โจทย์ประจำหลักกิโลที่ 167 : หวั่นไหว บรรยากาศรอบนอกที่อึมครึมท้องฟ้าสีหม่น ๆ ผู้คนที่เดินบ้างวิ่งบ้างด้านนอก เสียงที่คล้ายนิ้วเล็กๆ เคาะลงบนกระจกรอบร้านฟังแล้วเพราะดี หากลองเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจจะได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้คนแทรกจังหวะของสายฝนมาด้วย นักเรียนมัธยมที่เรียนอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านใช้แฟ้มไม่ก็กระเป๋าเป้ขึ้นต่างหมวกกันฝน วิ่งเกาะกลุ่มก้อนหาเป้าหมายที่พอจะช่วยให้ตัวเองคลายหนาวและเลี่ยงเปียกได้ ความวุ่นวายในจังหวะที่สายฝนกระหน่ำลงมา...ผมชอบเสียงของสายฝน
บ่อยครั้งที่ผมจับจองที่นั่งริมกระจกร้านติดกับถนน เพื่อมองดูสายฝนและฟังเสียงผู้คนด้านนอก มองดูคลื่นสึนามิเล็กๆ ที่รถขับแล่นฉิวเฉี่ยวใส่น้ำขังเป็นระลอก กลิ่นและบรรยากาศอุ่นๆ ของกาแฟราวกับเป็นอ้อมกอดที่มองไม่เห็นและกำลังโอบกอดเราอยู่ ผมกวาดสายตามองดูผู้คนในร้านกาแฟเล็กๆ ของตัวเอง มองดูพนักงานสามสี่คนที่ยืนง่วนอยู่กับการปรุงแต่งกาแฟที่ลูกค้าสั่ง
ไม่ใช่แค่บิ๊กซีหรือโลตัสที่มีเสียงวิทยุตามสายเป็นของตัวเอง แต่ร้านกาแฟแห่งนี้ก็มีเสียงตามสายกับเขาเหมือนกัน ที่ด้านหลังร้านผมจัดโซนสำหรับเครื่องเสียงไว้มุมหนึ่ง ต่อพ่วงเข้ากับลำโพงคู่ละไม่กี่บาทที่ซื้อมาแถวเยาวราชซึ่งติดอยู่บนเพดานร้าน โซนเครื่องเสียงจะมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงคอมพิวเตอร์พ่วงอินเตอร์เน็ต เปิดสลับกันอยู่บ่อยๆ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของลูกค้าที่อยากมาหามุมสบาย ๆ
วันนี้ฝนก็ตกเหมือนอย่างทุกวันเพราะเข้าหน้าฝนมาหลายวันแล้ว ผมจับจองที่นั่งเหม่อมองออกไปที่ท้องฟ้าสีหม่นนั้น หยิบแก้วกาแฟที่ตกแต่งลวดลายโดราเอมอนขึ้นจรดวิปครีมกับริมฝีปาก เสียงโมบายกรุ๊งกริ๊งที่แขวนอยู่บนประตูสั่นแจ้งเตือนว่ามีลูกค้า นักเรียนหญิงมัธยมปลายคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน ในมือถือสตาร์บั๊คขวดแก้วเข้ามาด้วยผมยาว ๆ ของเธอเปียก เนื้อตัวชุ่มจนหยดเต็มพื้นไม้เปียกโชก
เธอกวาดสายตามองหาที่นั่งก่อนจะมาเห็นที่นั่งซึ่งว่างอยู่ นี่น่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมชอบเสียงของสายฝน เพราะมันเป็นตัวเรียกลูกค้าชั้นเยี่ยมที่หาที่พึ่งหลบฝนไม่ได้ เธอหย่อนก้นลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกันกับผมวางขวดสตาร์บั๊คบนโต๊ะ เพราะร้านของเราไม่ใหญ่ทำให้ต้องติดป้ายแจ้งกับลูกค้า ว่าหากมาคนเดียวก็รบกวนแบ่งปันที่นั่งบนโต๊ะของท่านให้ผู้อื่นได้นั่งด้วย เป็นกติกาที่อาจจะลำบากคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวไปบ้าง แต่หากมองอีกมุมมันก็เป็นความใจกว้างที่น่ารักดีเหมือนกัน
2
พนักงานเข้ามารับออเดอร์แต่เธอไม่ได้สั่งอะไร เธอบอกว่าเธอมีแล้วพร้อมกับชูขวดสตาร์บั๊คให้พนักงานของผมดู "มาหลบฝนเฉย ๆได้ไหมคะ ?" เธอถามพนักงานคนนั้น พนักงานทำหน้ากระอักกระอ่วนแล้วเหล่มองผมหลายครั้ง ผมเลยพยักหน้าเป็นเชิงบอกกับเขาว่าไม่เป็นไรก่อนที่เขาจะเดินกลับไปที่เคาเตอร์
เธอแกะขวดสตาร์บั๊คในมือแล้วยกดื่ม เปิดกระเป๋าผ้าของตัวเองออกมาแล้วหยิบแยมโรลเซเว่นมาแกะ น่าเสียดายที่แยมโรลชุ่มน้ำแต่เธอก็ยังตักกินด้วยซ่อมเล็ก ๆ พลาสติกท่าทางเอร็ดอร่อย ผมละสายตาจากหนังสือที่อ่านเหลือบมองเธอเป็นระยะ หลังจากกินและดื่มสิ่งที่เธอเตรียมมาได้สักพักเธอก็หันไปเรียกพนักงานอีกครั้ง พนักงานคนเดิมถือกระดาษโน๊ตเดินตรงเข้ามาหาเธอ
"ที่นี่ขอเพลงได้ไหม?" "ครับ ?"พนักงานขมวดคิ้วยื่นหน้าไปถามเธออีกครั้ง "ที่นี่ขอเพลงได้ไหมคะ?" ตั้งแต่เปิดร้านมาหลายปี...นี่น่าจะเป็นประโยคแปลกใหม่ที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา ขอหลบฝนอันนี้ได้ยินบ่อย ขอหนังสือกลับไปอ่าน ก็ได้ยินมาแล้ว มีลูกค้าตบเท้าเข้ามาในร้านกาแฟแล้วขอในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันอยู่บ่อยๆ แต่น่าจะเป็นครั้งแรกนะที่มีคนกวักมือเรียกพนักงานเพื่อขอ"เพลง"
ผมกับพนักงานคนนั้นมองหน้ากัน ส่งสายตาไล่พนักงานคนนั้นกลับไปก่อนโดยไม่ได้ทิ้งคำตอบของคำถามเธอเอาไว้ให้ ตอนนี้ Yiruma กำลังบรรเลงเพลง May Be ผ่านลำโพงของร้านอยู่ เธอเงี่ยหูฟังเพลงจิบกาแฟสตาร์บั๊คที่ใกล้หมดขวดแล้ว เหม่อมองสายฝนที่เกาะพราวและเคาะตัวลงบนบานกระจก ยกนิ้วขึ้นวาดรูปหน้ายิ้มแบบที่เห็นบนสกรีนเสื้อยืดหน้าสีเหลืองๆ อยู่บ่อย ๆ
เธอเบ้ปากแล้วกวักมือเรียกพนักงานคนเดิมอีกรอบ พนักงานคนนั้นเลยเดินทำหน้าเซ็งๆ เข้ามาที่โต๊ะ เธอถามหาชื่อของเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ก่อนหน้านี้และเพลงที่กำลังเล่นอยู่ตอนนี้ หยิบปากกากับกระดาษออกมาจดชื่อเพลง เธอถามพยักงานอีกรอบว่าขอเพลงได้ไหมท่าทางไม่ยอมแพ้
"จะฟังเพลงอะไรเหรอ?" ผมเลิกคิ้วถามเธอปิดหนังสือในมือแล้ววางมันบนโต๊ะ "เพลง Waltzของ Love Psychedelico"
3
ผมให้เธอจดชื่อของเพลงนั้นแล้วส่งให้พนักงาน ใช้เวลาไม่นานหลังเพลงFix you ของ Coldplayจบ เพลง Waltz ที่เธอขอก็บรรเลงขึ้นมาด้วยเสียงกีตาร์โปร่ง ตามมาด้วยเสียงร้องของผู้หญิงฟังแล้วสบาย ๆ ดี เข้ากับบรรยากาศของฝนที่ตกปรอยๆ อยู่ข้างนอก
ผมและคนในร้านอีกสิบกว่าชีวิตฟังเพลงที่เธอขอ เมื่อเพลงจบลงเธอก็จัดการแยมโรลและสตาร์บั๊คในมือจนหมด เธอเหลือบมองนาฬิกาบนผนังแล้วลุกขึ้น หยิบเอาของที่เธอกินเสร็จแล้วไปทิ้งถังขยะ คงเพราะว่าเธอแปลกดีผมเลยลุกขึ้นแล้วเดินตามไปดู
เสียงโมบายเขย่าดังเพราะเธอเปิดประตูออกไปนอกร้าน คงเพราะฝนยังทำหน้าที่ของมันอยู่ เธอเลยยังยืนค้างอยู่ที่ประตูด้านหน้าของร้านไม่ยอมก้าวออกไปเสียที เพราะผมเคยลื่นหกล้มในร้านมาก่อนเพราะลูกค้าพกร่มเข้ามาด้วย ผมเลยเตรียมช่องเสียบร่มเอาไว้ที่ด้านหน้าของร้าน แถมซื้อร่มสำหรับลูกค้าประจำเตรียมเอาไว้ให้หยิบยืมด้วย
เดินตามออกไปจากร้านผมดึงร่มออกจากที่เสียบ เขย่าไล่เม็ดฝนแล้วกางออกก่อนจะส่งมันให้เธอ "จะจีบหนูเหรอ ?"เธอถามผมด้วยสีหน้าท่าทางไม่ค่อยไว้วางใจในตัวผมเท่าไหร่ "ร่มสำหรับลูกค้าประจำ...ถ้ายังไงครั้งหน้ารบกวนเอามาคืนด้วยนะ" เธอลังเลที่จะรับมันผมเลยวางมันไว้ที่พื้น บอกย้ำว่าเอาไปใช้เถอะแล้วเดินกลับเข้าร้าน
ผมกลับมานั่งที่เดิมเปิดหนังสือแล้วบอกให้พนักงานเปิดเพลงของเธออีกครั้ง ฟังครั้งแรกก็รู้สึกขอบคุณเธอขึ้นมาที่ช่วยแนะนำเพลงเพราะๆ ให้ เพลง Waltz บรรเลงอีกรอบผมเหลือบเห็นเธอกางร่มเดินผ่านหน้าร้าน เธอเห็นผมมองมาเลยผงกศีรษะให้ผมแล้วเดินผ่านไป รูปยิ้มที่เธอวาดไว้บนกระจกสะท้อนในดวงตาผม ตลกดีที่ประโยค"sentence in clouds ..." ในเพลงดังขึ้นพอดี
ด้วยความสนใจและแรงดึงดูดบางอย่าง ผมโน้มตัวไปแล้วเป่าลมหายใจลงบนบานกระจก ไม่ใช่แค่หน้ายิ้มที่เธอเขียนเอาไว้ แต่ยังมีลายมือที่เขียนจากปลายนิ้วเขียนเอาไว้สั้น ๆ ว่า 'I Luv Rain'
4
ผมถ่ายรูปกระจกบานนั้นด้วยกล้องโพราลอยKodak สะบัดแผ่นฟิล์มทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันก็ไม่ได้ช่วยให้ภาพปรากฏเร็วขึ้น แต่คงเพราะสะบัดจนชินนิสัยไปแล้ว เดินไปหยิบปากกาหมึกดำเขียนคอมเมนต์ใต้ภาพว่า'Me Too' ลงไป ผมแปะภาพนั้นลงที่บอร์ดไม้ก๊อกที่ชวนให้ลูกค้ามาแปะมาเขียนอะไรต่อมิอะไรกัน
สองอาทิตย์ร่มที่เธอยืนไปไม่ได้หวนกลับมาที่ร้านเฉกเช่นตัวเธอเอง แอบคิดว่าคงเหมือนกับลูกค้าคนอื่นๆ ที่ชอบหยิบติดมือไปแต่ไม่ชอบเอากลับมาคืน เกือบจะข้ามเดือนผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม จรดวิปครีมลายโดราเอมอนชึ้นแตะริมฝีปากอีกรอบ ร่มสีเหลืองใสวูบผ่านหน้าผมไปเสียงโมบายดังขึ้นที่ประตู วันนี้เธอไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนเปียกๆ แต่ใส่ชุดลำลองสบาย ๆ
เธอกวาดสายตามองหาที่นั่ง วันนี้ลูกค้าไม่เยอะเหมือนครั้งก่อนเธอเลยเลือกนั่งโต๊ะมุมร้านเงียบ ๆ ผมกวักมือเรียกพนักงานให้ช่วยเปิดเพลงWaltz เพราะนึกถึงขึ้นมา จะว่าไปผมก็ไม่ได้ฟังเพลงนี้ตั้งแต่วันนั้นแล้ว พอเจอเธอผมเลยนึกถึงมันขึ้นมา...
เธอดูแปลกใจนิดหน่อยที่จู่ๆ เพลงนี้ก็เล่นขึ้นมา เธอเหม่อมองลำโพงร้านอยู่พักใหญ่ พนักงานเดินเข้าไปถามหาสิ่งที่เธอต้องการ วันนี้เธอไม่ได้มาแค่หลบฝนแต่ยังช่วยอุดหนุนกาแฟลาเต้อุ่น ๆ แก้วหนึ่งด้วย
คงเพราะมุมที่เธอนั่งมันอยู่ใกล้ๆ บอร์ดไม้ก๊อกของร้าน เลยลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินดูเดินอ่านลายมือและรูปถ่ายของลูกค้า เลื่อนไล่มาจนถึงโซนรูปถ่ายโพลารอยที่ผมชอบถ่ายแล้วเอามาแปะ เป็นรูปถ่ายจากในร้านไปข้างนอกบ้างจากนอกร้านมาข้างในบ้าง แปะไล่แปะเรียงโดยมีคอมเมนต์ลายมือหวัดๆ ของตัวเองเขียนเอาไว้ด้วย มีบ้างที่รูปถ่ายของคนอื่นจะแปะปนมาอวดฝีมือบนบอร์ดของร้านบ้างเหมือนกัน
5
เธอมองผ่านรูปหน้ายิ้มบนกระจกพร้อมตัวหนังสือ'I Luv Rain' ไป คงเพราะจำไม่ได้แล้วว่านั่นคือผลงานของเธอเอง หญิงสาวกลับมานั่งที่โต๊ะเพราะกาแฟมาเสริฟแล้ว ผมนั่งอ่านหนังสือในมือเวลาล่วงเลย ฝนยังตกอยู่ เธอลุกขึ้นจากที่แล้วเดินผ่านโต๊ะของผมไป เสียงโมบายดังขึ้นผมมองเห็นเธอกางร่มสีเหลืองใส เหลือบมองผมแล้วผงกศีรษะให้ก่อนจะเดินผ่านไป ผมคิดว่าเธอจำผมได้... พนักงานเดินเข้ามาบอกว่าเธอเอาร่มที่ยืมไปมาคืนแล้ว
ปิดหนังสือในมือถือถาดเดินไปที่โต๊ะของเธอ หยิบแก้วลาเต้วางบนถาดเห็นวงน้ำจากก้นแก้วปรากฏอยู่บนโต๊ะ มีรอยแต้มรูปตาและยิ้มเหมือนที่เคยเห็นผมเลยเผลอยิ้มตามไปด้วย คงเพราะยังคิดถึงบานกระจกเลยหันไปมอง ไม่มีอะไรอยู่ที่หน้าต่างแต่ความโรคจิตบางอย่างก็ทำให้ผมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ แล้วเป่าลมไปบนบานเกล็ดกระจกอีกรอบ
"I Luv Rain" เธอเขียนมันลงที่บานกระจกอีกครั้ง แถมเพิ่มคำว่า 'ขอบคุณ' เอาไว้ด้วย เป็นข้อความลับที่แปลกดีผมรู้แล้วว่าเธอรักสายฝน แต่ไม่มั่นใจว่าเธอกำลังขอบคุณอะไร
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เธอก็เปิดประตูร้านเข้ามาพร้อมชุดนักเรียนเปียกๆ เหมือนเคย เพลง Waltz เปิดต้อนรับเธอและมันยังคงเปิดรับเธออยู่ตลอด บางวันบานกระจกไม่มีข้อความลับอะไรบางทีก็มีอยู่บนนั้น เป็นประโยคเดิมๆ ซ้ำ ๆ และหน้ารูปยิ้มเหมือนเคย
ข้างนอกฝนตกหนักเธอยืนอยู่หน้าประตูร้านเหมือนเดิม ผมเดินออกไปดึงร่มสำหรับลูกค้าเขย่าไล่เม็ดฝนแล้วกางออกก่อนจะส่งให้ "จะจีบหนูเหรอ ?"เธอถามผมเหมือนอย่างวันแรก "ร่มสำหรับลูกค้า"ผมบอกเธอสั้น ๆ แล้วกางร่มอีกคันเดิมนำออกไปก่อน ดูเหมือนวันนี้ผมไม่น่าจะได้กลับไปทันอ่านข้อความลับของเธอ เพราะน้ำตาลที่ร้านดันหมดผมเลยต้องออกไปซื้อที่เซเว่นใกล้ ๆ
"พี่ ๆ"เธอร้องเรียก ผมเลยหันกลับไป "ห๊ะ ?" "หนูไปด้วยได้ไหมขี้เกียจเอาร่มกลับมาคืน" "อ่อ...จะจีบพี่เหรอ?" ผมย้อนถามกลับไปบ้าง "งั้นหนูเอาร่มไปแล้วค่อยเอากลับมาคืนแล้วกัน"เธอย่นจมูกเล็ก ๆ ของเธอให้ผม "ยังไงวันนี้ก็ไม่ใช่วันสุดท้ายที่จะมาที่ร้านไม่ใช่เหรอ?" "ที่นี่เปิดเพลงเพราะดี" เพราะว่าเราเดินไปทางเดียวกันเลยมีร่มสองคันกางเคียงกันไปตามทางเท้า เป็นครั้งแรกที่เราได้พูดคุยกัน
6
ผมหลับตาลงพักสายตาจากการอ่านหนังสือ ผมลืมตาขึ้นเธอเดินยิ้มเข้ามาในร้าน กล่าวทักทายผม ทั้ง ๆที่น่าจะเข็ดกับการเดินตัวเปียกเข้ามาในร้านได้แล้ว
"ที่จริงหยิบจากที่เสียบร่มนี่ไปเลยก็ได้นะด้านขวาทั้งหมดเป็นของร้าน" ผมบอกเธอ ฤดูฝนผ่านไปในวันฝนตกวันสุดท้ายของฤดู จำได้ว่าเธอนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะด้านในของร้าน ส่วนผมก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะตัวเดิมที่นั่งฟังเสียงฝนเป็นประจำ ผมออกไปหยิบร่มให้เธอเหมือนเดิมบอกลากันเล็กน้อยเหมือนทุกที แล้วเธอก็ไม่มาที่ร้านอีกจนฤดูฝนเวียนมาอีกครั้ง
7
ผมนัดคุยกับรุ่นน้องชมรมดูดาว เพื่อตรวจเช็คงบประมาณและที่ทางที่เราจะไปออกทริปด้วยกัน เสียงโมบายประตูสั่นไหวตามมาด้วยเสียงของสายฝนที่ดังไล่หลังมา เพลง Waltz เข้ามาทักทายผมอีกครั้ง ผมเลยละสายตาจากคู่สนทนาชะเง้อมองนักเรียนมัธยมปลายตัวเปียก เธอยิ้มและผงกศีรษะทักทายผมผมเองก็ยิ้มทักทายเธอกลับไป
หญิงสาวเดินไปนั่งที่โต๊ะด้านในซึ่งเหลือว่างอยู่เพียงโต๊ะเดียว ผมยังคงพูดคุยกับเพื่อนๆ และรุ่นน้องในชมรม ช่วยกันลิสรายชื่อของใช้จำเป็นและคำนวนรายจ่ายที่ต้องแชร์กันทั้งหมด15 คน เสียงโมบายเขย่าที่หน้าประตูอีกครั้งผมเลยหันไปมองที่โต๊ะของเธอ พอเห็นว่าเธอไม่อยู่ผมเลยลุกขึ้นแล้วขอตัวออกไปที่หน้าร้าน
เธอยังคงยืนมองสายฝนอยู่ด้านนอกของร้านเหมือนเคย เสียงเพลงที่เธอชอบยังคงเปิดไล่หลังเธอตอนที่ผมผลักประตูออกมา
.................................................................. Life was forever
ผมเขย่าเม็ดฝนออกจากร่มกางมันแล้วส่งให้เธอเหมือนปีก่อน "ไม่เจอกันนานเลย"ผมเอ่ยทักเธอ "พี่จะจีบหนูเหรอ?" เธอหันมาแลบลิ้นให้"ให้คนอื่นหยิบร่มให้ก็ได้มั้ง" "สงสัยจะเคยชินซะแล้ว"ผมบอกเธอ เธอยิ้มพลันรับล่มไป ผมกลับมานั่งร่วมกับกลุ่มเพื่อนเธอกางร่มที่ผมให้เดินผ่านมา ผงกศีรษะให้ผมเล็กน้อยแล้วเดินผ่านหน้าร้านไป เธอเดินผ่านไปได้ครู่หนึ่งถึงพึ่งนึกขึ้นได้ ผมลุกจากที่แล้วเดินไปที่กระจกข้างโต๊ะของเธอ ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะเป่าลมหายใจลงบนกระจกท่ามกลางสายตาแปลกๆ ของเพื่อน ๆ รูปหน้ายิ้มแปะอยู่บนกระจกพร้อมกับประโยคยาวกว่าเคย
'Nice to see you again' ผมหยิบกล้องโพราลอยตัวเดิมขึ้นมามองมันผ่านเลนส์ เขย่าฟิล์มที่เคลื่อนผ่านตัวกล้องออกมาเหมือนเคย ผมแปะมันลงบนบอร์ดไม้ก๊อกแล้วกลับมานั่งคุยกับเพื่อนๆ เหลือบมองภาพถ่ายนั้นที่ผมเขียนคอมเมนต์กำกับไว้อีกครั้ง ถึงอยู่ไกลแต่ผมก็มองเห็นลายมือของตัวเองที่พึ่งจะเขียนลงไป 'Me too'
ขอบคุณที่แบ่งปัน
โดย: Kavanich96 วันที่: 25 ธันวาคม 2559 เวลา:3:04:17 น.
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะครับ :D
โดย: Oneneung (สมาชิกหมายเลข 3599246 ) วันที่: 25 ธันวาคม 2559 เวลา:10:08:59 น.
|
สมาชิกหมายเลข 3599246
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |