แด่คุณ...ผู้ขโมยร่มของผมไป








1


ฝนมันปกปิดน้ำตาได้อย่างดีเยี่ยม
มันทำให้คนเดินผ่านไปผ่านมาดูไม่ออก
ว่าที่เปียกปอนบนใบหน้าคือฝนหรือน้ำตากันแน่
ถ้าหากเจ้าตัวไม่ทำหน้าเหยเกบิดเบี้ยวแสดงความเจ็บปวด
ก็คงจะไม่มีใครดูออกว่าคน ๆ นั้นกำลังรู้สึกและกำลังเสียใจอยู่
ผมนั่งจ่อมอยู่ตรงที่นั่งเดิม ร้านกาแฟเดิม 
อ่านหนังสือเล่มเดิมที่ใช้เวลาตลอดทั้งสัปดาห์ก็ยังอ่านไม่จบเสียที
คงเพราะอัตะชีวประวัติของ สตีฟ จอบส์ 
ฉบับ วอเตอร์ ไอแซคสัน หนาเกินไปหน่อย
อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากไฟไหม้ร้านขึ้นมา
คงใช้มันต่างค้อนทุบกระจกหนีตายออกมาได้เลย


ผมสดับฟังเสียงของสายฝนที่โปรยปรายอยู่ด้านนอก
กระจกแผ่นบาง ๆ ของร้านกาแฟกั้นกลางระหว่างผมกับมัน
มีหยดน้ำเกาะพราวพอให้รู้สึกว่าความหนาวไม่ได้แผ่เข้ามาถึงตัวผม
พอคิดว่าอีกหน่อยหน้าฝนก็จะโบกมือลาเราไปแล้วก็รู้สึกเหงา ๆ ขึ้นมานิดหน่อย
คงเพราะต้องรอให้ฤดูวนมาอีกรอบในปีหน้าเลย
ถึงจะได้ฟังซาวน์เพราะ ๆ ของเม็ดฝนแบบนี้อีก
ไม่ค่อยชอบพื้นเปียก ๆ มีน้ำขัง 
ไม่อยากตะโกนด่าไล่หลังรถที่เหยียบน้ำแล้วสร้างสึนามิขึ้นมาทางเท้า
ไม่ชอบเวลาเท้าตัวเองเปียก หรือชายกางเกงเลอะคราบดินโคลน
แต่ถ้าหากไม่ได้ออกไปไหน เสียงของฝนเป็นอะไรที่เพราะดีถ้าได้นั่งฟังนาน ๆ เข้า


ช่วงนี้ไม่ค่อยอยากดื่มกาแฟเพราะรู้สึกไม่ค่อยดี
ดื่มทีไรเป็นต้องปวดท้องแล้วอาเจียนทุกที
เลยเปลี่ยนมาดื่มโกโก้ร้อน ๆ แทน
หนังสือที่อ่านถือนาน ๆ ก็รู้สึกไม่ไหว เลยต้องพักสายตาบ้าง
นึกว่ากำลังอ่านไปยกเวตไปด้วย หนาจริงหนาจัง
อ่านชั่วโมงนึงนี่เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก


ระหว่างนั่งปล่อยให้ความคิดวิ่งเล่นไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย
ผมมองออกไปข้างนอกอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้
คนเดินกางร่มผ่านไปผ่านมาหน้าร้านและถนนฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยม
มองออกไปแบบไม่มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษ สายตาดันเหลือบไปเห็นเธอเข้า
อย่างที่บอก..ผมไม่มีทางมองออกได้เลยว่าเธอกำลังยืนทำอะไร 
ด้วยความรู้สึกแบบไหน...
ที่ผมเห็นคือเด็กนักเรียนมัธยมปลายที่กำลังยืนตากฝนอยู่
ตัวเปียกจนทำให้นึกถึงลูกค้าคนนึงที่ชอบเข้ามาในร้านด้วยเนื้อตัวเปียกซก


คงเพราะเธอเป็นสิ่งแปลกปลอมในฉากตรงหน้าผม
ทุกคนมีร่ม เสื้อกันฝน หรือกระเป๋าวิ่งและเดินไปมา
แต่เธอกลับยืนเปียกซกอยู่ตีนบันไดสะพานลอยหันหน้ามาทางร้านตรงที่นั่งผม
ระยะห่างระหว่างเราคงราว ๆ เกือบ สามร้อยเมตร
ขั้นกลางด้วยถนนสองเลนซึ่งมีรถวิ่งบางตา


เธอยกมือขึ้นลูบใบหน้า
ยืนอยู่แบบนั้น มือทั้งสองกำแน่นแนบลำตัว
เห็นเธอเม้มปากสองสามครั้ง 
ก่อนใบหน้าจะแสดงออกว่าเธอคงไม่ได้มีอารมณ์อยากเล่นน้ำฝนอย่างที่คิด
คงเพราะว่างมากเลยเผลอจับเวลาด้วยนาฬิกาไอโฟน
ว่าเธอจะตากไปนานสักแค่ไหน
ตัวเลขดิจิตอลวิ่งไปแตะสิบนาทีกำลังทะลุไปสี่สิบกว่าวินาทีแล้ว
ผมยกมือขึ้นเท้าคางมองเธอ เธอกำลังร้องไห้อย่างไม่ต้องสงสัย


2


ผู้คนเดินผ่านขึ้นลงสะพานลอยแล้วเหลือบมองเธอ
แต่ก็แค่มองผ่าน ๆ เหมือนเธอเป็นเพียงตัวละครประกอบฉาก
ไม่ได้สลักสำคัญถึงขนาดทำให้ใครสักคนว่างพอจะเข้าไปดูว่าเธอเป็นอะไร
ผมมองเธอเนิ่นนาน คิดสารพัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
รออยู่พักหนึ่ง..ผมเอื้อมมือไปแตะปิดนาฬิกาจับเวลา 
สถิติของเธอทะลุมาที่สิบห้านาทีแล้ว


ผมลุกขึ้นเดินออกไปที่หน้าร้าน ดึงเอาร่มของตัวเองออกจากชั้นเสียบร่ม
เดินกางร่มที่สายฝนเคาะเป็นจังหวะซ่าซ่าเหนือศีรษะ
น้ำหนักของเม็ดฝนส่งตรงมาจนถึงด้ามจับ มันสั่นไหวและมีน้ำหนักน่าดู
ข้ามไปจนถึงฝั่งเดียวกันกับเธอ
ผมยืนกางร่มยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ
เสียงสะอื้นแหวกซาวน์คุ้นหูของสายฝนเข้ามา เป็นเสียงแปลกใหม่


เธอใช้หลังมือปาดใต้ตาแล้วเหลือบมองผม
ปากของเธอเบะคล้ายจะร้องไห้อีกระลอกหนึ่ง
เราไม่ได้สนิทกันขนาดที่จะถามไถ่หรือปลอบประโลมกันและกัน
ระหว่างยืนอยู่ข้าง ๆ เธอที่กำลังร้องไห้
ผมได้แค่ถามตัวเองว่ามายืนทำบ้าอะไรตรงนี้
อยากหยิบไอโฟนขึ้นมากดจับเวลาตัวเองยืนดูบ้าง
แต่เลือกนับเลขในใจแล้วทอดสายตามองข้ามไปที่ร้านกาแฟตรงจุดที่ตัวเองเคยนั่งแทน


เหม่อ ๆ ได้ไม่เท่าไหร่รถเก๋งคันหนึ่งก็วิ่งผ่านด้วยความเร็ว
สึนามิสูงถึงเอวสาดขึ้นมาเต็มเหนี่ยว
ไม่ใช่แค่เธอที่เปียกแต่ตัวผมเองก็เช่นกัน
แถมเป็นน้ำขังสีข้น ๆ อีกต่างหาก

อารมณ์ของผมดิ่งลงทันที
เธอไม่ได้แสดงท่าทางโมโหกราดเกรี้ยวอะไร
แต่ตัวผมคงไม่ไหวแน่ ๆ ถ้าหากยังยืนท่อนล่างเปียกซกแบบนี้
ผมหันหน้าเข้าหาเธอ มองเห็นใบหน้าด้านข้างที่เปียกฝนและน้ำตาปน ๆ กันจนแยกไม่ออก
วางมันลงตรงพื้นข้าง ๆ เธอ


