16 กย 58 ต้อยติ่งเทศ - Wild Petunias
เดือนแห่งการลาจากเวียนมาอีกครั้ง ไม่ไปสักงาน ไม่อยากไปก็ไม่ไป อะไรไม่อยากทำก็ไม่ทำ สงสัยติดโรคเบื่อมาบ้าง มีแต่ดอกไม้ที่ยังไม่เบื่อ เดินชมกันได้ทุกวัน อากาศเย็นสบาย ครึ้มฟ้าครึ้มฝนกับ Vamco strom ได้เนื้อได้น้ำเข้าเขื่อนกันบ้างค่ะ ต้อยติ่งเทศ ไม้ประดับขนาดเล็ก ลำต้นสีม่วงเข้มเป็นแนวตั้งตรงไม่แผ่ออกข้าง มีดอกประปรายตามความสูงของต้น ที่สูงไม่เกินหนึ่งเมตร เลี้ยงง่ายตายยาก ชอบแดดจัด ดอกสีม่วงเข้มออกดอกเก่งมาก ไม่มีวันไหนที่ต้อยติ่งเทศจะไม่มีดอก ปลูกไว้ 5 ถุง ห้าสิบบาท ในกระถางเลี้ยงบัวใบใหญ่ เพราะไม่มีดินดี และไม่ค่อยจะมีแดด สวยชอบเดินชมทุกวัน แต่กอนี้ทำไมไม่มีเมล็ดก็ไม่ทราบ ไม้ราคาถูกเพาะพันธุ์ง่าย ปลูกไว้ดึงดูดความสนใจให้มองที่กลุ่มดอกไม้ เพื่อปิดบังส่วนที่ไม่สวยงาม หรือ บังรั้วผุเก่า หรือในทุ่งกว้างรกร้าง ก็ทำให้กลายเป็นบริเวณที่สวยเก๋สะดุดตาไปอีกแบบ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ruellia squarrosa (Fenzi) Cufod. ชื่อวงศ์ : Acacthaceae. ชื่อสามัญ : ruellias, wild petunias ชื่อเรียกอื่นๆ : มีชื่อเรียกอื่นๆที่เรียกกันไปตามท้องถิ่นเช่น ต้อยติ่งฝรั่ง ต้อยติ่งน้ำ อังกาบฝรั่ง ต้นอังกาบ เป๊าะแป๊ะ เป็นต้น และยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งที่รู้จักกันในหมู่นักจัดสวนว่า ต้นฟ้าประทานพร
ลักษณะทั่วไปของ ต้นต้อยติ่งเทศ หรือต้อยติ่งฝรั่ง จัดอยู่ในจำพวกไม้พุ่มขนาดเล็ก มีความสูงของลำต้นประมาณ 40-80 ซ.ม. ลักษณะของใบจะออกเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับตรงข้ามกันแบบห่างๆ(ใบจะไม่ถี่หนาแน่น) ใบเรียวยาวปลายแหลม เป็นไม้ที่ชอบอยู่กลางแจ้ง ชอบแดด แต่ดอกจะติดไม่ค่อยทนนานก็จะร่วง
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรีคาถา ปัญจกนิบาต ๒. วิมลปุรณคณิกาเถรีคาถา ๒. อรรถกถาวิมลาเถรีคาถา#- #-บาลีเป็น วิมลาปุราณคณิกาเถรีคาถา.
คาถาว่า มตฺตา วณฺเณน รูเปน เป็นต้นเป็นคาถาของพระเถรีชื่อวิมลา. แม้พระเถรีชื่อวิมลาองค์นี้ ก็ได้สร้างสมบุญบารมีไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ ในพุทธุปปาทกาลนี้ เกิดเป็นธิดาของหญิงผู้อาศัยรูปเลี้ยงชีพคนหนึ่งในกรุงเวสาลี มีชื่อว่าวิมาลา นางวิมลานั้นครั้นเจริญวัยแล้วก็เลี้ยงชีพอย่างนั้นเหมือนกัน
วันหนึ่ง นางเห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะเที่ยวบิณฑบาตในกรุงเวสาลี มีจิตปฏิพัทธ์จึงไปถึงที่อยู่ของพระเถระเริ่มทำการเล้าโลมมุ่งพระเถระ. อาจารย์บางท่านกล่าวว่า ถูกพวกเดียรถีย์ส่งไปจึงได้ทำอย่างนั้น
พระเถระคุกคามแล้วได้ให้โอวาทแก่นางโดยการชี้แจงถึงอสุภกัมมัฏฐานเป็นข้อสำคัญ เรื่องนั้นมีมาในเถรคาถาที่แล้วมานั่นแล เมื่อพระเถระให้โอวาทอย่างนั้นแล้ว นางเกิดความสังเวช เกิดหิริโอตตัปปะ ได้ศรัทธาในพระศาสนา เป็นอุบาสิกา. เวลาต่อมาได้บวชในหมู่ภิกษุณี เพียรพยายามอยู่ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต เพราะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุ พิจารณาการปฏิบัติของตน ได้กล่าวคาถาเหล่านี้เป็นอุทานว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เมาวรรณะ รูปสมบัติ ความสวยงาม บริวารสมบัติและมีจิตกระด้างด้วยความเป็นสาว ดูหมิ่น หญิงอื่น ข้าพเจ้าประดับกายนี้ให้วิจิตรงดงามสำหรับลวง ผู้ชายโง่ๆ ได้ยืนอยู่ที่ประตูเรือนหญิงแพศยา ดุจนาย พรานที่คอยดักเนื้อฉะนั้น ข้าพเจ้าแสดงเครื่องประดับต่างๆ และอวัยวะที่ควร ปกปิดเป็นอันมากให้ปรากฏ กระทำมายาหลายอย่างให้ ชายเป็นอันมากยินดี
วันนี้ข้าพเจ้านั้นมีศีรษะโล้น ห่มผ้าสังฆาฏิ เที่ยว บิณฑบาตแล้ว มานั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ ได้ฌานอันไม่มี วิตก ข้าพเจ้าตัดเครื่องเกาะเกี่ยวทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่ เป็นของมนุษย์ได้ทั้งหมด ทำอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป มี ความเย็น ดับสนิทแล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มตฺตา วณฺเณน รูเปน ได้แก่ ด้วยวรรณะคือคุณ และด้วยรูปสมบัติ. บทว่า โสภคฺเคน ได้แก่ ด้วยความน่าพึงใจ. บทว่า ยเสน ได้แก่ ด้วยบริวารสมบัติ ความว่า เป็นผู้เมา คือถึงความเมาซึ่งได้แก่เมาวรรณะ เมารูป เมาความงามและเมาบริวาร. บทว่า โยพฺพเนน จุปตฺถทฺธา ความว่า กระด้างยิ่งๆ ขึ้น ด้วยความเมาในความเป็นสาว คือมีจิตกระด้าง ได้แก่มีใจไม่สงบระงับด้วยอหังการ ซึ่งมีความสาวเป็นนิมิต. บทว่า อญฺญาสมติมญฺญิหํ ความว่า ข้าพเจ้าได้ดูหมิ่นหญิงอื่นๆ ด้วยคุณมีวรรณะเป็นต้นของตน แม้โดยประการทั้งปวง อีกอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้าดูหมิ่นคือดูหมิ่นแล้ว ได้แก่ได้ทำการดูหมิ่นคุณมีวรรณะเป็นต้นของหญิงอื่นๆ. บทว่า วิภูสิตฺวา อิมํ กายํ สุจิตฺตํ พาลลาปนํ ความว่า ข้าพเจ้าประดับ คือตกแต่งให้สวยงามน่าเลื่อมใส ซึ่งกายของข้าพเจ้านี้ที่เต็มไปด้วยของไม่สะอาดหลายอย่าง น่าเกลียด ให้วิจิตรงดงามด้วยการประเทืองผิวและแต่งผมเป็นต้น ด้วยพัสตราภรณ์ทั้งหลาย สำหรับลวงผู้ชายโง่ๆ โดยลวง คือพูดกับพวกผู้ชายโง่ๆ ว่า ของฉัน. บทว่า อฏฺฐาสึ เวสิทฺวารมฺหิ ลุทฺโธ ปาสมิโวฑฺฑิย ความว่า ข้าพเจ้าได้ยืนเอากายของข้าพเจ้าตามที่กล่าวแล้วซึ่งเป็นบ่วงมารล่อเหยื่ออยู่ที่ประตูเรือนหญิงแพศยา คือที่ประตูเรือนของหญิงแพศยา ดุจนายพรานเนื้อดักบ่วงเนื้อมีตาข่ายผูกท่อนไม้เป็นต้น เพื่อต้องการผูกมัดเนื้อทั้งหลาย.
บทว่า ปิลนฺธนํ วิทํเสนฺตี คุยฺหํ ปกาสิกํ พหุ ความว่า แสดงอวัยวะที่ควรปกปิดมีขา ตะโพกและก้นเป็นต้น และอวัยวะที่ควรให้ ปรากฏมีเท้าเข่าและศีรษะเป็นต้น คือแสดงอวัยวะที่ควรปกปิดให้ปรากฏ และเครื่องประดับคืออาภรณ์มีประการต่างๆ เป็นอันมาก.
บทว่า อกาสึ วิวิธํ มายํ อุชฺฌคฺฆนฺตี พหุ ชนํ ความว่า ข้าพเจ้าหัวเราะเพื่อประเล้าประโลมชายโง่เป็นอันมากที่มัวเมาความสาว ได้กระทำการล่อลวงมีอย่างต่างๆ คือมีประการต่างๆ ด้วยการปกปิดสภาพของสรีระ ด้วยของหอมดอกไม้และพัสตราภรณ์เป็นต้น และด้วยทีท่านั้นๆ มีหัวเราะและภาวะที่มีเสน่ห์เป็นต้น.
บทว่า สาชฺช ปิณฺฑํ จริตฺวาน มุณฺฑา สงฺฆาฏิปารุตา นิสินฺนา รุกฺขมูลมฺหิ อวิตกฺกสฺส ลาภินี ประกอบความว่า ข้าพเจ้านั้นเป็นผู้อยู่ด้วยความประมาทอย่างนี้ วันนี้คือเดี๋ยวนี้ได้ตั้งอยู่ในโอวาทของพระผู้เป็นเจ้ามหาโมคคัลลานเถระ บวชในพระศาสนา มีศีรษะโล้น ห่มผ้าสังฆาฏิเที่ยวบิณฑบาต นั่งฉันภิกษาหาร คือนั่งที่โคนต้นไม้ คือบนอาสนะที่สงัด ณ โคนต้นไม้ เป็นผู้ได้ฌานอันไม่มีวิตก ด้วยการบรรลุพระอรหัตผลซึ่งมีทุติยฌานเป็นบาท.
บทว่า สพฺเพ โยคา ได้แก่ เครื่องเกาะเกี่ยวแม้ทั้ง ๔ มีเครื่องเกาะเกี่ยวคือกามเป็นต้น. บทว่า สมุจฺฉินฺนา ความว่า ตัดทิ้งคือละโดยชอบทีเดียวตามสมควร ด้วยปฐมมรรคเป็นต้น. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วแล. จบอรรถกถาวิมลาเถรีคาถาที่ ๒
Create Date : 16 กันยายน 2558 |
Last Update : 16 กันยายน 2558 19:55:23 น. |
|
6 comments
|
Counter : 5560 Pageviews. |
|
|
ว่าแต่ต้นต้อยติ่งเทศน์ เรื่องอะไรคะ