สิงหาคม 2557

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
27
30
 
 
26 สิงหาคม 2557
เนรมิตอักษรา 15

บทที่ 15

ตื่นจากฝัน


แววตาหม่น เหม่อมองผืนฟ้ากว้างยามค่ำคืนแสงไฟจากตึกรามบ้านช่องทยอยจุดความสว่างแก่สังคมเมืองจนกระจายทั่วพื้นที่เป็นชั่วโมงแล้วกับการพักสายตาจากต้นฉบับนิยายออกมายืนรับลมตรงระเบียงนอกห้องพักผู้ป่วยอย่างนี้ศาสวัตทอดสายตามองท้องฟ้ายามเย็นค่อยๆ มืดมิดข้ามสู่ราตรีด้วยใจสงบนิ่ง ราวกับกระแสน้ำไร้คลื่นลมพัดผ่านพยายามทบทวนความคิดต่อสิ่งที่ประสบ ไม่ว่าจะภาพฝันหรือความจริง


มือแข็งแรงล้วงลงกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีเข้มลายสก๊อตหยิบลูกแก้วแวววาวขึ้นมองอย่างจดจ้องหาคำตอบ เพราะเหตุใดพระอาจารย์จึงมอบของสิ่งนี้ให้เขาถือครองไว้และแก้วนาคราเกี่ยวพันอย่างไรกับความฝันที่หลุดเข้าไปยามหลับใหลหลังจากอ่านนิยายของวราลีทุกครั้งหรือทุกสิ่งเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ศาสวัตเริ่มจมกับความสับสนจนคิดไม่ตก


คนตัวสูงผ่อนลมหายใจยาวขณะกำกุมลูกแก้วในมือแน่นอยากสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง ทว่าคำพูดของพันธิตราก่อนจากกันก็ย้อนเตือนความจำ


‘ลองทำตามที่ตาบอกสิคะ ทุกสิ่งที่คิดว่าไร้สาระอาจมีปาฏิหาริย์ก็ได้ บางเรื่องเหมือนเพ้อเจ้องมงายแต่ไม่ลองก็ไม่รู้ จริงไหมคะ’


หากลองดูสักตั้งคงไม่เสียหาย คิดได้ดังนั้นศาสวัตจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องและมุ่งหน้าหาเตียงคนป่วย‘ลอง’ ทำอย่างพันธิตราเสนอทางเลือกให้เขายืนมองวราลีชั่วครู่ก่อนพลิกมือของเธอหงายขึ้น เพื่อวางลูกแก้วสีดำวาวบนฝ่ามือนั้นอย่างนุ่มนวลก่อนหย่อนกายนั่งตรงเก้าอี้ข้างๆ โดยไม่ปล่อยมือที่กุมไว้


ใช่...พันธิตราอยากให้ลองนำแก้วนาคราวางบนมือของวราลีอย่างนี้แม้จะงมงายในทางไสยศาสตร์ คนแนะนำกลับคาดเดาว่าพลังจากลูกแก้วจะส่งผลให้เธอซึ่งหลับใหลฟื้นคืนหรือหากไม่มีผลใดเกิดขึ้น คงไม่ใช่สาระสำคัญ แค่กระทำเพื่อความสบายใจเท่านั้น


และอีกสิ่งซึ่งเคยเป็นความฝันของวราลี...


“ไม่รู้การทำแบบนี้จะช่วยให้เรารีบตื่นขึ้นมาหาพี่หรือเปล่า”


คนพูดยิ้มจางและถอนใจเฮือกหนึ่งคล้ายตั้งสติ ศาสวัตขยับเข้าใกล้แฟนสาวด้วยการโน้มกายเข้าหาใบหน้าซีดไร้เลือดฝาดปากหยักได้รูปแตะสัมผัสริมฝีปากเย็นชืด เต็มใจหยิบยื่นความอบอุ่นให้อย่างอ่อนโยนทะนุถนอมราวกับเธอคือกลีบดอกไม้แสนหวาน


‘พี่ศาส...เคยฟังนิทานก่อนนอนหรือเปล่า หากเมื่อไรเจ้าหญิงถูกยาพิษและหลับใหลมักมีเจ้าชายมาจุมพิต แล้วเจ้าหญิงจะฟื้นตื่นจากนิทรา’


นิทานที่หญิงสาวแทบทุกคนอยากกลายเป็นเจ้าหญิงวราลีก็เช่นกัน เขายังจดจำคำพูดเหล่านั้นได้ดี หากเปรียบเธอเวลานี้ คงไม่ต่างจากเจ้าหญิงกำลังหลับใหลและรอวันฟื้นตื่นอีกครั้ง...