เธอก้มมองร่มที่ผมวางไว้แล้วเงยหน้ามองผม
ที่ตอนนี้หลบจากร่มเงาคุ้มหัวออกสู่สายฝนแล้ว
หวังว่าน้ำฝนจะช่วยชะล้างน้ำขุ่น ๆ ข้น ๆ บนตัวออกไปบ้าง
ไม่อยากกลับเข้าไปในร้านกาแฟแล้วมีกลิ่นตุ่ย ๆ ให้คนมอง


"เอาไปใช้นะครับ" ผมบอกเธอแค่นั้นแล้วเดินกลับขึ้นสะพานลอยไป
เข้ามาในร้านกาแฟแล้วหายเข้าไปด้านหลังร้าน
หยิบเอาผ้าเช็ดตัวมาเช็ดหัว ดึงเอาชุดใหม่มาเปลี่ยนหลังล้างตัวเสร็จ
กลับออกมานั่งอีกทีก็ไม่เห็นเธอแล้ว
เหลือไว้แค่ร่มของผมที่ยังวางอยู่บนพื้นนั่น
เธอในตอนนี้คงยังไม่อยากรับความปรารถนาดีจากคนอื่นสักเท่าไหร่


3


คิดว่ารอให้ฝนซากว่านี้จะออกไปเอาร่มกลับมา
ดื่มโกโก้ร้อนให้ความอุ่นเข้าไปในร่างกาย
ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อพักหนึ่ง เงยหน้ามองร่มที่ยังวางอยู่ตรงนั้น
ได้ยินเสียงออดดังทะลุรั้วโรงเรียนออกมา ใกล้เวลาเลิกเรียนแล้ว
เด็กนักเรียนวิ่งกันให้พรึบขึ้นสะพานลอยในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน
รถของผู้ปกครองจับจองพื้นที่หน้าร้านจอดชั่วคราวเพื่อรอรับลูก ๆ


ท่ามกลางเด็กนักเรียนที่เหมือนกับแกะขาว ๆ เพราะชุดที่ใส่
เธอเดินกลับมาที่ร่มซึ่งนอนแอ้งแม้งอยู่ตรงนั้น
สีหน้าของเธอไม่ได้แสดงความเจ็บปวดเหมือนอย่างก่อนหน้านี้
แต่แสดงความแปลกใจ...
บางทีเธออาจจะงงว่าทำไมมันถึงยังวางอยู่ตรงนี้โดยไม่มีใครมือดีหยิบฉวยไปซะก่อน
ผมเองก็คิดอย่างนั้น ถ้าหากมอง ๆ อยู่แล้วมีใครสักคนหยิบไปคงจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่เลว
อารมณ์คงเหมือนได้เห็นโจรขโมยหมวกกันน๊อกรถมอเตอร์ไซค์ตัวเป็น ๆ อะไรประมาณนั้น


เธอก้มลงหยิบมันขึ้นมากางเหนือศีรษะ
ซุกตัวภายใต้ร่มคันนั้นแม้ว่าตัวเองจะเปียกซกอยู่แล้ว
ผมมองเธอเดินผ่านบันไดสะพานลอยฝั่งนั้นไปยังที่ไหนสักแห่งพร้อม ๆ กับร่มของผม
มาตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่าเธอหน้าตายังไง
จำไม่ได้ด้วยว่าร่มที่ให้ไปเป็นแบบไหน ราคาเท่าไหร่ มันยังอยู่ดีไหม


ฤดูฝนวนมาสองรอบแล้ว...
เธออาจลืมไปแล้วว่าเคยยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้น






Create Date : 23 ธันวาคม 2559
Last Update : 23 ธันวาคม 2559 12:20:15 น.
Counter : 397 Pageviews.

1 comments
  
ขอบคุณที่แบ่งปัน
โดย: Kavanich96 วันที่: 24 ธันวาคม 2559 เวลา:2:18:59 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 3599246
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ธันวาคม 2559

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
25
26
27
28
29
30
31
 
  •  Bloggang.com