กันตยา 16
 

             “ผมรู้ว่า ผมแตกต่างจากพี่น้องคนอื่น ๆ ผมเพียรถามแม่กับพ่อว่าผมเป็นใคร มาจากไหน จนกระทั่งโตขึ้นจึงทราบว่า ผมมาจากประเทศไทย ..พวกเขารับผมมาเลี้ยงตอนอายุได้ 2 ขวบ แน่นอนเด็กวัยนั้นจำอะไรไมได้ ..ผมไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าประเทศไทยอยู่ส่วนไหนของแผนที่โลก..ผมพยายามค้นหาสิ่งที่เกี่ยวกับไทยแลนด์  ผมโหยหาบ้านเกิดมากเหลือเกิน แอบร้องไห้ก็บ่อย   ในที่สุดผมก็ได้กลับบ้าน ได้หัดพูดภาษาไทย ได้เจอพ่อแม่ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านนอกของจังหวัดอุบลฯ ในสภาพที่ยากจนมาก  ผมนำเงินที่ผมหาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงมาซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อสวนยางพาราให้พ่อ แม่และพี่ ๆ น้อง ๆ ของผม”  เขาเงยหน้าขึ้นมองหน้ากันตยา แล้วแค่นยิ้มที่มุมมาก 

             “แล้วผมก็มีภรรยาเป็นคนไทย .. และมาอยู่ ณ จุดนี้.. “  พูดจบเขาก็หัวเราะหึ ๆ ในลำคอ 

            “ค่ะ..เอ่อ..เรื่องของคุณน่าสนใจจังเลย เหมือนนิยายค่ะ”  กันตยาพยายามพูดให้ฟังดูร่าเริง เขายักไหล่ ผายมือ ทำปากเบ้ เป็นสัญญาณบอกช่างมัน  Let it be   

 

การซัก-ซ้อม ถาม-ตอบดำเนินไปด้วยดี เขาดูมีความมั่นใจมากขึ้น  ก่อนจะกลับเขาได้มอบหนังสือนิยายเล่มโตและหนังสือพิมพ์บางกอกโพสท์ให้แก่กันตยา            

                  ‘นี่เป็นฉบับที่สาม’   ความคิดแว็บหนึ่งผ่านเข้ามาในสมอง  เธอรีบควานหากรรไกรมาตัดคูปองแล้งกรอกข้อมูลให้ครบทุกใบ 

             

               ‘ซื้อเพิ่มอีกสี่วัน’

เมื่อรวบรวมได้ครบแล้ว เธอคลิปคูปองทั้งเจ็ดใบเข้าด้วยกัน สอดใส่ซองจดหมายตราครุฑยาวสีขาว จ่าหน้าซอง ก่อนหย่อนลงตู้ไปรษณีย์เธออธิษฐานในใจ  

            ‘สาธุ ได้ไวน์มาชิมก็ยังดี’  

บอสปกรณ์กลับจากกรุงเทพฯ เล่าว่า มิสเตอร์โรบิน  ดันแคน ทำได้ไม่ค่อยดีตอนขึ้นศาล เขาประหม่าและงงกับคำถามค้าน แต่ก็ยังโชคดีที่เขาชนะคดีฟ้องหย่า ต่อไปก็เป็นเรื่องสินสมรส  กันตยาพยักหน้ารับทราบ  

 เรื่องลาพักร้อนยังคงวิ่งวุ่นในหัวของเธอ  แต่ยังหาที่จะไปยังไม่ได้ เธอจึงชะลอไว้ก่อน  

 วันนี้ป้าวีร์ไปศาลกับบอสปกรณ์  เธอจึงออกไปนั่งทานขนมเหนียวที่ร้านอาหารเวียตนามร้านเดิมที่เธอพารัชตะไปตอนที่เขาแวะมาหา พลันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น  

            “สวัสดีครับ คุณกันตยารับสายหรือเปล่าครับ” เสียงหล่อที่เธอไม่คุ้นหูแว่วมาตามคลื่น 

            “คะ? ..ใช่ค่ะ”

             “ครับ! ผมโทรมาจากสำนักพิมพ์บางกอกโพสท์นะครับ เพื่อแจ้งให้คุณทราบว่า คุณคือผู้โชคดีได้รับรางวัลตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ-เซาท์แอฟริกา พร้อมที่พักโรงแรมห้าดาวฟรีจากการจับสลากคูปอง ” กันตยาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เลือดฉีดพล่านไปทุกรูขุมขนจนรู้สึกชาไปทั้งตัว หัวใจเต้นแรงแทบทะลุหน้าอก  เสียงหล่อยังคงเจื้อยแจ้วไปเรื่อย ๆ            

            “คุณบอกรับเป็นสมาชิกหรือเปล่าครับ”  

            “คุณซื้ออ่านเองหรือเป็นสำนักงานครับ”   

            “คุณจะไปรับรางวัลด้วยตัวเองหรือเปล่าครับ”   

เธอลุกเดินก้าวยาว ๆ กลับที่ทำงานตั้งแต่เสียงหล่อพูดจบประโยคแรก พอมาถึงเธอรีบวิ่งเข้าห้องทำงานแล้วระเบิดเสียงหัวเราะลั่นกระโดดโลดเต้นไปมาด้วยความดีใจ   

            ‘ในที่สุด..ก็ได้ฤกษ์ลาพักร้อนเสียที’    

แท็กซี่พากันตยามาจอดหน้าสำนักงานใหญ่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสท์ เธอแจ้งเรื่องที่มาติดต่อกับพนักงานต้อนรับ พนักงานสาวสวยชี้ให้เธอขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องประชุมชั้น 8  เมื่อไปถึงเธอสังเกตเห็นว่าผู้ที่มานั่งรอเกือบทั้งหมดเป็นฝรั่ง มีคนไทยเพียงสองคน เธอกับผู้หญิงอีกคนที่มารับแทนนายจ้าง   ประธานในพิธีก็เป็นฝรั่ง  พิธีการใช้เวลาไม่มาก  ประธานกล่าวแสดงความยินดี ทำพิธีมอบรางวัล โดยเริ่มจากรางวัลที่ 1  มี 2 รางวัล เป็นตั๋วเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาส รางวัลที่ 2 มี 4 รางวัล ตั๋วชั้นบิสิเนสคลาส และรางวัลที่ 3 มี 6 รางวัล  เป็นตั๋วชั้นประหยัด เอคเคอนอมิค คลาส และเธออยู่ในกลุ่มที่ 3   

‘ชั้นไหนก็นั่งเครื่องลำเดียวกันนั่นแหละน่า ถึงที่หมายพร้อมกัน แค่แบ่งโซนเฉย ๆ’  เธอปลอบใจตัวเอง รับมอบรางวัลเสร็จ ร่วมถ่ายรูป  แล้วก็แยกย้ายกันกลับ  ขณะนั่งแทกซี่ไปสนามบินดอนเมือง เธอเปิดดูซองรางวัลที่มีเพียงกระดาษแผ่นเดียว มีรายละเอียดเขียนบอกระยะเวลาของการเคลมตั๋วบินซึ่งมีกำหนด 1 ปี  พลันคำพูดของป้าวีร์ก็ผุดขึ้นมาในหัว            

“หนูกันไปคนเดียว ไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือ ”    

            “แอฟริกา ไม่เหมือนสิงคโปร์นะ ทุกอย่างมันแตกต่าง ผู้คนแตกต่าง ”   

 

           “เมื่อก่อนมีปัญหาการแบ่งแยกสีผิว ตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน”   

 

           “นั่นแหละคือสิ่งที่หนูอยากเห็นค่ะ ว่าบ้านเมืองเขาเป็นอย่างไร ผู้คนอยู่กินกันอย่างไร”    

สุดท้ายกัญญาวีร์ก็ถอนหายใจ  เธอจ้องมองแววตาอันแน่วแน่ของหลานสาว ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่หนูกันตัวเล็ก ๆ อีกต่อไปแล้ว 