ทว่านิทาน...ยังคงเป็นนิทานอยู่วันยังค่ำไม่มีเจ้าหญิงหรือเจ้าชายในโลกแห่งความจริง แม้จะถอนจุมพิตจากริมฝีปากแล้ว เธอก็ไม่อาจฟื้นคืนมา...


ศาสวัตก้มหน้านิ่ง เอื้อมมือสั่นเทาลูบผมสลวยเบาๆก่อนคว้ามือบอบบางมากุมไว้ คงไม่มีปาฏิหาริย์ใดเกิดขึ้นกับเขา แม้จะวอนขอดวงดาวในทุกค่ำคืนให้หญิงสาวตรงหน้ากลับมาเป็นปกติโดยเร็ว


“จะใจร้าย...ปล่อยพี่ไว้คนเดียวแบบนี้อีกนานแค่ไหน”


เมื่อความหวังริบหรี่การรอคอยเริ่มถดถอย คำตัดพ้อจึงหลุดออกจากปากของคนเฝ้ารอ เมื่อไม่เห็นปลายทางต่อให้รอนานเท่าใดไม่เคยนึกท้อ ทว่าสิ่งเดียวบั่นทอนกำลังใจคือเธอยังหลับใหลไม่มีวี่แววจะฟื้นคืนเสียที



มุมสงบภายในอาณาเขตบ้านชั้นเดียวหากมองรอบด้านจะเห็นความมืดมิดโอบล้อมราวกับม่านกำแพงดำทะมึนสร้างกรอบกั้นอาณาเขตนั้นไว้ตัวละครในนิยายถูกกักขังไม่ให้ออกจากตรงนั้นเพื่อติดตามวราลีได้คล้ายใครบางคนสะกดมิติระหว่างความจริงกับโลกแห่งจินตนาการ


หลายชั่วโมงแล้วกับความพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำลายกรอบมืดมิดนั้นทว่าไร้หนทาง กันดิศทิ้งกายนั่งกับพื้นดินก้มหน้านิ่ง สองแขนเท้าชันเข่าจนปัญญาทำสิ่งใดนอกจากอยู่เฉยๆ ทบทวนความคิดอย่างไตร่ตรอง ต้องทำอย่างไรจึงจะล่วงรู้ว่าวราลีถูกนำพาไปที่ใดกันแน่พระเอกหนุ่มได้แต่ประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดท่ามกลางความเงียบกริบ


“พี่กันคะ”


เสียงเรียกทำลายความสงบแตกกระเจิงทว่าชายเจ้าของชื่อยังคงนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น ก้มหน้าและใช้ความคิดต่อไป


ร่างอ้อนแอ้นยอบกายนั่งยองกอดเข่าและปรายสายตามอง‘พี่กัน’ ของหล่อนเมื่อไม่มีสิ่งใดสะท้อนกลับมาดังคาดไว้ศีตลารู้นิสัยของกันดิศดี หากเมื่อใดเกิดเรื่องทุกข์ร้อนไม่สบายใจเขาจะใช้ความเงียบเป็นเกราะอำพรางตัวจากบุคคลรอบข้างไม่มีใครล่วงรู้ความคิดหรือหนทางแก้ปัญหา ไม่ว่าทุกสิ่งจะลงเอ่ยอย่างไร คงต้องปล่อยให้เวลาเยียวยารักษาจิตใจของเขาอย่างนั้น


“ถึงศีจะไม่ชอบวราลี เพราะเธอทำให้พี่กันขอเลิกกับศีไม่ยอมเป็นพระเอกของศีต่อไปแต่ศีไม่อยากเห็นพี่กันต้องเสียใจและผิดหวังอย่างนี้นะคะศีต้องทำอย่างไรเพื่อให้พี่กันสบายใจคะ”


“ผมขออยู่เงียบๆ คนเดียว”


กันดิศกล่าวเสียงชาสีหน้าเฉยเมยไม่ต่างจากแววตาเย็นเยือก จับกระแสได้ว่าเขาต้องการอย่างนั้นจริงๆ


“ไอ้กัน! ข้ารู้ว่าเอ็งกำลังเสียใจที่เจ๊จากไปอย่างนั้นแต่เอ็งไม่น่าเอาความรู้สึกแย่ๆ เหวี่ยงใส่ศีตลาแบบนี้เธออุตส่าห์เป็นห่วงเดินมาปลอบใจ เอ็งกลับขับไสไล่ส่ง”


มาวินโวยวายเมื่อตามดูสถานการณ์อย่างห่วงๆ สีหน้าของนางเอกสาวสลดวูบคล้ายถูกต่อว่าที่เข้ามาก้าวก่ายกับคนกำลังเศร้าใจผิดจังหวะเช่นนี้


ก่อนหน้าศีตลาจะเดินเข้าหากันดิศหล่อนได้ปรึกษากับมาวินแล้วว่าอยากปลอบใจให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้างและมาวินก็เห็นควรอย่างนั้น แม้ตระหนักดีว่ากันดิศคงไม่พร้อมพูดคุยกับใคร


“ไม่เป็นไรศีคงไม่มีประโยชน์ช่วยให้พี่กันรู้สึกดีขึ้น”


ศีตลากล่าวเสียงอ่อนก่อนลุกยืนอย่างอ้อยอิ่งหวังเรียกร้องความสนใจให้กันดิศหันมามองบ้างก็เท่านั้น


ใบหน้านวลเคยสดใสแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนคนมองรู้สึกสะเทือนใจตามไปด้วยมาวินคิดหาหนทางแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น เขาเอื้อมจับมือของศีตลาอย่างปลอบประโลมอยากให้หล่อนอยู่ห่างจากกันดิศชั่วคราว คงต้องปล่อยให้คนเจ็บช้ำจมอยู่กับความคิดสักพักตามแต่ใจต้องการ


พระเอกหนุ่มนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีกและนั่นคือสัญญาณว่าต้องการอยู่อย่างนั้น ไม่อยากให้ใครเข้าใกล้แม้แต่คนเดียว



“ฉันไม่เข้าใจทำไมพี่กันต้องเศร้าอย่างนั้น กับแค่วราลีจากไปถึงอย่างไรเธอก็ต้องไปอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”


นางเอกสาวคาดคั้นมาวินขณะเดินห่างจากกันดิศมาได้ระยะหนึ่งหล่อนยังติดใจกับความอาลัยอาวรณ์ของเขาจนสู้หน้าไม่ติดเมื่อถูกขับไสไล่ส่งอย่างนั้น


มาวินหยุดฝีเท้าและปล่อยมืออีกฝ่ายให้เป็นอิสระเขาหันหน้าเผชิญกับศีตลาตรงๆ ไม่ลังเล เมื่อแน่ใจแล้วว่ากันดิศมั่นคงต่อรักของตัวเองอย่างไรถึงเวลาแล้วที่เขาต้องแสดงออกมาบ้าง


“เพราะความรักไงเธอรู้ใช่ไหมว่าไอ้กันมันรักวราลีเธอเป็นได้แค่ตัวละครที่มีบทบาทร่วมกับมันเท่านั้นคงไม่คิดหลอกตัวเองต่อไปหรอกนะว่ามันรักเธอ”


คนพูดจ้องลึกในดวงตาเปล่งประกายคู่สวยที่เขม็งมองเขาอย่างกรุ่นโกรธอยากล้วงความรู้สึกของหล่อน ว่าลึกๆ แล้วมีเขาเป็นคนสำคัญบ้างหรือไม่


ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกถึงคำพูดลึกซึ้งเป็นนัยนั้นเหมาว่ามาวินหักหาญน้ำใจเข้าข้างวราลีเต็มตัว หรือเขาเองก็หลงรักนักเขียนสาวคนนั้นไม่แพ้กันดิศเช่นกันเวลานี้ศีตลาโกรธจนอยากกลายร่างเป็นนางมารร้ายเสียให้รู้แล้วรู้รอด


“ใช่ซี ใครๆ ก็หลงรักวราลีกันหมดนายคงไม่ต่างกัน นายมันก็แค่ผู้ชายไม่รักดีเหมือนพี่กันนั่นแหละไม่เห็นคุณค่านางเอกอย่างฉัน”


“เพราะรักไงถึงไม่อยากให้เธอเจ็บปวด หากยังหลงรักคนที่เขาไม่ได้รักเธอ”


คำพูดของมาวินกระชากความกรุ่นโกรธออกจากความรู้สึกรวดเร็วกลับกลายเป็นนิ่งชะงัก เบิกตากว้าง ทบทวนสิ่งที่ได้ยิน ศีตลากะพริบตาปริบๆสองสามครั้งก่อนเบนสายตามองคนตรงหน้า เกิดคำถาม มาวินรักหล่อนอย่างนั้นหรือ


“นายหมายความว่าไง แกล้งแหย่ฉันเล่นใช่ไหม!”


แม้พยายามเปล่งเสียงไล่ความตระหนกทว่าเสียงใสกลับสั่นเครือ ขาดความมั่นอกมั่นใจไม่เป็นตัวเอง


“ฉันจะบอกเธออีกครั้งฉันรักเธอศีตลา” มาวินเน้นคำ “หากเธอหายตัวไปอย่างวราลีฉันคงซึมเศร้าไม่ต่างจากไอ้กัน และเชื่อว่าต้องหาหนทางตามหัวใจกลับมา”


ศีตลาตระหนักดีว่าหล่อนไม่เคยได้เข้าไปครองอยู่ในใจของกันดิศแม้บทบาทของพระนางจะทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นของหล่อนแต่เพียงผู้เดียวและหล่อนก็หลอกตัวเองมาโดยตลอดอย่างมาวินว่าไว้ คิดว่ากันดิศเป็นคนรัก จนกระทั่งวันที่เขาเดินมาบอกเลิกราไม่ขอเป็นคู่รักในนิยาย เพียงต้องการดูแลวราลีภายในโลกจินตนาการแห่งนี้ทำให้หล่อนเดือดดาลอยากเอาชนะ และหวังว่ากันดิศคงยอมสิโรราบแก่หล่อน หากเอาอกเอาใจและเฝ้าดูแลให้เขาตายใจไม่ทันสังเกตใครอีกคนที่เฝ้าวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ไม่เคยห่างหลงคิดไปเองว่าเพื่อนก็ต้องเป็นเพื่อนอยู่วันยังค่ำ


“นายจะรักฉันได้ไง ฉันรักพี่กันและพี่กันต้องคู่กับฉันจนกว่านิยายเรื่องนี้จะอวสาน”


มาวินจ้องมองคนประหม่าที่ไม่กล้าสบสานสายตากับเขาท่าทางเลิ่กลั่กของศีตลาทำให้ตัวประกอบหนุ่มอดเอ็นดูไม่ได้ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสาวมั่นอย่างหล่อนจะเผยความอ่อนไหวให้เห็นชัดเจน เมื่อถูกบอกรักซึ่งหน้าจนไม่ทันตั้งตัว


ถ้าย้อนเวลากลับไปตั้งแต่เปิดนิยายใหม่ๆนอกจากกันดิศที่มีบทบาทเป็นพระเอกคู่กับหล่อนแล้ว ยังมีเขาอีกคนคอยดูแลและห่วงใยหล่อนอย่างจริงใจแม้จะมีวายร้ายอย่างสมภพมาก่อกวนบ้างแต่ไม่มีใครทนนิสัยจอมวีนและเหวี่ยงของหล่อนได้เท่าเขาอีกแล้ว มาวินมั่นใจอย่างนั้น


“ทำไมจะรักไม่ได้ในเมื่อเธอยังรักไอ้กันได้ทั้งที่มันไม่เคยสนใจเธอแบบคนรักสักนิด และเธอเองก็รู้ดีแก่ใจเรื่องระหว่างเราคงไม่ต่างกัน”


“นายอยากแสดงเป็นพระเอกแทนพี่กันหรือไง!”


ศีตลาทำเสียงขุ่นขึงตาดุใส่คู่สนทนาที่ยิ้มร่าเมื่อได้ฟังคำถามของหล่อน


ไม่เลย...มาวินไม่เคยคิดแทนที่ใครเนื่องจากบทบาทที่วราลีสร้างให้ก็คู่ควรดีอยู่แล้ว และเขาก็ยินดีเป็นตามนั้น ต่อให้ขัดความรู้สึกไปบ้างก็ไม่เป็นไร


“เปล่านี่ ต่อให้วราลีเปลี่ยนบทฉันก็เหมาะเป็นตัวประกอบอยู่ดี” มาวินกล่าวยิ้มๆ “แต่ฉันไม่สนหรอกนะว่าเธอจะรับรักฉันหรือเปล่าตอนนี้เรามีเรื่องสำคัญกว่านั้นต้องทำ และเธอต้องช่วยฉัน”


ศีตลาเบิกตาประหลาดใจรู้สึกคล้ายถูกเอาคืน เมื่อหล่อนเคยให้มาวินช่วยเหลือในการติดตามศาสวัตและเวลานี้ถึงคราวที่หล่อนต้องช่วยเหลือเขาบ้างแล้ว


“นายจะทำอะไร?”


