได้เป็นอย่างดี และยังมีภาพยนตร์อีกแนวหนึ่งที่ใช้หลักการเดียวกันก็คือ ภาพยนตร์สงครามในรูปแบบของการ์ตูน

          การ์ตูนก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของความสดใสในวัยเด็ก การนำเสนอของการ์ตูนนั้นส่วนใหญ่จะนำเสนอออกมาในแนวสดใส เสริมสร้างจินตนาการในวัยเด็ก เมื่อภาพสไตล์การ์ตูนมารวมกับบทหนังที่เกี่ยวกับสงครามแล้ว จึงเป็นอะไรที่น่าสลดและน่าสนใจไปพร้อมๆกัน การ์ตูนสงครามที่ผมเคยดูนั้นส่วนใหญ่จะเผยแพร่ความโหดร้ายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งมีผู้เสียหายทั้งสองฝั่งไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพันธมิตร หรือฝ่ายอักษะ ถ้าใครมีความคิดที่ว่าสงครามคือความสูญเสียแล้ว ผมอยากจะแนะนำ การ์ตูน เหล่านี้ให้ได้ลองดูกันครับ





1.Hotaru no Haka (Grave of the fireflies-2008)
  การ์ตูนเรื่องนี้ผมยกให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์สงครามที่ถ่ายทอดเนื้อหาได้หดหู่แบบสุดๆ  โดยเนื้อเรื่องทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านทาง สองพี่น้องซึ่งพี่ชายชื่อ เซตะ(อายุ 14ปี)และน้องสาวชื่อเซตซึโกะ(อายุ 7 ปี)  ทั้งสองเป็นลูกของนายทหารที่ไปรับใช้ชาติระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง โดยจะสังเกตเห็นว่าตัวพี่ชายนั้นได้ความเป็นชาตินิยมมาจากพ่อมิใช่น้อย แต่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นซึ่งทำให้ทั้งสองนั้นต้องเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีใครคอยดูแลจากภัยของสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาสงครามแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ยึดถือหลักการที่ว่า ‘เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด’ 
หนังเรื่องนี้สื่อถึงจิตใจของคนที่อยู่ในช่วงสงครามได้เป็นอย่างมีน้ำหนักและสมจิง  แม้ว่าการกระทำบางอย่างของเซตะนั้นจะดูไม่ค่อยมีเหตุผลอยู่บ้างอาจเพราะความเป็นเด็กที่มีอีโก้อยู่สูงพอสมควร เมื่อถึงช่วงหนึ่งของหนังทั้งสองต้องตกอยู่ในสถานการณ์ถูกทอดทิ้งจากผู้ใหญ่และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อประทังชีวิตอยู่ ความบริสุทธิ์และความไร้เดียงสาของเด็กทั้งสองโดยเฉพาะเซตซึโกะแล้ว ในสภาวะสงครามเช่นนี้ การกระทำต่างๆมันแสนจะบีบคั้นอารมณ์ในหลายๆฉาก  จนถึงฉากสุดท้าย ซึ่งทำให้ผู้ชมทั้งหลายจิตตกกันมาอย่างถ้วนหน้าแล้ว  ผมยืนยันได้ว่าเมื่อคุณได้ดูเรื่องนี้จบ คุณจะอยากลุกขึ้นแล้วตะโกนว่า ‘กูไม่เอาสงคราม’ อย่างแน่นอน





2. Kaze Tachinu  (The Wind Rises-2014)

  The Wind Rises เป็นภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องสุดท้ายของ ฮายาโอะ มิยาซากิ หนึ่งในสองผู้ก่อตั้งของสตูดิโอ จิบลี โดยเล่าชีวประวัติของ จิโร่ โฮริโคชิ โดยเริ่มเรื่องจากเด็กคนหนึ่งซึ่งมีความฝันที่จะเป็นนักบิน แต่ด้วยสภาพสายตาไม่อำนวย จึงหันเหความฝันไปหาสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั่นก็คือ วิศกรออกแบบเครื่องบิน โดยเขามีตำนานผู้เป็นต้นแบบอย่าง คาโปรนี่ วิศวกรเครื่องบินชาวอิตาลีมาคอยเป็นกำลังใจ และแรงกระตุ้นให้เดินตามทางที่เขาวาดไว้ แต่เมื่อชะตากรรมกลับเล่นตลก เมื่อช่วงชีวิตของ จิโร่ ดันอยู่ในช่วงยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง  เป็นช่วงเวลาอันเลวร้ายที่มนุษย์ใช้ทุกอย่างในการฆ่าฟันกัน ไม่เว้นแม้แต่เครื่องบินที่เขาสร้างและพัฒนามาด้วยมือและความฝันอันยิ่งใหญ่ของเขาเอง ความฝันอันสวยงามของเขาถูกผลักให้ไปอยู่บนเส้นด้ายที่แบ่งแยกระหว่างความถูกผิด ที่ในเรื่องก็ยังไม่แบ่งให้เห็นแน่ชัด ไม่ใช่แค่จุดนี้เท่านั้นที่หนังทิ้งข้อคิดให้คนดูได้ตัดสินเองแต่ยังมีเรื่องความรักและการทำงานเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วยที่ตัวหนังให้การบ้านกับคนดูในการตัดสินการกระทำของจิโร่ ให้เก็บไปขบคิดและถกเถียงกันในภายหลัง ฉากความเสียหายและความรุนแรงของสงครามถูกใส่เข้ามาอย่างพอประมาณ สภาพสังคม ความอดอยากเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในสภาวะสงครามก็เป็นอีกแง่หนึ่งที่ถูกถ่ายทอดมาให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นทางฉากที่แสดงในเรื่องหรือคำพูดของตัวละครที่ว่า “เราสามารถนำเงินในการสร้างเครื่องบินรบหนึ่งลำ ไปเลี้ยงผู้คนอดอยากได้อย่างทั่วถึงทั้งประเทศ’’ แต่ก็เป็นเหมือนตลกร้ายเมื่อคำพูดนั้นออกมาจากปากวิศวกรผู้สร้างเครื่องบินเสียเอง




3. Hadashi no Gen (Barefoot Gen-1983)
 การ์ตูนเล่าเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งชื่อเก็น นาคาโอกะ ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองฮิโรชิม่า หนึ่งในสองเมืองซึ่งโดนระเบิดนิวเคลียร์จากอเมริกาหย่อนลงเพื่อยุติสงคราม เก็นอาศัยอยู่กับครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มี่พ่อ แม่ที่ตั้งท้องอยู่ น้องชาย และพี่สาว พวกเขามีชีวิตในช่วงสงครามอย่างมีความสุข ถึงแม้ว่าจะต้องคอยวิ่งลงหลุมหลบภัย เมื่อได้ยินสัญญาณ แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่ระเบิดจะถูกหย่อนลงมา  ในช่วงครึ่งแรกของเรื่องนั้น หนังจะเล่าเรื่องถึงการใช้ชีวิตของเด็กคนหนึ่ง และแทรกบทตลก น่ารักๆ ให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงความเป็นการ์ตูนอยู่บ้าง แต่สังเกตไหมครับว่าวันไหนที่อากาศนิ่งเป็นพิเศษ เมื่อนั้นพายุกำลังจะโถมเข้ามา ฮิโรชิม่าไม่เคยได้รับความเสียหายจากสงครามเลยซักครั้งแต่วันหนึ่งระเบิดมฤตยู ได้ถูกปล่อยลงจากเครื่องบินของฝั่งอเมริกา เมื่อนั้น โทนหนังก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นับจากนี้ไปคือความหดหู่ ความโศกเศร้า พวกคุณจะได้เห็นสภาพของคนที่ถูกระเบิดกันอย่างชัดๆ  ภาพศพเกลื่อนเมืองรวมไปถึงสภาพของเมืองฮิโรชิม่าซึ่งไม่ต่างจากนรกซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วย ผู้คนนอนที่รอความตาย  ภาพยนตร์เรื่องนี้ผมไม่แนะนำให้คนจิตอ่อนดูเพราะแต่ละฉากค่อนข้างจะหดหู่ชวนจิตตกเป็นอย่างมาก  และโทนหนังค่อนข้างจะเปลี่ยนกะทันหัน จนบางคนอาจจะปรับตัวไม่ทัน 



4.Anne no Nikki (The Diary of Anne Frank-1995)

The Diary of Anne Frank ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ Anne no Nikki เป็นเวอร์ชั่นที่แตกต่างไม่เหมือนใครเพราะมันสื่อออกมาในรูปการ์ตูน และอีกอย่างคือถ่ายทำโดยชาวญี่ปุ่นนั่นเอง  The Diary of Anne Frank เป็นการ์ตูนที่บอกเล่าชีวิตของเด็กสาวชาวยิวคนหนึ่งผ่านสมุดไดอารี่ที่เธอได้เขียนไว้ระหว่างอยู่ในช่วงหลบภัยจากการกวาดล้างชาวยิวในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเธอได้หลบซ่อนอยู่บนห้องลับในอาคารสำนักงานในเมืองอัมสเตอร์ดัม  สำหรับใครที่เคยดู The Fault in our Stars มาแล้วคงพอจะนึกภาพออก เพราะ เป็นฉากๆหนึ่งในเรื่องนั่นเอง เรื่องราวในไดอารี่นั้นบ่งบอกว่า แอนนี่เป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ฝันอยากที่จะเป็นนักเขียน และเกลียดวิชาคณิตศาสตร์ เธอเป็นเด็กช่างพูดและร่าเริง และแล้ววันหนึ่งเมื่อโชคชะตากีดกั้นเธอให้ไปหลบตัวอยู่ในห้องแคบๆ กับครอบครัวของเธอเพียงเพราะเธอเกิดเป็นชาวยิว ข้อความในไดอารี่กลับกลายเป็นความระแวง ความหวาดกลัวในการใช้ชีวิต บวกกับความน้อยใจซึ่งเธอนั้นก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด  เนื้อเรื่องของ Anne no Nikki จะไม่มีฉากรุนแรงหรือหดหู่ แต่จะเป็นเรื่องราวความคิดของเด็กคนหนึ่งเท่านั้น มันสามารถสื่อได้ดีถึงความคิดของเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งที่มีต่อสงครามความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ  จนท้ายสุดแล้วเนื้อเรื่องบทสุดท้ายในไดอะรี่ของ Anne Frank  ก็ไม่มีปรากฏให้ทุกคนเห็น ไม่ใช่เพียงเพราะเธอไม่มีเวลาทีจะสรุปมันเท่านั้น แต่มันคงเป็นเพราะโลกเรามันโหดร้ายเกินกว่าที่เธอจะหาบทสรุปให้บทความชีวิตของเธอได้นั่นเอง



5. When the Wind Blows (1986)

  อย่างที่ได้กล่าวไปนั้นว่าผลพวงของสงครามนั้นไม่เลือกอายุ  When the Wind Blows บอกเล่าเรื่องราวในบั้นปลายชีวิตของ คู่สามี ภรรยาคู่หนึ่งชื่อ จิมและ ฮิลด้า ชีวิตหลังเกษียนของทั้งคู่ดูจะราบรื่น และเงียบสงบ ทั้งสองอาศัยอยู่ในบ้านย่านชนบท พวกเขาได้ใช้ชีวิตช่วงเกษียณในช่วงเวลาสงครามเย็นระหว่างอเมริกก และรัสเซีย ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง  เมื่อทั้งสองได้ข่าวว่า สงครามกำลังประทุนั้น จิมได้ปฏิบัตามหนังสือที่เขาได้ไปยืมจากห้องสมุดมาว่าด้วยการเอาตัวรอดจากภัยสงคราม ซึ่งพวกเขาเคยเอาตัวรอดมาแล้วด้วยวิธีนี้จากสงครามโลกครั้งที่สอง  นอกจากจะสื่อความถึงผลกระทบทางสงครามแล้ว When the Wind Blows  ยังสอดแทรกประเด็นการเมืองต่างๆ การตีความนิยามของคำว่าสงครามในมุมมองของผู้สูงอายุ ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมเมืองและชนบท และการประเมินถึงเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยการมองโลกในแง่บวกตามสไตล์คนแก่ใจเย็นที่รอคอยความช่วยเหลือของส่วนกลางอย่างมีความหวัง การคิดถึงอดีตอันสวยงามในช่วงเวลาสงครามโลกครั้งที่สองเป็นฉากที่สื่ออกมาได้ชัดเจนที่สุด ถึงทัศนคติในด้านบวกของพวกเขา ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการเล่าโดยใช้ภาพการ์ตูนที่ดูเป็นการ์ตูนมากถึงมากที่สุด เพราะจะมีฉากที่ใส่จินตนาการของตัวละคร ให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงความคิดของพวกเขา โดยจะมีหลายๆฉากจะนำภาพจริงๆเข้ามาสอดแทรกทำให้อารมณ์ของการ์ตูนดูสมจริงมากขึ้น 

           ถ้าได้ติดตามภาพยนตร์ที่อิงมาจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สองแล้วจะเห็นว่าเหยื่อสงครามส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นชาวยิวซึ่งเป็นฝ่ายโดนกวาดล้างโดยทหารฝ่ายอักษะ แต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่งซึ่งกระทำโดยชาวยิวเอง หนังเรื่องนี้ถ่ายทำโดยชาวอิสราเอล และได้ถ่ายทอดออกมาในรูป อนิเมชั่นกึ่งสารคดี บอกเล่าเรื่องราวอันโหดร้ายในเหตุการณ์สังหารหมู่ค่ายกักกัน Sabra and Shatila  





6.Waltz with Bashir (2008)

  หนังเรื่องนี้เป็นหนัง อนิเมชั่นแต่อย่าคิดว่าจะออกมาแนวนิยายแบบ Walt Disney นะครับ  เพราะ Waltz with Bashir มีเนื้อหาที่หนักมากออกแนวสารคดีด้วยซ้ำ แถมด้วยฉากรุนแรงมากมาย หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของชายชาวอิสราเอลคนหนึ่งซึ่งเป็นทหารปลดราชการ ซึ่งเคยเป็นทหารในกองกำลังป้องกันตนเองอิสราเอล (Israel Defense Forces) ที่ออกรบในสงครามกลางเมืองประเทศเลบานอนเมื่อปี 1982 ตัวเขานั้นลืมเรื่องราว ณ ช่วงเวลานี้ไป และได้ออกตามหาความทรงจำนี้กลับคืนมา โดยสืบจากเพื่อนร่วมทัพรวมไปถึงหัวหน้าบัญชาการหลายๆคน  เขาได้ความทรงจำต่างๆคืนมาทีละเล็กทีละน้อยจนสุดท้ายแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ลืมเหตุการณ์นั้นเพราะมันเป็นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำเอาซะเหลือเกิน  เขาได้เคยเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์สังหารหมู่ที่โหดร้ายเป็นที่สุดไปเสียแล้ว ในช่วงท้ายสุดหนังยังคอยตอกย้ำให้เห็นถึงสภาพของเมืองหลังการสังหารหมู่โดยถ่ายทอดเป็นภาพจริงๆ พอถึงฉากนี้อาจจะมีจิตตกกันบ้างก็คงไม่แปลก


ถ้าคุณได้ดูภาพยนตร์เหล่านี้แล้วคุณจะตระหนักได้ว่า สงครามนั้น ไม่ใช่สิ่งที่น่าพิศมัยเท่าไหร่นัก มันไม่นำมาซึ่งความสงบ มันเข่นฆ่าผู้คนมากมาย  ทั้งๆที่รู้อย่างนี้แต่เราคงต้องอยู่กับสงครามไปตลอดถ้ายังมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์อาศัยอยู่บนโลก และอีกร้อยปีข้างหน้า ภาพยนตร์เหล่านี้ก็จะถูกสร้างขึ้นมาให้รับชมอยู่เรื่อยๆ คำว่า “สามารถรับรู้ แต่มิอาจหลีกเลี่ยง” คงสามารถอธิบายได้เป็นอย่างดีถึงอิทธิพลของสงครามที่มีต่อพวกเราชาวมนุษย์ทุกคน



Credit: บทความผ่านแผ่นฟิล์ม



Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2558 16:01:33 น.
Counter : 1126 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 1516877
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]