 พอถึงเวลานกเหล็กขนาดใหญ่ติดแถบธงชาติสีแดง เขียว ดำ น้ำเงิน ที่หางเครื่องก็เหินทะยานขึ้นฟ้า กันตยารู้สึกตื่นเต้นจะว่าไปแล้วเธอตื่นเต้นตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าสนามบิน  ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนกอินทรีย์ขาวกำลังกางปีกอันทรงพลังถลาร่อนบนท้องฟ้า  

        “เอาเถอะ หนูเป็นผู้ใหญ่แล้ว รับผิดชอบชีวิตตัวเองได้แล้ว ..ป้าขอแสดงความยินดีด้วย”  กันตยายิ้มแก้มแทบปริ เธอกระโดดกอดป้าวีร์และกล่าวขอบคุณหลายครั้ง 

 

สิ่งที่เธอตั้งความหวังไว้สำหรับทริปนี้คือ อยากเห็นความแตกต่าง  และคนรอบข้างไม่เคยมีคนไหนพูดว่าเคยไปเที่ยวแอฟริกา หรืออยากไปแอฟริกา ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสาม เธอได้มีโอกาสไปสิงคโปร์กับป้าวีร์ เธอยอมรับว่าสิงคโปร์สะอาดและมีระเบียบ  ทว่า  ผู้คน อาหารการกิน การแต่งกาย แม้แต่ต้นไม้ วิวทิวทัศน์ ก็ดูไม่แตกต่างจากเมืองไทย

             “ขอแค่ได้ไปเหยียบแผ่นดินก็ดีใจแล้วค่ะ นั่งเครื่องไปลงที่โจฮันเนสเบิร์ก หาที่พักใกล้ ๆ สนามบินพักสักคืนสองคืนก็ยังดี แล้วก็จะกลับค่ะ”  เธอบอกป้าวีร์  

เธอเลือกเดินทางในเดือนมีนาคม เพราะอากาศที่โน่นกำลังอบอุ่น อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 25-31 องศาเซลเซียส แต่เธอต้องสละสิทธิ์เรื่องที่พักฟรี เพราะโรงแรมที่เข้าร่วมรายการอยู่เขตเมืองอื่น ต้องนั่งรถออกจากโจฮันเนสเบิร์กไปอีกไกล  เธอได้ตั๋วบินวันพฤหัสบดี และจะกลับวันอังคารในสัปดาห์ถัดไป เพราะเที่ยวบินมีเพียงสองเที่ยวต่อสัปดาห์ คือ อังคาร กับ พฤหัส แต่สิ่งหนึ่งที่เธอบอกป้าวีร์ไม่หมดคือตั๋วที่ได้มาจะบินจากกรุงเทพฯ –โจฮันเนสเบิร์ก –เคปทาวน์-โจฮันเนสเบิร์ก –กรุงเทพฯ เธอเองก็เพิ่งรู้ในวันที่ไปเคลมตั๋ว เธอแทบกรีดร้องด้วยความดีใจ เพราะนั่นมันมากกว่าที่เธอหวังเอาไว้ 

วันเดินทางป้าวีร์ไปส่งเธอขึ้นเครื่องที่อุบลฯ เที่ยวบินสองทุ่ม ถึงดอนเมืองก็เกือบจะสี่ทุ่ม สายการบิน เอสเอ แอร์ไลน์บินเวลาตีสอง เธอต้องนั่งแกร่วรออีกหลายชั่วโมง   

พอถึงเวลาเช็ค อิน เธอสังเกตเห็นผู้โดยสารที่เข้าคิวรอเกือบจะทั้งหมด เป็นคนสีผิว บางคนรูปร่างผอมสูง แต่ส่วนใหญ่แล้วอ้วน โดยเฉพาะสุภาพสตรี บางคนนั่งเก้าอี้ตัวเดียวไม่พอ   พออยู่ท่ามกลางพวกเขา สีผิวของเธอดูซีดเหลืองอ๋อยทีเดียว แต่เธอก็รู้สึกพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่    

            ‘นี่คือความแตกต่างที่แท้จริง’  

สิ่งที่น่าทึ่งสำหรับเธออีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้โดยสารนั่งรอเป็นร้อย แต่ทุกคนต่างนั่งนิ่ง ๆ สงบเสงี่ยม กระซิบกระซาบคุยกันเบา ๆ ไม่มีเสียงเฮฮา ไม่พูดคุยเสียงดัง เธอยังสังเกตเห็นอีกว่าสายตาหลายคู่จ้องมองมาที่เธอ  เที่ยวบินนี้เธอน่าจะเป็นผู้โดยสารคนไทยเพียงคนเดียว เพราะคนผิวเหลืองอีกสองสามคน เห็นคุยกันด้วยภาษาอื่น  

            ‘แค่เริ่มต้นก็เริ่มสนุกแล้วสิ’   

พอถึงเวลานกเหล็กขนาดใหญ่ติดแถบธงชาติสีแดง เขียว ดำ น้ำเงิน ที่หางเครื่องก็เหินทะยานขึ้นฟ้า กันตยารู้สึกตื่นเต้นจะว่าไปแล้วเธอตื่นเต้นตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าสนามบิน  ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนกอินทรีย์ขาวกำลังกางปีกอันทรงพลังถลาร่อนบนท้องฟ้า

ณ สนามบินโจฮันเนสเบิร์ก รถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่สีฟ้าอ่อน ขับเคลื่อนอย่างรีบร้อน พอถึงจุดตรวจทางเข้าสนามบิน เธอชูตราตำรวจหรา สิ่งปิดกั้นเปิดออกทันที   เบลลา บาโกเซก้า ตำรวจหญิงนอกเครื่องแบบ ผู้มีรูปร่างสูงใหญ่แบบชาวแอฟริกันขนานแท้ คือ บั้นท้ายกลมใหญ่ดูเทอะทะ ผมหยิกหยักขอดตัดสั้นติดหนังศีรษะ ดวงตากลมโตส่อแววดุดัน ปีกจมูกกว้างบาน ริมฝีบากหนาเตอะ ปากของเธอเม้มสนิททำให้มองเห็นเส้นขอบริมฝีปากโดดเด่น เธอจะอายุครบ 32 ปี ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า แต่ใบหน้าอิดโรยของเธอทำให้เธอดูเหมือนคนอายุ 40 ต้น ๆ  เธอทำงานฝ่ายสืบสวน งานของเธออยู่กับความเร่งรีบและไม่มีกำหนดเวลาทำงานที่ชัดเจน 

 วันนี้ก็เช่นกัน เธอต้องตื่นแต่เช้า เพื่อมาให้ทันเที่ยวบินที่จะเทียบท่าเวลาประมาณ 8 นาฬิกา แต่วันนี้เธอไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ เธอมาด้วยภารกิจบางอย่าง   อากาศตอนเช้า ๆ ของต้นเดือนมีนาคม ไม่ต่างอะไรกับหน้าหนาว  รถเคลื่อนผ่านจุดตรวจเข้ามา เธอมุ่งตรงไปยังลานจอดรถ เหลือบมองดูนาฬิกาข้อมือ อีก 5 นาทีจะถึงสองโมงเช้า เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วสาวเท้าก้าวยาว ๆ ตรงไปยังห้องผู้โดยสารขาเข้า  เธอตรงไปยังจอมอนิเตอร์ที่แสดงรายการเที่ยวบินเข้า-ออก เธอกวาดสายตาหาเที่ยวบิน   กรุงเทพฯ- โจฮันเนสเบิร์ก  มีไฟแดง ๆ กระพริบตรงข้อความ Delay   เธอถอนหายใจอีกครั้ง แล้วเดินตรงไปร้านขายกาแฟ สั่งกาแฟดำหนึ่งที่ เธอหยิบหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นขึ้นมาอ่านแต่ความสนใจของเธอไม่ได้จับจ้องอยู่ที่หนังสือพิมพ์  เธอชำเลืองมองไปยังประตูผู้โดยสารขาเข้าบ่อย ๆ  พอได้ยินเสียงประชาสัมพันธ์สนามบินประกาศว่า สายการบินเอส เอ แอร์ไลน์ บินจากกรุงเทพฯ สู่โจฮันเนสเบิร์กจะแลนดิ้งในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ เบลลา รีบวางหนังสือพิมพ์ลง ควักแบงค์ 5 แรนด์สองใบวางใต้ ถ้วยกาแฟ แล้วรีบวิ่งตรงไปยังประตูผู้โดยสารขาเข้า  มองหาผู้โดยสารที่เป็นหญิงชาวเอเชียผิวเหลือง ผู้โดยสารหญิงวัยกลางคน คนหนึ่งเดินผ่านประตูมา เบลลาถลาเข้าไปหา  

            “หวัดดีค่ะ ต้องการแท็กซี่ไหมคะ”  

  

            “ไม่ค่ะ ขอบคุณ”    

 

            “คุณเป็นนักท่องเที่ยวหรือ?”  

  

“ไม่ สามีฉันทำธุรกิจที่นี่”   

 

“เหรอคะ คุณคงเป็นชาว...เอ้อ. เอเชีย..ชาว....” เบลลาทำท่าครุ่นคิด  

 

“ฟิลิปปิโน”    

 

“อ้อ..ใช่ ..ขอให้โชคดีค่ะ"   

  

แล้วเบลลาก็เหลือบไปเห็นสตรีผิวขาวซีดคนหนึ่ง เธอกำลังจะเดินเข้าไปทัก แต่พอเห็นว่าหล่อนไม่ได้มาคนเดียว ผู้ชายคนที่ลากกระเป๋าเดินตามมาติด ๆ น่าจะเป็นสามีของหล่อน เบบลาจึงหยุดกึก   ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ต่างทยอยกันออกมาเรื่อย ๆ มีชาวตะวันตกอยู่ไม่กี่คน นอกนั้นเป็นคนสีผิว เบลลา มีสีหน้าผิดหวัง เธอยกโทรศัพท์ขึ้น กดหาเรียกหมายผู้รับ เมื่อมีเสียงตอบรับ เธอตะคอกเสียงอย่างแรง  

             “ฟาโก้ พี่ว่านี่มันไร้สาระสิ้นดี มันเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร”   

            “เฮ้อ น่า..อดทนหน่อยน่า”    

 

            “ เฮ้!  มันเสียเวลาทำมาหากินไปหลายวันแล้วนะ ยายทวดแก่จนปูนนั้นแล้ว คงเพ้อไปตามเรื่อง ” 

             “งั้น  อังคารหน้าผมจะลางานแล้วไปแทนพี่ก็แล้วกัน” น้ำเสียงตอบกลับราบเรียบ

 

            “ไม่อังคารหน้า ต้องเป็นสัปดาห์หน้า แกรับไปสองวันเลย”  เธอตะคอกไปตามคลื่น  พูดจบเธอก็กดวางสายยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง แล้วเดินลิ่วตรงไปที่ลานจอดรถอย่างหัวเสีย 

ขณะบึ่งรถกลับที่พัก เธอหวนนึกถึงวันที่แม่พาเธอและฟาโก้น้องชายไปเยี่ยมยายทวดที่โรงพยาบาลฟื้นฟูคนชรา ซึ่งอยู่นอกเมืองพรีทอเรียไปทางตอนใต้ ต้องขับรถไปเกือบ 40 กิโลเมตร    แม่บอกว่ายายทวดมีเรื่องสำคัญจะบอก เบลลา ยังอดขำไม่ได้ ยายทวดอายุ เกือบจะครบ 100 ปีแล้ว  ไปไหนมาไหนยังต้องมีคนช่วยพยุง  หูแทบฟังไม่ได้ยิน สายตาก็พร่าเลือน ยังจะพูดจารู้เรื่องอยู่หรอกหรือ  แต่แม่ย้ำว่า นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก   

พอไปถึงโรงพยาบาล  แม่แจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่ดูแล ซึ่งเป็นพยาบาลบรรจุใหม่ เธอเดินนำไปยังห้องที่ยายทวดนอนพักอยู่  ยายทวดซึ่งมีใบหน้าซีดเซียวเหี่ยวย่น นัยน์ตาฟ้าฟางสีน้ำข้าว ฟันไม่เหลือแม้แต่ซี่เดียว ตั้งแต่ยายทวดย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ทั้งเธอและน้องต้องช่วยพ่อแม่ เรื่องค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ทุกคนต่างก็ทำงานนอกบ้านไม่มีเวลาดูแลจึงเอายายมาไว้ที่นี่   พอได้ยินเสียงแม่ร้องทัก  ยายทวดพยายามยกมือผอมแห้งที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกไขว่คว้ามาทางเสียง 

 

            “มาเรียม ..เด็ก ๆ มาด้วยหรือเปล่า” เสียงแหบพร่าเบาหวิวไร้ซึ่งพลัง   

 

            “ยาย หนูอยู่นี่  ฟาโก้นั่งอยู่ข้างเตียงยายจ้ะ” เบลลาเอื้อมมือไปกุมมือผอม ๆ เย็บเฉียบของยายทวด  

            “เออ ..หลาน ๆ ที่รักของยาย” ขณะพูดยายแหงนหน้ามองเพดาน เบลลาคิดว่าสายตาของยายทวดคงมองอะไรไม่เห็นแล้ว เสียงอันสั่นเครือของยายเหมือนคนที่เหนื่อยจนใจแทบขาด แต่ขยายก็พยายามเปล่งเสียงพูด            

             “ทวดของทวดได้มอบหมายภาระงานสำคัญชิ้นหนึ่งไว้กับยาย ยายได้แบกภาระอันหนักหน่วงเพื่อรอเวลานี้มานานแสนนาน …บัดนี้ถึงเวลาของพวกเจ้าแล้วที่จะได้ช่วยดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ”    ยายทวดถอนหายใจหนัก ๆ น้ำใส ๆ คลอเบ้าตาที่เกือบจะปิดสนิทเพราะหนังตาหย่อนลงมาทับดวงตา  ทุกคนนิ่งเงียบคงปล่อยให้ยายทวดจมดิ่งอยู่กับความหลัง เบลลาและฟาโก้คิดว่า ทุกคำที่ยายทวดพูดออกมาเป็นเพียงการเพ้อหลงลืมของคนแก่  

             “ ‘หล่อน (She...ผู้เป็นบุตรของสายน้ำ จะหวนกลับมาในไม่ช้า” แม่นั่งนิ่ง ส่วน เบลลาและฟาโก้ต่างสบตากัน เบลลาย่นคิ้วเชิงสงสัย ยายทวดยังคงพูดต่อไปเรื่อย ๆ              

                “’หล่อน’ คือกุญแจสำคัญ..วิญญาณของบรรพบุรุษจะได้หลุดพ้นจากการกักขัง ‘หล่อน’ จะมาพร้อมกับน้ำในเร็ววัน” พูดจบประโยคยายทวดก็คบพับปากห้อยเหยเก  

             “คนไข้เหนื่อยมากค่ะ ต้องให้นอนพักผ่อน”  พยาบาลผู้ดูแลรีบเข้ามาสอดสายอ๊อกซิเย่นเข้าไปในรูจมูกของยายทวด  มีเพียงทรวงอกผอม  ๆ ยกขึ้นลงเล็กน้อยเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายังมีลมหายใจอยู่  

             “สิ่งที่ทวดพูดฟังดูเหมือนจริง”  ฟาโก้ออกความเห็น  

              “แล้ว ‘หล่อน’ ที่ยายเอ่ยถึงหมายถึงใคร ฟังแล้วได้อะไรล่ะ” เบลลายักไหล่เห็นเป็นเรื่องไร้สาระ 

               “แม่เคยได้ยินยายพูดมาก่อนหน้านี้ไหม?” ฟาโก้หันไปถามแม่   

“เออ..ตอนที่แม่ยังเด็ก ทวดเคยเล่าเรื่องบรรพบุรุษให้ฟังบ้าง แต่ก็ไม่เคยเอ่ยถึง ‘หล่อน’ เบลลาจึงสรุปว่าไร้แก่นสารสิ้นดี ตกเย็นเบลลาขอตัวกลับโจฮันเนสเบิร์ก  ฟาโก้ขอติดรถพี่สาวกลับที่พักในแถบชานเมือง  ส่วนแม่นอนเป็นเพื่อนยายทวด   

 

ตกดึก ท่ามกลางความเงียบสงัด มาเรียมกำลังนอนขดอยู่ใต้ผ้าห่ม อากาศต้นเดือนกุมภาพันธ์ในตอนกลางคืนยังคงหนาวเหน็บ ขณะที่เธอกำลังนอนอุ่นหลับสบาย พลันรู้สึกเหมือนมีมือมาเขย่าตัวเธอเบา ๆ เธอตื่นขึ้น แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจสุดขีดเกือบเผลอร้องกรี๊ดออกมาเมื่อเห็นใบหน้าเหี่ยวย่นยับยู่ยี่ของยายทวดก้มลงมองเธอแทบจะชิดใบหน้า เธอเอียงหน้าหลบ แล้วเอามือผลักใบหน้ายายทวดออกไปเบา ๆ 

 

             “มาเรียม  มาเรียม ฟังฉัน “

มาเรียมแปลกใจที่เสียงยายฟังดูดังกังวานไม่เหมือนตอนบ่ายที่ผ่านมา “แม่โทนิของยายบอกว่า เมื่อใดที่ดาวเสาร์ย้ายเข้าเรือนราศีน้ำ จันทรุปราคาเต็มดวงเล็งมา   ..เมื่อนั้นกรรมเก่าจะย้อนกลับมา ..ในรอบ 120 ปีดาวเสาร์จะวนมาครบรอบหนึ่งครั้ง   นี่เป็นโอกาสเดียว ถ้าพลาดโอกาสต้องรอไปอีก 120 ปีข้างหน้า” มาเรียมนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อเมื่อได้ฟังสิ่งที่ยาดทวดพูด น้ำเสียงและท่าทีฟังดูจริงจังมาก 

                “ ปีนี้จันทรุปราคาเล็งมาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ ‘หล่อน’ จะมาในตัวตนที่แตกต่างจากพวกเรา”   

พูดจบยายทวดก็เดินเก้ ๆ กัง  ๆ ไปนอนที่เตียง  ส่วนมีเรียมยังคงซุกหน้าใต้ผ้าห่มหัวใจเต้นแรง เธอเกิดอาการกลัวยายทวดของตัวเอง สมองวกวนสับสนจนนอนไม่หลับ เธอมีหลายคำถามค้างคาใจ แต่ไม่อยากจะรบกวนยายตอนดึก จึงอดทนรอให้ถึงรุ่งเช้า   

พอแสงแรกของยามเช้าสาดส่องเข้ามา เธอรีบลุกจากที่นอน ตรงไปที่เตียงยายทวด แต่ยายยังคงหลับอยู่เธอไม่อยากรบกวน  จึงเข้าห้องน้ำทำภารกิจส่วนตัว พอกลับออกมาแสงสว่างที่สาดส่องผ่านม่านหน้าต่างทำให้มองเห็น  สิ่งที่อยู่ภายในห้องชัดเจน ยายนอนตะแคง เธอมองเห็นมืออันเหี่ยวย่นและบอบบางของยายห้อยต่องแต่งอยู่ข้างเตียง  บรรยากศภายในห้องดูเงียบผิดปกติ เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง เธอสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง เธอเข้าไปจับแขนของยาย และก็พบว่ามันแข็งทื่อ และเย็นเฉียบ 

 

            “หมอคะ” เธอตระโกนสุดเสียงพร้อมกับปล่อยโฮออกมา  




Create Date : 26 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 28 ธันวาคม 2557 22:36:35 น.
Counter : 346 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety