เมื่อเธอรักตัวเองเธอจะรักการอ่าน เมื่อเธอรักคนอื่น เธอจะรักการเขียน – เป้ สีน้ำ ...
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2560
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
24 มิถุนายน 2560
 
All Blogs
 
Xenocide-จะทำยังไง ให้เราไม่ต้องฆ่ากัน(2)









  วิถีล้างพันธุ์



                ที่โลกแห่งวิถี หวังหมู่ไปคุยกับชิงเจ้าถึงเรื่องไวรัส ชิงเจ้าบอกว่าเรื่องที่เกิดบนลูซิตาเนีย การที่พืชพันธุ์มีความหลากหลายน้อยมาก มีแค่ไม่กี่ชนิดบนโลกทั้งใบ พืชจับคู่ผสมพันธุ์กับสัตว์นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ตามธรรมชาติอย่างเด็ดขาด  หวังหมู่จึงนำเรื่องนี้ไปคุยกับเจน    โดยมีทฤษฏีว่า ถ้าอย่างนั้นสมมุติว่าเดสโคลาด้าไม่ใช่ไวรัสตามธรรมชาติบนลูซิตาเนียล่ะ  ถ้ามันเกิดขึ้นเพราะมีคนสร้างแล้วเอาไปปล่อยบนลูซิตาเนียเหมือนที่ทางรัฐบาลแอบใส่โรคย้ำคิดย้ำทำบนยีนของพวกผู้สดับเทพบนโลกแห่งวิถี  เจนพบว่าแนวคิดนี้น่าสนใจเลยนำไปบอกอีลา นักวิทยาศาสตร์ชีววิทยา   เธอตื่นเต้นมากเพราะเธอไม่ทันคิดเรื่องนี้มาก่อน ถ้าไวรัสนี้มีผู้สร้างขึ้นจริงมันก็อธิบายโครงสร้างโมเลกุล และผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้นได้  และเธออาจจะสามารถออกแบบไวรัสที่ร้ายแรงน้อยลง แต่ยังช่วยสืบพันธุ์ของพวกพิกกี้ได้  นอกจากนี้เจนยังวานให้อีลาช่วยหาวิธีแก้ไขยีนของพวกสดับเทพให้หายจากอาการย้ำคิดย้ำทำด้วย



        เอนเดอร์ที่รู้ข่าวนำแนวคิดนี้มาบอกพวกเพเกนิโน  เพื่อดูว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร แล้วปรากฎว่า ผู้เพาะปลูก พิกกี้ตนหนึ่งก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เขาคิดว่าเดสโคลาด้าเป็นไวรัสสายพันธุ์หนึ่งที่ถูกส่งมาเพื่อปรับสภาพโลกๆหนึ่งให้พร้อมสำหรับให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆอยู่  ด้วยการที่ไวรัสจะไปทำให้เพเกนิโนมีนิสัยที่ทะเลาะกันได้ง่ายขึ้น เมื่อเกิดสงคราม และมีผู้ตายจำนวนมาก พิกกี้จะเปลี่ยนผ่านสู่ชีวิตที่สามกลายเป็นต้นไม้ ต้นไม้จำนวนมากทำให้อากาศอุ่นขึ้น มีก๊าชที่เหมาะสมกับการหายใจมากขึ้น   ผู้เพาะปลูกค่อนข้างจะเสียใจมากที่ดูเหมือนว่าพวกเพเกนิโนจะมีไวรัสเดสโคลาด้าเป็นตัวบงการชีวิตมาตลอด  แต่ในตำนานของพิกกี้นั้น พวกเขาอยู่กันที่นี่มานานก่อนที่ไวรัสตัวนั้นจะเข้ามาแล้วทำให้พืชพันธุ์และสัตว์อื่นๆตายไปจนเหลือแต่สายพันธุ์ที่ปรับตัวเข้ากับเดสโคลาด้าได้เท่านั้น



          นั่นทำให้อีลาที่กำลังจะดัดแปลงไวรัสอยากทดสอบว่าเดสโคลาด้ามีผลต่อความฉลาด การรู้จักคิด ของพวกพิกกี้รึเปล่า เพราะถ้าดัดแปลงไวรัสให้ไม่ทำร้ายมนุษย์ แต่ไปทำให้พวกพิกกี้ปัญญาอ่อนไปทั้งหมดก็คงเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก อีกทั้งควาร่าเคยศึกษาพบว่าเดสโคลาด้ามีความฉลาด ปรับตัวได้เอง เป็นไปได้ไหมที่ความรู้คิดของพิกกี้เป็นผลมาจากไวรัส  เธอจึงต้องทดลองโดยนำพิกกี้ตัวหนึ่งมาแยกเอาไวรัสออกไปให้หมด(เพเกนิโนที่ปราศจากไวรัสออกจะมีอาการของโรคเหมือนคนที่ติดไวรัส) แล้วดูผลที่เกิดว่า พิกกี้ตัวนั้นจะยังคงรู้สึกตัว มีสติปัญญาเป็นของตัวเองอยู่หรือเปล่า  แต่ว่าแน่นอนว่าพิกกี้ตัวนั้นที่สุดแล้วจะต้องตาย และไม่มีทางเปลี่ยนผ่านไปสู่ชีวิตที่สามที่มีไวรัสเป็นพาหะได้  ผู้เพาะปลูกจึงอาสาเสียสละตัวเองเพื่อพิสูน์



ความจริงเนื้อเรื่องส่วนนี้จะพูดถึงประสงค์อิสระ   ว่าตกลงแล้วเจตจำนงค์อิสระนั้นมีจริงไหม  หรือว่าเป็นผลมาจากยีน อย่างพวกผู้สดับเทพที่บังคับตัวเองไม่ได้ เพราะยีนมีความผิดปกติ พวกพิกกี้นั้นถ้าดั้งเดิมพวกเขาเป็นแค่หนูต้นไม้ ที่ได้ไวรัสมาช่วยปรับปรุงพันธุกรรมจนวิวัฒนาการได้ล่ะ  การเสียสละของพวกต้นไม้บิดร ต้นไม้พี่น้องที่ให้ไม้ไว้ใช้งานจะไร้ค่าไปหรือเปล่าเพราะนั่นเป็นผลจากไวรัส  นอกจากนี้ยังพูดถึง "เทพ" ในโลกแห่งวิถี ที่ชิงเจ้าเชื่อถือ ว่านั่นเป็นแค่เรื่องสมมุติไว้ปกครองผู้คนหรือไม่ ก่อนที่หวังหมู่จะคิดได้ว่า เทพที่แท้จริงจะไม่กลัวหรือโกรธจนต้องกดขี่คนอื่น  เทพที่แท้จริงจะไม่กังวลเรื่องการอยู่ในอำนาจ เทพที่แท้จริงจะแบ่งปันความรู้ของตัวเองอย่างจริงใจ ไม่ใช่อย่างที่ปฏิบัติกับชิงเจ้า




           ทางด้านวาเลนไทน์ เธอมาคุยกับโอลยาโด เจ้าของโรงงานทำอิฐ ลูกชายคนเดียวของโนวินยาที่ไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนฉลาด เพียงแต่ชอบชีวิตเรียบง่าย โอลยาโดมีภรรยาและมีลูกหกคน  ดวงตาของเขาเป็นดวงตาประดิษฐ์ ตานึงใช้เป็นกล้อง อีกตานึงใช้บันทึกข้อมูล ความคิดความรู้สึกของเขาต่อเหตุการณ์ต่างๆออกจะตรงไปตรงมาทีเดียว เมื่อวาเลนไทน์ถามถึงแม่ของเขา

"แม่คิดว่าเขาเป็นคนเดียวในโลกที่เจ็บปวด... ผมว่าอย่างนี้โดยไม่ได้เกลียดชัง แต่ผมสังเกตเห็นว่าเขาเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดจนไม่อาจใส่ใจความเจ็บปวดของคนอื่นได้"

หลังจากระบายความรู้สึกกันไปเรียบร้อยแล้ว เธอก็มอบงานชิ้นนึงให้ เพราะเธอรู้มาจากเอนเดอร์ว่าโอลยาโดมักจะมีแนวคิดทางปรัชญาที่น่าสนใจ แม้เขาจะไม่ได้สานต่อในการประกอบอาชีพ  นั่นคือแนวคิดการเคลื่อนย้ายมวลสาร การเคลื่อนที่เร็วกว่าแสง เธอต้องการให้เขาไปปรึกษากับเกรโก น้องชาย และนำแนวคิดที่ได้ไปถกกับหวังหมู่ เพื่อหาทางอพยพผู้คนออกจากลูซิตาเนียให้ได้เร็วที่สุด



เรื่องทฤษฎีการเคลื่อนย้ายมวลสารในเรื่องนี้ คร่าวๆตามที่เข้าใจ คือ ปกติการเคลื่อนที่ไปในแนวระนาบจะต้องมีระยะทาง ระยะทางระหว่างดาวห่างกันมากๆ จนเรียกกันเป็นปีแสง  คือต่อให้เคลื่อนที่ใกล้ความเร็วแสงได้(ในเรื่องนี้)เวลาไปดาวต่างๆก็ยังต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนในการเดินทางอยู่ดี   ซึ่งทำให้เวลาที่พื้นดาวผ่านไปหลายสิบปีเพราะดาวมีมวลสาร ระนาบอวกาศจะโค้ง เวลาในแต่ละดาวจะไม่เท่ากัน เพราะรอบหนึ่งวัน หนึ่งปีใช้เวลาโคจรไม่เท่ากัน ทางที่จะเป็นไปได้ที่จะวาร์ปไปมาผ่านระยะทางขนาดนั้นในพริบตาเดียวจะต้องใช้มากกว่าความเร็วแสง ที่ยังเป็นไปไม่ได้ตามธรรมชาติ  ดังนั้นพวกเขาจึงมองว่าเราอยู่ในมิติหนึ่ง เป็นวงกลมวงนึง ต่อให้วิ่งเร็วแค่ไหนก็ยังวนอยู่ในวงเดิม จะวาร์ปได้จะต้องนำมวลสารอย่างคนและสิ่งของ ออกไปนอกมิติเดิม ก่อนจะกลับมาอยู่ ณ ตำแหน่งใหม่ แทนที่จะต้องวิ่งไปครึ่งวงเพื่อถึงจุดหมาย ก็ออกไปอวกาศข้างนอก  แล้วเข้ามาอยู่ ณ จุดใหม่ได้เลย เพราะที่ข้างนอกนั่นจะเห็นวงกลมภายในทุกจุด อยากมาตรงไหนก็ได้ 


 นั่นตกเป็นหน้าที่ของเจนที่จะต้องกำหนดรูปร่างวัตถุนั้น แล้วประมวลผลจำนวนมากเพื่อย้ายวัตถุ  และในการนี้จะสามารถสร้างไวรัสปรับปรุงใหม่ได้จากการกำหนดรูปร่างขึ้นภายในใจ เพราะที่ข้างนอกนั้นเมื่อคิดอะไรอย่างแจ่มชัด รูปลักษณ์นั้นก็จะปรากฏขึ้นแบบทันทีทันใด ในที่นี้คือกฏทางฟิสิกส์ภายนอกจะเป็นคนละเรื่องกับอวกาศภายในเอาง่ายๆก็เพื่อทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้นั่นแหละ




         ในกระบวนการออกแบบทำให้เดสโคลาด้าเชื่องลง(ไม่ก่อโรคแก่พวกมนุษย์และอื่นๆ แต่ก็ยังช่วยการสืบพันธุ์ของเพเกนิโนได้) จำเป็นจะต้องใช้ข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสจากควาร่าที่ค้นคว้าเรื่องนี้มานาน มีโรจึงมาเจรจา แต่เธอก็ไม่ไยดี  จนกระทั่งนักเพาะปลูก เพเกนิโนผู้ยอมตนเพื่อทดลอง อาการหนักใกล้ตาย ควาร่าเลยยอมมาคุยด้วย นักเพาะปลูกถามคำถามจี้ใจดำหลายอย่าง  ว่าทำไมควาร่าถึงได้เห็นแก่พวกไวรัสนัก ไม่เห็นแก่พวกมนุษย์ และที่ทำไปนี่เพื่อแสดงความต่อต้านครอบครัวรึเปล่า(โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นเหตุผลนึงเลยนะ อีกอย่างคือคนเขียนอยากเสนออีกแง่มุมนึง ในฐานะเป็นปากเป็นเสียงให้ไวรัส ในเมื่อมนุษย์ แมง พิกกี้ ต่างก็อยากเอาชีวิตรอด ทำไมไวรัสถึงจะอยากตายล่ะ  เฮอะๆ ความจริงถึงไวรัสจะมีชีวิตแต่มันไม่มีจิตวิญญาณนะในความคิดเรา) ควาร่าเลยบอกทุกอย่างที่ตัวเองรู้ให้อีลา จนเธอออกแบบโครงสร้างไวรัสที่เชื่องได้ เพียงแต่เมื่อทดลองแล้วมันไม่อาจสร้างขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมจริงๆเพราะมันไม่สเถียรพอจะคงรูป และถ่ายทอดไปในธรรมชาติ  ไม่นานหลังจากนั้น นักเพาะปลูกก็ตายลง แต่สุดท้ายก็พิสูจน์ได้ว่าพวกเพเกนิโนมีสติปัญญาความสามารถมาก่อนไวรัสเดสโคลาด้า  ไวรัสเพียงแต่มาเปลี่ยนรูปแบบการสืบพันธุ์เท่านั้น  เขาไม่มีชีวิตที่สามในรูปต้นไม้ก็จริงแต่พวกเพเกนิโนก็ยกย่องเขาในฐานะผู้เป็นไท เป็นอิสระจากไวรัสเป็นตัวแรก



         ในการทดลองการวาร์ปนั้น    เพียงแค่ใช้ยานที่เป็นห้องเล็กๆมีเอนเดอร์กับมีโรไปด้วย เพราะทั้งคู่มีความผูกพันและเป็นส่วนนึงของเจน อีลาพกเอาหลอดทดลองไปด้วยเพื่อสังเคราะห์ไวรัสที่เชื่องและตัวเปลี่ยนยีนรักษาโรคของผู้คนบนโลกแห่งวิถี    เมื่อเจนลงมือทำตามทฤษฏีที่คิดกันไว้ ทันใดนั้นยานก็หายวับไปจากพื้นดาวลูซิตาเนีย   พริบตานั้นเอง    ภายในยาน มีโรก็จินตนาการร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงของเขาขึ้นมาใหม่ แล้วย้ายจิตตัวเองเข้าไปอยู่ในร่างนั้น ทำให้เขาเคลื่อนไหว พูดจาได้สะดวกดังเดิม  ส่วนร่างเก่าก็สูญสลายไป  ส่วนเอนเดอร์จิตใจของเขากลับสร้างร่างของปีเตอร์กับวาเลนไทน์ในวัยสาวขึ้นมา  ส่วนอีลา สาวนักวิทยาศาสตร์ก็สามารถสร้างไวรัสได้ตามที่ตั้งใจไว้ โดยไม่ทำร้ายมนุษย์อย่างที่เดสโคลาด้าเคยทำ



              เมื่อพวกเขาได้ไวรัสตัวใหม่ที่เชื่อง(รีโคลาด้า)ก็นำไปทดลองกับเพเกนิโนตนหนึ่งชื่อแก้วผลึก  ปรากฏว่าเมื่อแก้วผลึกเปลี่ยนผ่านสู่ชีวิตที่สาม ก็ยังสามารถพูดคุยได้ในฐานะต้นไม้บิดร  แสดงว่าไวรัสนี้ช่วยสืบพันธุ์พวกเพเกนิโนได้  อีลาจึงนำยาฆ่าไวรัสตัวเดิม กับไวรัสตัวใหม่ไปใส่ไว้ในน้ำแล้วเอาไปให้พวกเพเกนิโนและมนุษย์ทุกคนในลูซิตาเนียดื่ม(พวกแมงมีภูมิคุ้มกันไวรัสนี้อยู่แล้วตามธรรมชาติ) เป็นอันว่าแก้ปัญหาไวรัสไปได้  ต่อไปนี้สิ่งมีชีวิตในลูซิตาเนียจะไม่เอาไวรัสอันตรายไปแพร่อีกแล้ว


      ด้านเอนเดอร์ไปง้อโนวินยาแต่ไม่สำเร็จ เธอยังคงอยู่ในกลุ่มบุตรแห่งพระจิตรและขอให้เอนเดอร์มาอยู่ด้วย(กลุ่มนี้เป็นกลุ่มสามีภรรยาที่อุทิศตนเพื่อคริสต์ศาสนา แต่ต้องไม่มีอะไรกัน)  เอนเดอร์ยังไม่พอใจแต่ต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อน เพื่อจัดการเรื่องการอพยพย้ายคนจากลูซิตาเนียออกไปตั้งรกรากที่อื่น เพราะกองยานกำลังเดินทางมาระเบิดดาว   จากการทดลองของเจนถ้าเอนเดอร์ไม่เดินทางไปด้วยในการเคลื่อนย้ายมวลสารที่เร็วกว่าแสงก็ต้องให้ร่างของปีเตอร์หรือวาลสาวเดินทางไปแทน  วาลสาวกับมีโรจึงออกเดินทางไปค้นหาดาวที่เหมาะสมที่พวกแมง เพเกนิโน และมนุษย์จะไปตั้งถิ่นฐานอยู่ได้   ส่วนปีเตอร์คิดว่าจะยับยั้งกองยานก็ต้องไปยับยั้งสภาที่ออกคำสั่ง ก่อนอื่นเขาออกเดินทางไปโลกแห่งวิถีเพื่อนำเอาไวรัสแก้ยีนไปให้พวกผู้สดับเทพ  แล้วก็ชวนหวางหมู่ออกไปทำภารกิจด้วยกัน



         ที่โลกแห่งวิถี หานเฟยจื่อรับไวรัสที่แก้ยีน แล้วแพร่กระจายเชื้อนั้นออกไป เพื่อเปลี่ยนรหัสพันธุกรรมในเซลล์ทุกเซลล์ภายในร่างกายผู้สดับเทพ ทำให้พวกเขาไม่อาจสื่อสารกับเทพได้อีกต่อไป แต่นั่นก็หมายถึงพวกเขาไม่ต้องทำพิธีชำระล้างจิตใจลงโทษตัวเองเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาหลายชั่วอายุคน หานเฟยจื่อกับเจนสร้างเรื่องว่านี่เป็นประสงค์จากทวยเทพที่จะปลดปล่อยสาวกเป็นอิสระ ผู้สดับเทพหลายคนก็รู้สึกดีกับการปลดปล่อย เหลือแต่เพียงชิงเจ้าที่ไม่ยอมเชื่อ เธอยังคงคิดว่าทวยเทพมีอยู่จริงเช่นเดิม แม้จะไม่คุยกับเธออีกแล้วก็ตาม เธอคิดว่านี่เป็นเพียงบททดสอบความจงรักภักดีของเธอเท่านั้น  มิไยดีกับคำครหาหรือคำสรรเสริญของผู้คนที่เห็นเธอเป็นปูชนียบุคคลผู้ศักดิ์สิทธิ์ เธอทำตัวเป็นผู้สดับเทพคนสุดท้ายจนแก่ตายไปแม้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงของเทพอีกเลยก็ตาม บรรดาผู้คนที่นับถือเธอรวบรวมเอาคำพูดของเธอมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ เสียงกระซิบจากทวยเทพ 


SmileySmiley

           ในเล่มนี้ หานชิงเจ้านับว่าเป็นตัวละครที่โดดเด่นมากทีเดียว ถึงตอนแรกจะอ่านแล้วรู้สึกว่าทำไรเนี่ย งมงายชะมัด แต่พอเรื่องดำเนินไปทีละขั้นๆเราจะเข้าใจเธอ จนกระทั่งช่วงท้ายๆอ่านแล้วไม่รู้จะเศร้า สงสาร หรือสมเพชเวทนาเธอดี   เพราะเราจะได้รับรู้เรื่องราวในชีวิตของเธอตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆกำพร้าแม่ ความคิดเห็นของเธอเมื่อโตเป็นสาว ได้เห็นเลยว่าการเลี้ยงดูส่งผลต่อความคิดคนเรายังไง  เอาเข้าจริงชิงเจ้าเป็นคนที่รู้จักตั้งข้อสงสัยต่อความเชื่อนะ เธอฉลาด เธอเก่ง จิตใจก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร  แต่พอเป็นเรื่องที่เธอศรัทธามากๆเป็นจริงมากๆเพราะยีนบังคับตัวเธอ  เธอเลือกจะปักใจเชื่ออย่างหนักแน่นไม่คลอนแคลน  แม้กระทั่งสุดท้ายแล้วเธอรู้ความจริง  อาการของโรคย้ำคิดย้ำทำหายไปแล้ว เธอก็ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ไม่ยอมรับความจริงเอาเลย หาเหตุผลมาแก้ต่างให้ความลวงที่ตัวเองยึดเหนี่ยว 


 ต่างจากพ่อที่อยู่กับทวยเทพมาเกือบทั้งชีวิต เมื่อได้ยินเหตุผลที่เข้าท่า ได้เห็นผลจากการทดลองจริงๆกลับคิดได้ เหมือนที่เอนเดอร์เคยพูดไว้ว่า คนเราอาจจะมีคำถามต่อสิ่งที่เราเชื่อได้ ยกเว้นที่เชื่อจริงๆเราจะไม่สงสัยเลย 

 แต่ที่พีคกว่านั้นไม่ใช่อะไร คือผู้คนที่ดันไปเห็นอาการหลอกตัวเองของเธอ แล้วดันเอาไปบูชานับถือเป็นตุเป็นตะ จนกระทั่งสุดท้ายหลังเธอตายก็ยกให้เธอเป็นเทพผู้พิทักษ์โลกแห่งวิถีซะงั้น ทั้งที่ก่อนตายชิงเจ้าก็ยังสงสัยตัวเอง ประโยคสุดท้ายที่เธอพูดก็คือ "พ่อจ๋า แม่จ๋า หนูทำถูกแล้วใช่ไหม"



           ส่วนหนทางแก้ปัญหาของเรื่องในเล่มนี้เรียกได้ว่า มาเหนือเมฆ เหนือจักรวาลเลยทีเดียว แต่ก็โอเคนะ สำหรับนิยายวิทยาศาสตร์  ความจริงจะให้สังเคราะห์ไวรัสได้ในหลอดทดลองมันก็ได้แหละ  แต่อยากเล่นวิธียากๆ น่าจะเพราะอยากเขียนบทของปีเตอร์หนุ่มกับวาลสาวที่จะมาช่วยแก้ปัญหาอื่นๆต่อไปในภายหน้ามากกว่า



Create Date : 24 มิถุนายน 2560
Last Update : 24 มิถุนายน 2560 1:22:10 น. 0 comments
Counter : 899 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2412014
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 2412014's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.