“ฉันจะตามหาวราลี”



ต้นฉบับนิยายถูกเปิดทวนแก้ไขไปแล้วกว่าค่อนเรื่องแม้จะไม่ใช่บรรณาธิการตรวจสอบนิยายตามสำนักพิมพ์ แต่เพราะเคยเรียนคณะอักษรศาสตร์ จึงรู้หลักในงานเขียนอยู่พอควรสมตำแหน่งดีกรีเกียรตินิยมอันดับสองของคณะ ศาสวัตอ่านไปยิ้มไปไม่คิดว่านิยายของวราลีจะชวนติดตามจนไม่อยากพัก แรกๆ ไม่เป็นโล้เป็นพาย พอเข้ากลางเรื่องฝีมือเริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอาจด้วยปัจจัยสำคัญ นั่นคือประสบการณ์ ซึ่งผ่านเวลานานหลายเดือน


เขาจำได้ว่างานเขียนชิ้นนี้เริ่มต้นเมื่อปีก่อนช่วงนั้นเขายังเป็นที่ปรึกษาให้บ้างพอประปราย แต่ด้วยงานรัดตัวจึงให้คำปรึกษาได้น้อยลงมาทราบอีกทีงานเขียนของวราลีก็เสร็จสมบูรณ์ แต่ยังมีจุดบกพร่องต้องแก้ไขตามที่เห็นเวลานี้เมื่อนึกถึงตอนนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ ครั้งหนึ่งเธอเคยบอกเป็นมั่นเป็นเหมาะหากงานเขียนได้ตีพิมพ์และถูกสร้างเป็นละครเธออยากให้เขารับบทเป็นพระเอกของเรื่องนี้ นั่นคือความฝันสูงสุดของเธอ


สายลมเย็นยะเยือกพัดวูบปะทะใบหน้าคมคายฉุดสายตาประหลาดใจให้มองยังประตูระเบียงที่เปิดแง้มเล็กน้อย จากบรรยากาศอบอุ่นกลายเป็นเหน็บหนาวจนขนลุกพองไปทั้งร่างกายศาสวัตได้แต่ถามตัวเอง ลืมปิดประตูอย่างนั้นหรือ ร่างสูงลุกขึ้นยืนและเดินไปดึงประตูปิดสนิทพร้อมปัดความประหลาดใจทิ้ง


ทว่ากลับต้องประหลาดใจเพิ่มเป็นเท่าทวีเมื่อหญิงสาวที่เคยนอนแน่นิ่งขยับร่างกาย เปลือกตากะพริบถี่ก่อนยกแขนข้างหนึ่งขึ้นสำรวจฝ่ามือตัวเองและภาพนั้นทำให้ศาสวัตใจกระตุก ชะงักฝีเท้ากับที่ จ้องมองเธอคนนั้นเคลื่อนไหวช้าๆ


ดวงตากลมโตดำขลับ เริ่มเปิดรับแสงภายในห้องและปรับความชัดเจนได้แล้วเธอมองมือตัวเองและบิดพลิกไปมาอย่างช้าๆ คล้ายส่งสัญญาณว่ายังมีชีวิตอยู่ วราลีหรี่ตามองดวงไฟบนเพดานและไล่สายตามองรอบห้องจนหยุดตรงชายหนุ่มที่ค่อยๆสาวเท้าเดินเข้าใกล้เตียงของเธออย่างยากลำบาก ดวงตาทรงเสน่ห์คู่นั้นสื่อว่าตกตะลึงระคนดีใจ


ร่างบอบบางพยายามขยับร่างกายอยากลุกขึ้นนั่ง แต่เพราะนอนนิ่งนานเป็นอาทิตย์ จึงไม่สามารถขยับได้อย่างใจและชายหนุ่มซึ่งอยู่ในภาวะตกตะลึงก็รีบโผเข้าหาเมื่อตั้งสติได้ เขาช่วยประคองเธอที่เพิ่งฟื้นจากหลับใหลความยินดีกระจายเต็มหัวใจ จุกอยู่ในอกจนพูดไม่ออกสักคำ


วราลีถูกประคองให้อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนใบหน้านวลจากเคยซีดขาว ดูมีเลือดฝาดขึ้นบ้างเล็กน้อยนัยน์ตาดำขลับเป็นประกายมองหน้าคนช่วยประคอง อยากพูด แต่ในลำคอแห้งผากราวกับขาดน้ำมาแรมปีศาสวัตเห็นกระแสขอความช่วยเหลือจากแววตาคมหวานคู่นั้น คล้ายอ่านใจเธอได้เขาจึงเดินอ้อมเตียงนอนเพื่อรินน้ำใส่แก้วให้เธอได้ดื่มแก้กระหาย


“เอาน้ำอีกไหม?”


ประโยคแรกหลุดออกจากปากของศาสวัตเมื่อเห็นน้ำเต็มแก้วถูกหลอดดูดจนเกือบหมดเกลี้ยงในเวลารวดเร็ว


วราลีส่ายหน้าและปล่อยแก้วให้แฟนหนุ่มช่วยถือพร้อมกับคลี่ยิ้มให้เขาบางๆ


ศาสวัตนำแก้ววางตรงโต๊ะข้างหัวเตียงฉุกคิดได้ว่าควรตามพยาบาลหรือแพทย์สักคนให้เข้ามาดูอาการของเธอ


“เดี๋ยวพี่มานะ”


ท่าทางร้อนรนของเขาทำให้เธอเลิกคิ้วประหลาดใจถามเป็นนัยว่าจะไปไหน


“จะไปตามพยาบาล”


เขาตอบทว่าเธอส่ายหน้า ศาสวัตจึงหยุดความตั้งใจและหย่อนกายนั่งบนเตียงใกล้ๆ เธอ


“อยู่ตรงนี้ก่อน”เสียงแผ่วหวิวเอ่ยแก้มขอร้อง


ศาสวัตจ้องมองคนรักทั้งปลาบปลื้มและดีใจ เมื่อเธอฟื้นจากหลับใหลขึ้นมาพบเจอเขาอีกครั้งและความยินดีที่กระจายแน่นในอก ผลักดันให้เขาโผเข้ากอดร่างผอมบางไว้แนบแน่นจนเธอในอ้อมแขนหลุดยิ้มและพยายามยกมือไร้เรี่ยวแรงขึ้นกอดเขาตอบเช่นกัน


“คิดถึง...”


เสียงทุ้มละมุนกระซิบข้างหูเสียงซึ่งคุ้นเคยคล้ายกับได้ยินบ่อยครั้ง คำว่า ‘คิดถึง’ กังวานซ้ำๆ ในใจ แม้จะมึนงงอยู่บ้างหากแต่คำนี้เติมเต็มพลังที่เหือดหายให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง


“พี่คิดว่าเราจะไม่ฟื้นมาหากันซะแล้ว”


คำพูดตัดพ้อค่อยๆทยอยจากความคิด ระบายให้วราลีได้รับรู้ความรู้สึก ท้อแท้และเดียวดายในคราวเดียวกัน


“วราฝันเห็นคุณตา”


ร่างสูงคลายอ้อมแขนและผละห่างจากเธอเล็กน้อยมือแข็งแรงยกเกลี่ยปอยผมไม่ให้ตกมาบดบังใบหน้านวลพร้อมพยักหน้าน้อยๆ รอฟังคำพูดของเธอ


“ว่าไง?” เขาถาม


“คุณตาพาวราไปเที่ยวแดนสวรรค์”


เธอนึกถึงภาพตามรอยจำครั้งสุดท้ายสายน้ำไหลตามแนวลำธาร ทุ่งหญ้าสีขาว ท้องฟ้าเต็มไปด้วยปุยเมฆกำลัง เคลื่อนผ่านพระอาทิตย์สีนวลตาวราลีพยายามนึกถึงภาพลางๆ ที่เห็นก่อนฟื้นคืนสติ ทว่าความร้อนวูบทำให้เธอปล่อยสิ่งของในมือกะทันหันความคิดต่างๆ หลุดลอย หันความสนใจไปยังลูกแก้วแวววาวสีดำซึ่งร่วงหล่นบนที่นอน


“แก้วนาครา...”


เสียงแผ่วหลุดพูดพร้อมกับเอื้อมมือแตะมันอีกครั้งทว่าครั้งนี้กลับไม่ร้อนระอุเฉกเช่นเมื่อครู่นี้ศาสวัตมองคนรักหยิบลูกแก้วขึ้นถือครองด้วยความประหลาดใจเหตุใดเธอจึงรู้จักชื่อของลูกแก้วนี้ เขายังไม่เอ่ยถามรอดูพฤติกรรมและสถานการณ์ต่อไปก่อน


“ในความฝันวราก็ถือลูกแก้วแบบนี้แต่คนละสี” เธอมองศาสวัต “ทำไมแก้วนาคราถึงมาอยู่ในห้องนี้”


แววตาสดใสเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นใคร่รู้อยากได้คำตอบและสิ่งนี้เองทำให้ศาสวัตฉุกคิด


‘โยมจงเก็บลูกแก้วนี้ไว้ เพื่อรออีกดวงพบกัน แล้วทุกสิ่งจะย้อนกลับมา’ คำพูดของพระอาจารย์กลับมายืนในความคิดหรือเพราะแก้วนาครานี้ทำให้เธอฟื้นชีวิตอีกครั้ง


“พี่ได้ลูกแก้วนี้จากพระอาจารย์ท่านหนึ่ง”


สีหน้าซูบเซียวของวราลีทำให้ศาสวัตอดห่วงอาการเพิ่งฟื้นตัวไม่ได้


“พี่ว่าเรานอนพักก่อนดีกว่าไหมรอพรุ่งนี้เช้าตรวจเช็คร่างกายแล้วค่อยคุยกัน”


ลูกแก้วถูกส่งให้ศาสวัตถือไว้ก่อนคนป่วยจะถูกประคองให้นอนพักผ่อนอีกไม่นานคงได้ไขความกระจ่างเรื่องคาใจ



“อย่าเบียดฉันสิยะ!”


“หล่อนนั่นแหละ อย่ามาเบียด!”


สองหนุ่มร่างระหงในชุดเดรสสั้นสีสันจัดจ้านก้มๆ เงยๆ ตรงหน้าต่างระเบียงนอกห้องพักผู้ป่วยเฝ้าสังเกตการณ์ตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมา พวกเขาติดตามวราลีตั้งแต่ถูกนำดวงจิตไปท่องโลกหลังความตายก่อนจะส่งเข้าร่างและฟื้นคืนชีพเช่นนี้


“ฉันว่าบรรลุเป้าหมายแล้วล่ะกลับไปรายงานข่าวให้สุดหล่อของพวกเรารู้ดีกว่า”


“แต่ฉันอยากมองศาสวัตอีกนิดนี่ไม่เจอตั้งหลายวันเชียวนา” น้ำเสียงแหบใหญ่ขัดแย้งกันในทีสายตาพราวจ้องมองชายหนุ่มภายในห้องพักไม่วางตา เมื่อทราบข่าวมาว่าเขาขอลาพักผ่อนและคงไม่เข้ากองถ่ายละครหลายวัน


“งั้นเชิญหล่อนตามสบาย ฉันกลับไปรับรางวัลแทนก็แล้วกัน”


หนึ่งในสองหนุ่มหัวใจสาวสะบัดเสียงเขียวไม่พอใจปั้นปึงหมุนตัวกลับก่อนจะสลายหายวับกับอากาศเย็นยะเยือก


“อ๊าย! ตายแล้ว นี่หล่อนคิดจะทิ้งฉันไว้ตรงนี้จริงๆ หรือไง อย่าเพิ่งไป! คอยกันบ้างซี”


อีกหนุ่มกุลีกุจอวิ่งตามพร้อมสลายร่างระหงเข้ากับบรรยากาศวังเวงหายไปราวกับลองหนได้ในที่สุด



ภายในอาคารสูงหลายสิบชั้น สถานที่ตั้งกองถ่ายละครดังหลังข่าวและเป็นสถานที่ซึ่งศีตลาเคยแวะเวียนมาแอบดูดวงจิตแห่งละครสวมบทบาทเป็นตัวละครระดับพระกาฬบ่อยครั้งทว่าครั้งนี้หล่อนไม่ได้มาดูการแสดงอย่างคราวก่อน หากแต่มาขอความช่วยเหลือจากบุคคลซึ่งเกือบจะกลายเป็นอริต่อกันถ้าไม่ได้มาวินห้ามทัพไว้ก่อน


“ยายเจ๊คนสองนั้นจะได้เรื่องหรือเปล่าตาแก่คนที่พาวราลีไปก็เหลือเกิน ขนาดพวกเราเป็นตัวละครในนิยายของเธอยังสะกดพวกเราไว้ไม่ให้เข้าใกล้วราลีอีก แล้วเมื่อไรเราจะได้โลดแล่นในนิยายเรื่องนั้นอีกล่ะ”


ศีตลาบ่นอุบทำให้ชายหนุ่มข้างๆ ขบขันในท่าทางหัวเสียไม่รู้จบ


ตั้งแต่หาหนทางติดตามวราลีจนนึกได้ถึงตัวช่วยหล่อนก็บ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งอย่างนี้มาตลอดทางเพราะไม่สามารถติดตามวราลีได้เองตรงๆ จึงต้องใช้ทางลัดช่วยอีกแรงโดยมาวินใช้ความหล่อเหลาหลอกล่อให้ดวงจิตแห่งวิญญาณ ซึ่งเป็นชายหนุ่มหัวใจสาว แพ้ความคมคายช่วยติดตามวราลีจนรู้ว่าเธออยู่ที่ใด และหากสองหนุ่มทำได้สำเร็จ มาวินต้องยอมออกเดทกับพวกหล่อนเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม


“ฉันวางแผนซะอย่าง ยังไงก็สำเร็จไม่เชื่อฝีมือกันหรือไง”


มาวินยิ้มร้ายพร้อมหรี่ตามองศีตลาอย่างมีเลสนัยแฝงเพราะหากแผนการที่ว่าสำเร็จ เขาต้องได้รางวัลจากหล่อนอีกทอดหนึ่งเมื่อนางเอกสาวมีข่าวคราวไปบอกกันดิศ โดยหวังว่าความเป็นอยู่ของวราลีจะทำให้กันดิศใจชื้นและรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง


“ทำไมต้องมองฉันแบบนั้น! อย่าคิดว่าแผนของนายจะชนะใจฉันได้กับแค่ให้กระเทยเฒ่าสองคนไปสืบข่าววราลี ซึ่งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะสำเร็จหรือเปล่านางทั้งสองจะตามหาเจอหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วอีกอย่างถ้าฉันไม่มีข่าวดีไปบอกพี่กันนายก็อย่าหวังจะให้ฉันไปเที่ยวกับนาย”


ศีตลาสะบัดหน้าชูคอเชิดมั่นอกมั่นใจว่าแผนการคงล้มเหลวไม่เป็นท่า ถึงอย่างไร ‘กระเทยเฒ่า’ ของหล่อนคงไม่มีทางหาวราลีเจออย่างแน่นอน


“สำเร็จหรือเปล่าก็คอยลุ้นกันโน่นไงตัวช่วยฉันกลับมาแล้ว”


“มาวินขรา! มาวินของเจ๊!”


หนึ่งหนุ่มวิ่งถลาเข้าหามาวินอย่างเหนื่อยหอบกับข่าวล่าสีหน้าส่อแววยินดีปรีดาไม่แพ้อีกหนุ่มที่ปรี่เข้ามาอย่างไม่น้อยหน้าเช่นกัน


“เจ๊ขอพักเหนื่อยแป๊บนะ โอ๊ย! ใจจะขาดเสียให้ได้”


“ทำงานเหนื่อยอย่างนี้สุดหล่อคงเพิ่มรางวัลให้พวกเจ๊นะคะ”


กระเทยเฒ่าโพล่งพูดทำให้ศีตลาเหยียดตามองพร้อมกับเบ้ปากเมื่อเห็นแววแพ้อยู่รอมร่อ


“เป็นไงบ้างครับผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน”


ผู้หญิงคนนั้นของมาวินคือวราลีคนที่เขาอยากรู้ความคืบหน้าด้วยใจจดจ่อในเมื่อตัวละครอย่างพวกเขาถูกสะกดไม่ให้มองเห็นหรือสามารถติดตามนักเขียนสาวได้เขาจำเป็นต้องให้สองหนุ่มร่างระหงนี้ช่วยติดตามโดยไม่แน่ใจว่าแผนการจะสำเร็จอย่างตั้งใจหรือไม่


“เธอคนนั้นกลับเข้าร่างแล้ว”


มาวินและศีตลาหันมองหน้ากันเหรอหราไม่คิดว่าชายชราจะนำพาวราลีกลับเข้าร่างเมื่อเขากับหล่อนเข้าใจว่าชายผู้นั้นอาจนำดวงจิตของเธอไปทำลายสูญสิ้นจากภพนี้เสียแล้ว 



To be continued...




Create Date : 26 สิงหาคม 2557
Last Update : 26 สิงหาคม 2557 22:07:07 น.
Counter : 541 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments