เมษายน 2557

 
 
1
2
4
5
6
8
9
10
11
12
14
15
16
17
18
20
21
22
23
25
26
27
29
30
 
 
All Blog
มนตราซาตาน... บทที่ 27

๒๗

โชคชะตาของเธอ


ประตูบานใหญ่ของคฤหาสน์เปิดรอคอยอยู่ตรงหน้าทว่าหญิงสาวที่กำลังก้าวเท้ากึ่งวิ่งกึ่งเดินรู้สึกว่ายังห่างไกลกว่าใจรุ่มร้อนซึ่งอยากไปให้ถึงที่หมายเต็มทีศศิชาก้าวขึ้นบันไดหินอ่อนอย่างระมัดระวังเมื่อคำสั่งของทินกฤตแทรกผ่านอากาศให้รักษาสุขภาพและดูแลตัวเองให้ดีไม่ควรทำสิ่งใดที่เป็นการกระทบกระเทือนต่อเลือดเนื้อเชื้อไขในครรภ์ที่เกิดมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้เวลานี้


ร่างบอบบางก้าวผ่านประตูคฤหาสน์จนถึงโถงห้องรับแขกหัวใจที่เคยรุ่มร้อนก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นสันหลัง เลือดตามร่างกายแทบแข็งตัวเมื่อทุกสายตาของคนในครอบครัวหันมองมาทางเธอเป็นตาเดียวทั้งความใคร่รู้จากสายตาของวศิน รอยยิ้มเยือกเย็นของวรดา สีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์จากทิพปภามีเพียงทินกฤตที่หลบสายตาไม่กล้ามองสบกับเธอ


ทว่าบุคคลที่ห่วงกังวลที่สุดกลับไม่อยู่ภายในห้องรับแขกนั้นศศิชาย่างกรายเข้าไปยืนใกล้รัศมีซึ่งระอุด้วยความรู้สึกต่างๆ นานาจนระบุไม่ได้ว่าดีหรือร้ายกันแน่


“คุณยายละคะ”ศศิชาถามไถ่ทันทีเมื่อทุกสายตายังคงจดจ้องไม่วางวายราวกับเธอเป็นนักโทษที่รอการประหารอยู่รอมร่อ


“ยังจะกล้าถามถึงคุณยาย!ทำเรื่องงามหน้าได้ไม่หยุดหย่อน ท่านไม่หัวใจวายก็บุญเท่าไรแล้ว!” ทิพปภาตวาดเสียงแข็งพร้อมจ้องมองหญิงสาวราวกับอยากฉีกร่างเธอออกเป็นชิ้นๆหากไม่มีสามีอยู่ตรงนั้น หรือไม่ถูกบุตรชายสั่งห้ามไว้ไม่ให้ลงไม้ลงมือทำร้ายเธออีกทิพปภาคงก้าวไปหาศศิชาใกล้ๆ แล้วง้างมือตบใบหน้านวลเนียนสักฉาดสองฉาดให้หายคับแค้นใจ


“คุณยายเป็นอะไรคะ”คำถามครั้งที่สองพร้อมกับศศิชาหันหาพี่ชาย เธอคงได้รับคำตอบจากเขามากกว่าผู้ที่ทำน้ำเสียงดุดันอยากต่อว่าเธอจนตัวสั่น


“คุณย่าหมดสติพี่พาท่านขึ้นไปนอนพักอยู่ข้างบน ดูแลจนอาการดีขึ้นเลยมารอเราตรงนี้”วศินกล่าวเสียงเรียบผิดจากแววตาที่มีแต่ความเคลือบแคลงสงสัย


ศศิชาเข้าใจว่าทุกคนในครอบครัวคงมีเรื่องอะไรสักอย่างที่อยากพูดคุยกับเธอและเมื่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของทินกฤตทำให้เธอนึกถึงความลับที่ได้ขอร้องให้เขาช่วยปกปิดเอาไว้ก่อนศศิชาจ้องมองคุณลุงอยู่ชั่วครู่แต่เขาก็ไม่ยอมสู้หน้าเธอ ส่วนเหตุผลที่ทำให้ทุกคนมองเธอราวกับตัวประหลาดเช่นนี้คงได้เจรจากันหลังจากที่ขึ้นไปหาคุณยายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


“มีอะไรค่อยคุยกันนะคะดี้ขอตัวขึ้นไปหาคุณยายก่อน” ร่างบอบบางสาวเท้าอย่างเร่งรีบเพื่อไปขึ้นบันไดหินอ่อนของคฤหาสน์ในใจรู้สึกพะวงกับลางร้ายที่กำลังมาเยือน


“เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นเด็กอะไรเลี้ยงไม่เชื่อง สงสารก็แต่คุณย่าท่าน รักนักรักหนาแล้วเป็นอย่างไรล่ะไม่มีใครเชื่อแม่สักคน เห็นความร้ายกาจของเด็กนั่นหรือยัง คอยดูเถอะอีกไม่กี่เดือนท้องคงโตโดยหาใครรับผิดชอบไม่ได้งามหน้าดีไหมล่ะ”


“คุณก็พูดเกินไปเรายังไม่ได้ถามหรือพูดคุยกับแกเลยว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร” ทินกฤตทักท้วงภรรยาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเมื่อรู้สึกผิดต่อหลานสาวที่นำความลับระหว่างกันมาเปิดเผยให้บุคคลในครอบครัวรับรู้จนคุณศจีถึงกับเป็นลมล้มพับ


“วีอยากรู้จังว่าพ่อของเด็กจะใช่คนที่วีคิดหรือเปล่า”วรดายิ้มเยาะอย่างไม่รู้สึกรู้สาใดๆ


“ไร้สาระน่ายายวี!มาพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องอะไรตอนนี้”วศินชำเลืองมองน้องสาวในไส้ที่ทำลอยหน้าลอยตาไม่สนใจท่าทางขึงขังของพี่ชาย“คุณแม่ก็อีกคน ใครๆ ก็ผิดพลาดกันได้ทั้งนั้นอย่ามัวตำหนิจนลืมไปว่าเลดี้ก็เป็นคนในครอบครัวของเรานะครับ”


“นั่นสิคะคุณแม่หากวันหนึ่งวีเดินมาบอกคุณแม่ว่าวีท้องและมีลูกโตหลายขวบแล้ว คุณแม่จะทำไงคะ”วรดาจ้องมองมารดาอย่างให้ความสนใจในคำตอบ เพราะลึกๆในใจหล่อนเองก็รู้สึกคล้ายมีชนักติดหลัง


“ลูกคงไม่ทำให้แม่ผิดหวังอย่างนั้นหรอกนะยายวีแม่เชื่อว่าลูกสาวของแม่ต้องเป็นหน้าเป็นตาเชิดชูวงศ์ตระกูลประดับวงศ์อัคราของเรารวมทั้งแกด้วยตาวิน” วศินชำเลืองมองมารดาของตนนิ่งๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและกล่าวบางอย่างซึ่งอยู่ในใจตั้งแต่รับรู้เรื่องการตั้งครรภ์ของศศิชา


“ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นหากเลดี้ปฏิเสธหรือไม่อธิบายว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้อง ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง”วศินสาวเท้าเดินออกจากโถงห้องรับแขกและขึ้นบันไดหินอ่อนไปท่ามกลางสายตาตกตะลึงของคนในครอบครัวทุกคนได้แต่อึกอักมองหน้ากันเลิ่กลั่กโดยพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว


====

ประตูบานใหญ่ปิดลงอย่างช้าๆและเบาแรงที่สุดเมื่อศศิชาไม่อยากส่งเสียงดังเพื่อเป็นการรบกวนญาติผู้ใหญ่ที่นอนหลับไหลอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาในห้องเย็นฉ่ำไปด้วยเครื่องปรับอากาศที่กำลังเปิดใช้งานแสงไฟสลัวจากโคมประดับบนเพดานห้องทำให้เห็นทุกอย่างเกือบชัดเจน


ศศิชาย่างกรายเดินไปหยุดตรงข้างเตียงของคุณศจีที่นอนหันหลังให้เธอค่อยๆ ยอบกายนั่งคุกเข่าและเอื้อมมือดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างกายของคนหลับไหลให้มิดชิดกว่าเดิม


“มาแล้วรึ”น้ำเสียงแผ่วเบาแหบแห้งทั้งที่ยังนอนนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น ไม่หันมามองบุคคลด้านหลังซึ่งคุณศจีรู้ดีว่าคือหลานสาวของตน


ความรู้สึกบีบรัดที่หัวใจจนจุกแน่นยังไม่หายดีตั้งแต่ทินกฤตส่งข่าวเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของหลานสาวคนโปรดทั้งผิดหวังและเสียใจจนเก็บอาการไม่อยู่ถึงกับเป็นลมหมดสติ ต้องให้หลานชายหอบพยุงขึ้นมานอนพักอยู่ในห้องนอนอย่างนี้


“ค่ะคุณยายเป็นอะไรไปคะ ทำไมถึงเป็นลม แล้วอาการดีขึ้นหรือยังคะ”ศศิชาพยายามควบคุมน้ำเสียงสั่นไหวให้เป็นปกติที่สุด แม้เธอจะยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่คุณยายต้องลมป่วยกะทันหันเช่นนี้แต่ความรู้สึกและลางสังหรณ์ทำให้เข้าใจว่าทุกปัญหาที่เกิดขึ้นคงเป็นเรื่องร้ายแรงและเธออาจมีส่วนทำให้ท่านเป็นเช่นนี้


“หลานมีอะไรจะบอกกับยายไหม”คุณศจีค่อยๆ ขยับพลิกกายและหันหาหลานสาวที่นั่งนิ่งสีหน้าซีดเซียวดูตื่นตระหนกและหลบสายตามองทางอื่นคล้ายมีความผิดติดตัว


“เอ่อ...คือดี้”


“มีอะไรก็ว่ามายายพร้อมรับฟังทุกอย่าง” ท่าทางอึกอักของหลานสาวทำให้ท่านต้องขยับลุกขึ้นนั่งเพื่อเจรจาอย่างเป็นทางการ


แม้จะหวาดระแวงและรู้สึกเกรงกลัวเป็นอย่างมากทว่าศศิชาก็ยังช่วยประคองคุณยายของเธอให้ลุกขึ้นอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนเพื่อพิงพนักหัวเตียงความลับของเธอคงไม่เป็นความลับอีกต่อไปตั้งแต่เห็นทินกฤตอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ศศิชาปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ในทันทีตั้งแต่ได้ยินคำถามของคุณศจีและอาการเป็นลมล้มพับคงไม่ใช่สาเหตุอื่น นอกจากเรื่องตั้งครรภ์ถูกเปิดเผยโดยที่เธอไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว


ศศิชาและคุณศจีนั่งอยู่ท่ามกลางความเงียบพักใหญ่โดยคุณยายพร้อมรับฟังในทุกเรื่องราวที่หลานสาวต้องบอกกล่าวอย่างเปิดอกส่วนหลานสาวได้แต่นั่งทำใจหาคำอธิบายที่เธอเองก็ไม่ทราบถึงสาเหตุและการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นศศิชาชำเลืองมองคุณยายที่นั่งนิ่งเฉย นัยน์ตาส่อแววผิดหวังและเสียใจอย่างชัดเจนท่านคงเสียความรู้สึกเป็นอย่างมากจนไม่อยากมองหน้าเธอด้วยซ้ำไป


ความเจ็บจุกแผ่ซ่านอยู่ในอกจนร่างกายร้อนผ่าวแม้จะกลัวความผิดที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อแต่เธอก็ต้องทำใจดีสู้เสือเพื่อบอกกล่าวในสิ่งที่จงใจปิดบังทำให้ผู้มีพระคุณต้องเสียใจและผิดหวังเช่นนี้ขอบตาระอุอุ่นจนพร่ามัวเมื่อมีน้ำตาเออล้นออกจากดวงตากลมโตอย่างรวดร้าว


“ดี้ขอโทษค่ะที่กลัวความผิดจนไม่ยอมบอกเรื่องตั้งท้องให้คุณยายรับทราบก่อนจะเกิดเรื่องแบบนี้”ศศิชาเรียบเรียงคำพูดและควบคุมน้ำเสียงสั่นพร่าให้คงที่ เธอพยายามเฟ้นหาคำอธิบายเพื่อให้คุณศจีเข้าใจและรับฟังในสิ่งที่อยากเจรจา


“อย่าไปโทษลุงเขาเลยที่มาบอกความจริงกับคนที่บ้านลุงเขาก็แค่หวังดี แต่หากไม่ได้ทินกฤตยายคงถูกปิดหูปิดตาไม่รู้เรื่องอะไร”


“ไม่นะคะดี้ตั้งใจจะบอกคุณยาย แต่...”


“คงลำบากใจมากสินะ”คุณศจีถอนใจหนักหน่วงพร้อมชำเลืองมองหลานสาวที่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะอธิบายต่อความลับที่ถูกเปิดเผยอย่างไร“ยายยอมรับว่าเสียใจและผิดหวังในตัวหลานมากที่ทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้แต่ยายก็เข้าใจว่าโลกสมัยนี้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตตั้งไกล จะมัวแต่พาลพาโลคงไม่ได้”


“ดี้ขอโทษค่ะ”ศศิชาขยับตัวไปทางปลายเตียงพร้อมกับก้มลงกราบที่เท้าของคุณศจีอย่างสำนึกผิดแม้แต่เธอเองก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาได้


“ยายจะทำอย่างไรกับหลานดี”เสียงถอนใจไม่รู้ครั้งที่เท่าไรสร้างบรรยากาศภายในห้องให้หดหู่และตึงเครียดเป็นอย่างมากอยากโกรธหลานสาวที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจแต่ก็โกรธไม่ลงเมื่อเห็นแววตาเศร้าสลดเอ่อล้นด้วยน้ำตาคลอ


“คุณยายจะลงโทษดี้ยังไงก็ได้ค่ะไล่ดี้ออกจากบ้านหรือจะดุด่าแรงๆ ดี้ก็ยอมรับผิดทุกอย่าง”


“ถ้าเลดี้ไม่ใช่หลานที่ยายรักมากคงถูกตะเพิดออกจากบ้านไปนานแล้ว”น้ำตาที่พยายามสะกดกั้นหลั่งไหลราวกับปราการแข็งแรงถูกทำลายจนไม่อาจกักเก็บไว้ได้อีกศศิชาโผเข้ากอดคุณศจีพร้อมกับร้องสะอื้นคล้ายเด็กงอแงจนคุณยายของเธอต้องลูบศีรษะเบาๆเพื่อปลอบประโลม


“ดี้ขอโทษค่ะดี้ขอโทษ” ศศิชาย้ำซ้ำๆ กับคำว่า ‘ขอโทษ’ คงไม่มีคำพูดใดเหมาะสมกว่าคำนี้ในเวลาที่ทำให้สองยายหลานกอดกันร้องไห้ฟูมฟายแรงกดดันและความหวาดระแวงที่เคยมีถูกทำลายจนหมดสิ้นเพียงแค่คำว่า ‘ให้อภัย’


แม้ความผิดที่ชิงสุกก่อนห่ามจะเป็นเรื่องใหญ่โตสำหรับแวดวงสังคมชั้นสูงหากแต่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายสำหรับครอบครัวและบุคคลอันเป็นที่รักซึ่งพร้อมยอมรับฟังเหตุผลก่อนตัดสินใจทำสิ่งวู่วามจนกลายเป็นโศกนาฏกรรม


เมื่อเสียงร่ำไห้สงบลงใบหน้านวลเนียนที่มีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนถูกหลังมือปาดเช็ดปาดขอบตาแดงช้ำก่อนจะผละห่างจากร่างท้วมที่นำนิ้วหัวแม่มือปาดเช็ดน้ำตาให้อีกครั้งรอยยิ้มอารีของคุณศจีทำให้หลานสาวระบายยิ้มน้อยๆ พร้อมขยับเสื้อผ้าของคุณยายให้เข้าที่เข้าทางเช่นกัน


“เราสองคนยังคุยกันไม่จบเรื่องใช่ไหม”คุณศจีแย้มยิ้มและเบิกตากว้างคล้ายแหย่หลานสาวเมื่อสิ่งที่ค้างคาใจยังไม่ถูกคลี่คลายและคำถามนั้นก็กลับมาสร้างความหนักใจให้ศศิชาอีกระลอกโดยไม่ต้องย้อนทวนว่าสิ่งที่คุณยายของเธอเอ่ยกล่าวหมายถึงเรื่องใด


“ดี้ไม่รู้จะอธิบายยังไงเพราะดี้ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เกิดมาจากไหนค่ะ”ศศิชาก้มมองท้องของตนเองพร้อมยกมือจับลูบเบาๆ ราวกับทะนุถนอมเป็นอย่างดี


“หลานไม่ได้ล้อยายเล่นใช่ไหม”ดวงตากลมโตชำเลืองมองคนตั้งคำถามพร้อมกับลอบถอนใจ หากเธอบอกความจริงเกี่ยวกับซาตานให้คุณยายรับฟังเธอจะถูกกล่าวหาว่าโกหกหรือหลอกลวงผู้สูงวัยหรือไม่


“ดี้ไม่รู้ว่าคุณยายจะเชื่อในสิ่งที่ดี้เล่าหรือเปล่าแต่ดี้จำเป็นต้องบอกเรื่องนี้ค่ะ”


แล้วเรื่องราวพิสดารที่เกิดขึ้นตั้งแต่ได้พบเจอกับซันเซ็ทในวันแรกก็ถูกถ่ายทอดออกมาให้คุณศจีรับฟังจนหมดสิ้นศศิชาได้แต่หวังว่าคุณยายของเธอจะเชื่อในสิ่งที่บอกกล่าวบ้างก็เท่านั้น


====

ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศสัมผัสผ่านผิวกายของหญิงสาวที่นอนหลับตาหลังจากรับประทานยาแก้ไข้ไปร่วมสองชั่วโมงที่แล้วเมื่อได้พูดคุยในหลากหลายเรื่องราวกับคุณศจีจนดึกดื่น ด้วยอาการไม่สบายเนื้อสบายตัวกอปรกับความตึงเครียดที่เพิ่งผ่านพ้นไปเปราะหนึ่งศศิชาจึงขอตัวกลับมานอนพักผ่อน เพื่อวันพรุ่งนี้จะได้สะสางเรื่องราวที่เป็นปัญหาคาใจกับคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทให้จบสิ้นเสียที


ผ้าห่มผืนหนาถูกดึงขึ้นจนกระชับร่างกายที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ความอบอุ่นคิ้วเรียวขมวดจนหัวคิ้วแทบจะชิดติดกันเมื่อยาแก้ไข้ไม่ได้ช่วยให้ความปวดปร่าที่ศีรษะลดลงเลยแม้แต่น้อยทั้งที่พยายามข่มตาให้หลับ ทว่ากลับไม่ได้หลับสมใจ ศศิชาปรือเปลือกตามองไปทางหน้าต่างห้องที่มีแสงสลัวทะลุผ่านผ้าม่านและการเคลื่อนไหวบางอย่างที่บดบังแสงสว่างแว้บวับคล้ายเงาตะคุ่มจากด้านนอกทำให้หญิงสาวเพ่งมองการเคลื่อนไหวนั้นอย่างจงใจ


เมื่อไม่มีสิ่งใดผิดปกติเธอจึงพลิกกายกลับไปอีกทางเพื่อข่มตาให้หลับอีกครั้งในใจเกิดคิดถึงซันเซ็ทขึ้นมา ป่านนี้อาการบาดเจ็บของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง คำพูดที่อยากถามไถ่เมื่อได้พบเจอกันตั้งแต่ช่วงหัวค่ำที่ผ่านมาแต่เพราะความปากหนักบวกกับคำสั่งที่ทำให้เธอต้องถอยห่างจากเขาค้ำคอทำให้คำถามยังคงไม่ได้รับคำตอบจนถึงเดี๋ยวนี้


เมื่อฉุกคิดได้ศศิชาก็ขมวดคิ้วยุ่งพยายามปัดความคิดที่มีแต่ซันเซ็ทออกจากสมอง‘เธอควรคิดถึงฟาโรไม่ใช่เหรอ ทำไมจึงคิดถึงแต่ซาตานอย่างนี้’ศศิชาเริ่มประท้วงตนเองในใจอยากกลับไปเป็นหญิงสาวที่ตามคลั่งไคล้ดาราชื่อดังคนเดิม


ระหว่างพยายามข่มตาให้หลับพร้อมกับปล่อยความคิดให้จมอยู่ในห้วงนิทราความรู้สึกยวบยาบบนที่นอนก็ดึงให้เธอลืมตาอีกครั้ง บุรุษผู้คุ้นชินนั่งขัดสมาธิพร้อมนำมือเท้าคางนัยน์ตาสีสนิมจ้องมองเธอนิ่งๆ โดยไม่รู้ว่าเขากำลังนึกคิดสิ่งใด


ศศิชารีบปิดเปลือกตาให้สนิทอีกครั้งเมื่อคิดว่าทุกอย่างอาจเป็นภาพลวงตาที่เธอนึกถึงแต่เขาก็เป็นได้ทว่าความอบอุ่นที่แตะสัมผัสตรงหน้าผากทำให้ต้องเชื่อว่าทุกอย่างเป็นความจริง


“เธอไม่สบายอย่างนั้นหรือ”น้ำเสียงกังวานที่นั่งอยู่บนเตียงด้านข้างทำให้หญิงสาวลืมตาขึ้นมาพร้อมปัดมือที่แตะหน้าผากออกจนห่างจากตัว


“นายมาทำอะไรที่นี่แล้วโลกของนายมีอาการเจ็บป่วยด้วยเหรอ ถึงรู้วิธีวัดไข้แบบนี้”


“ฉันเรียนรู้จากเพื่อนสนิทของเธอ”ภาพของนลัทที่เคยอังหน้าผากเพื่อวัดระดับอุณหภูมิให้เธอก็ปรากฏขึ้นมาให้นึกถึงในทุกการกระทำแทบจะตลอดเวลา ซันเซ็ทคอยดูเธออยู่ไม่ห่างจากสายตาจริงๆ


ศศิชาชำเลืองมองบุรุษที่ชักมือกลับอย่างไม่เก้อเขินใดๆเขายังคงวางท่านิ่งเฉยราวกับไม่สะทกสะท้าน ทำให้หญิงสาวฉุกคิดถึงการปรากฏกายทั้งที่ไม่ได้เรียกร้องเช่นนี้


“ตกลงนายมาทำไมทีตอนตะโกนเรียกไม่เห็นอยากออกมาให้เจอเลยนี่”


“ฉันคิดว่าเธอกำลังนึกถึงฉันอยู่”คำพูดที่แสนธรรมดาคล้ายบอกให้รู้ถึงเหตุผลเท่านั้นทว่ากลับทำให้หญิงสาวที่รับฟังถึงกับหลุบตาลงต่ำ หัวใจเต้นระส่ำอย่างไม่ทราบสาเหตุเกรงว่าเขาจะรู้ทันในความคิดถึงของเธอเมื่อครู่นี้


“ใครจะไปนึกถึงซาตานจอมบงการและทำลายอนาคตของตัวเองอย่างนี้”ศศิชาพูดแขวะเพื่อเบี่ยงประเด็นและระงับความรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆที่เกิดขึ้นพร้อมขยับกายลุกขึ้นนั่งเตรียมเจรจาและถามไถ่ “นายจะอธิบายให้ฉันเข้าใจได้หรือยังว่าทำไมต้องทำกันถึงขนาดนี้หรือนายไม่รู้ว่าโลกของฉันไม่เคยมีเรื่องบ้าบอแบบนี้เกิดขึ้นคนอะไรจะตั้งท้องทั้งที่ไม่เคยมี...อะไรด้วยซ้ำไป” น้ำเสียงแผ่วปลายพร้อมศศิชาหลบสายตาจากซันเซ็ทที่จ้องมองเธอนิ่งๆไม่ละสายตา


ใบหน้านวลเนียนรู้สึกร้อนวูบวาบเมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ของชายหญิงตามคำพูดเมื่อครู่นี้จนความคิดหวามไหวทำให้นึกถึงฟาโร แม้จะเป็นเพียงภาพฝันก็ตาม


“ฉันไม่มีอะไรต้องอธิบายกับเธอรู้แค่เพียงต้องคุ้มกันและรอคอยวันที่สัญญาระหว่างเรายุติเท่านั้น” คำพูดของซันเซ็ททำให้ศศิชามองเขาอย่างครุ่นคิดถึงเหตุผลที่จงใจทำให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้


“คุ้มกันอย่างนั้นเหรอ?”ศศิชาเบือนสายตามองทางอื่นพร้อมแค่นยิ้มเมื่อนึกถึงประวัติความเป็นมาระหว่างเธอกับเขาเมื่อครั้งอดีตกาลเพราะความรักทำให้ซาตานยอมละทิ้งหน้าที่และเป็นปรปักษ์กับปีศาจร้ายเพื่อปกป้องนางอันเป็นที่รักไม่ว่าจะผ่านมาเนิ่นนานเพียงใดเขายังถูกความรักจองจำอยู่อย่างนั้นจนไม่อาจละทิ้งเธอ


ซันเซ็ทพยักหน้าขณะยังนั่งขัดสมาธิเท้าค้างอยู่อย่างนั้นโดยไม่นึกเอะใจต่อน้ำเสียงและท่าทีของหญิงสาวที่เขายังจดจ้องเธออย่างนั้น


“เพราะฉันคือเซเลเน่เทพีแห่งจันทรา หรือเป็นคนรักของนายกันแน่ ถึงต้องคอยคุ้มกันราวกับไข่ในหินมาตั้งหลายร้อยปี”บุรุษที่นั่งในท่าสบายถึงกับผงะต่อคำพูดของเธอ ซันเซ็ทขยับเปลี่ยนท่านั่งทันที


เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความวิตกกังวลและนึกถึงนอร่าขึ้นมากะทันหันหรือนางจะแอบเปิดเผยความลับของโลกแห่งรัตติกาลให้เธอผู้นี้รับรู้


“เธอรู้เรื่องนี้?”ซันเซ็ทถามไถ่หญิงสาวที่ชำเลืองมองเขาคล้ายมีบางอย่างภายในใจ แต่เธอก็ไม่พูดจาอะไรอีกนอกจากเสมองทางอื่นแม้อยากคาดคั้นความจริง แต่ด้วยอารมณ์ทิฐิของศศิชาเวลานี้คงไม่มีทางที่เขาจะได้รู้ในสิ่งที่ถามออกไป


“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกนาย...ถ้าหลังจากคืนนี้เรื่องราวจะเปลี่ยนแปลงไปยังไงนายก็ไม่ต้องมายุ่งหรือใส่ใจกันอีก ฉันดูแลตัวเองได้ เพราะบนโลกนี้ฉันคือศศิชาไม่ใช่เซเลเน่ของนายอีกต่อไปส่วนความทรงจำระหว่างกัน ฉันก็ไม่เคยจดจำมันได้เลยและในเมื่อนายต้องการใช้ไสยศาสตร์หรือเวทมนตร์อะไรก็ตามทำให้ฉันตั้งท้องแบบนี้ฉันบอกไว้เลยว่าไม่เคยเสียใจ ฉันจะดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุดและจะถือว่าลูกของฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับใครทั้งนั้น”


ศศิชาพูดจาด้วยความเชื่อมั่นว่าเธอไม่จำเป็นต้องพึ่งพาซาตานอย่างเขาอีกต่อไปจนลืมนึกไปว่าที่เธอปลอดภัยจากอันตรายรอบกายได้ทุกครั้งเป็นเพราะมีซันเซ็ทคอยช่วยเหลืออย่างปกป้องอย่างนี้


“กลับโลกของนายได้แล้วฉันต้องการพักผ่อน” ร่างบอบบางขยับลงนอนและพลิกกายหนีบุรุษที่มองตามเธอทุกขณะพร้อมถอนใจเบาๆแววตาที่เคยแข็งแกร่งกลับมีความหวั่นไหวและกังวลซ่อนอยู่ภายใน


ซันเซ็ทค่อยๆเลื่อนสลายกลายเป็นอากาศไร้ตัวตน ล่องหนเพื่อให้พ้นจากสายตาและท่าทางผลักไสไล่ส่งโดยยังคอยมองเธออยู่ห่างๆ อย่างห่วงใย


====

เหนือหมู่มวลเมฆาใกล้ดวงจันทร์ยังมีใครลอบมองลงมาเบื้องล่างเพื่อเฝ้าดูบุรุษและสตรีที่เคยรู้จักเป็นอย่างดีเมื่อนานมาแล้วเอียนคอยติดตามทั้งสองอย่างไม่คลาดสายตาตั้งแต่ล่วงรู้ว่าศศิชาคือเทพีแห่งจันทราไม่ผิดตัว


“นายท่านจะทำอย่างไรต่อไป”ลูกสมุนเอ่ยปากขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบขณะเอียนใช้ความคิดเพื่อหาหนทางกำจัดศัตรูให้พ้นทาง


“ข้าต้องเฝ้าดูอยู่อย่างนี้จนกว่าพลังของข้าจะฟื้นคืนดังเดิมในเมื่อซันเซ็ทยังวนเวียนอยู่ใกล้นาง และร่ายเวทย์มนตร์ปกป้องไว้เช่นนั้น ข้าคงจัดการอะไรไม่ได้มากนัก”


“ตั้งแต่นายท่านตามเจอนางซันเซ็ทกับนอร่าก็คอยคุ้มกันนางมากขึ้น เหล่าลูกสมุนของท่านก็ถูกเจ้าพวกนั่นจัดการจนร่อยหรอทั้งฆ่าปลิดชีพและทำลายดวงวิญญาณไม่ให้ได้ฟื้นคืนอีกครั้ง”


“ข้าไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้นต่อให้ซันเซ็ทอยากปิดแดนโลกเพียงใด ข้าจะขัดขวางทุกวิถีทางไม่ให้พวกมันได้สมในหวังจนกว่าข้าจะได้วิญญาณและหัวใจบริสุทธิ์ของเทพีแห่งจันทราแม้ข้าจะยังไม่รู้ว่ามันคิดทำสิ่งใดก็ตาม”เอียนเหล่มองลูกสมุนด้วยท่าทางมุ่งมั่นว่าเขาสามารถจัดการได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ“เจ้าจงส่งบริวารไปสืบความให้ข้า โดยแฝงกายไปกับพวกมนุษย์โลกทั้งหลายที่มีจิตใจอ่อนแอมั่วเมาและลุ่มหลงอยู่ในกิเลสตัณหา อย่าให้พวกมันระแคะระคาย และคอยดูอย่าให้คลาดสายตา”คำสั่งจากเอียนทำให้ลูกสมุนผู้รับหน้าที่ก้มศีรษะรับใช้อย่างเต็มใจก่อนจะพุ่งทยานจากท้องฟ้าหายวับไปกับตา

====


มีต่อด้านล่างค่ะ 






Create Date : 24 เมษายน 2557
Last Update : 24 เมษายน 2557 8:40:40 น.
Counter : 472 Pageviews.

1 comments
  
ภายในผับหรูเปิดเพลงคลอเบาๆ เมื่อใกล้ถึงเวลาปิดทำการ แท่งไฟสีน้ำเงินปนม่วงถูกประดับบนเพดานเรียงรายราวกับแท่งแก้วหลากสีสันทำให้บรรยากาศอึมครึมสบายตา โซฟาหนังสีดำในมุมส่วนตัวไร้ผู้คนรอบด้านถูกจับจองตั้งแต่ช่วงหัวค่ำที่ผ่านมาโดยชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา บรั่นดีที่เหลือค่อนแก้วถูกยกจิบเป็นระยะด้วยท่าทางครุ่นคิดและเหม่อลอย



หลังจากทราบเรื่องเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของผู้จัดการสาวจากนลัท ฟาโรก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือยอมรับในสิ่งต่างๆ ที่เป็นข้อสงสัย มีเพียงนลัทที่ต่อว่ายกใหญ่โดยที่เขารับฟังนิ่งๆ และคิดตาม แม้เรื่องราวทั้งหมดจะพิสดารและพาสับสนเพียงใด ไม่ว่าจะเรื่องที่เขาโผล่เข้าไปอยู่ในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดทายาทเศรษฐี หรือถูกกล่าวหาว่าทำให้ศศิชาตั้งท้องทั้งที่ตนเองไม่มีส่วนรู้เห็นแม้แต่น้อย ยิ่งสร้างความปั่นป่วนในจิตใจอย่างหนัก



ฟาโรได้แต่ย้อนทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆ มันไม่ควรมีเรื่องบ้าบอเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัวเช่นนี้ แม้พยายามเตือนสติตนเองว่าศศิชาอาจมีความสัมพันธ์กับชายอื่นจนตั้งท้อง ทว่าในใจลึกๆ กลับนึกถึงความฝันที่เขาเป็นฝ่ายบุกรุกเข้าหาเธอจนมีความสัมพันธ์วาบหวามเกิดขึ้น โดยอธิบายไม่ได้เช่นกันเกี่ยวกับภาพถ่ายที่มีเขาปรากฏตัวอยู่ในงานเลี้ยงคืนนั้น



‘โธ่เว้ย!’ ดาราหนุ่มสบถเบาๆ พร้อมกระแทกแก้วทรงสั้นลงบนโต๊ะกระจกที่มีขวดบรั่นดีวางอยู่ใกล้กับถังน้ำแข็งสีเงิน ร่างสูงทิ้งตัวพิงโซฟาและเอนศีรษะพาดไปบนพนักที่นั่งพร้อมยกมือกุมขมับคล้ายเกิดความกดดันและตึงเครียดอย่างสาหัส



“เป็นอะไรคะ ทำไมมานั่งหลบมุมอยู่ตรงนี้” หญิงสาวในชุดเกาะอกสั้นสีแดงสดสีเดียวกับรองเท้าส้นสูงสามนิ้วเดินมาหยุดยืนข้างชายหนุ่มโดยที่เขาไม่คิดจะให้ความสนใจแก่หล่อนสักนิด ใบหน้ารูปไข่สวยงามด้วยสีสันจากเครื่องสำอางเข้มจัดที่เข้ากับบรรยากาศยามราตรี ผมตรงสลวยยาวระดับกลางหลังพลิ้วไหวระหว่างหย่อนกายลงนั่งด้านข้างฟาโร



เพียงน้ำเสียงคุ้นเคยของหญิงสาวทำให้ดาราหนุ่มจดจำได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องหันมองว่าหล่อนก็เป็นผู้หญิงในบริวารของเขาอีกคน เฉกเช่นนางแบบสาวอย่างไมกิและพิมมาดาที่ห่างหายเพราะกระแสข่าวฉาวซึ่งทั้งสองเคยมีเรื่องมีราวตบตีกันครั้งก่อน



“โทษทีนะขวัญ ผมไม่มีอารมณ์คุยกับใครตอนนี้”



“อะไรกันคะฟาโร เราสองคนไม่มีโอกาสได้เจอกันตั้งนาน ทำไมตัดความสัมพันธ์กันง่ายอย่างนี้ล่ะคะ”



“ผมอยากอยู่คนเดียว” ฟาโรทิ้งแขนลงข้างลำตัวพร้อมลืมตามองเพดานด้วยสายตาจริงจัง น้ำเสียงแข็งที่จับอาการได้ว่าเขาไม่พูดเล่นทำให้ขวัญตาถึงกับสะอึกเล็กน้อยที่เข้ามาทักทายผิดเวลาเช่นนี้



“โอเคค่ะ ขวัญไม่รบกวนคุณก็ได้ หากมีเวลาหรือนึกถึงขวัญเมื่อไรก็ติดต่อมาบ้างนะคะ ขวัญคิดถึงคุณค่ะ” หญิงสาวหุ่นเพรียวลุกขึ้นยืนและมองชายหนุ่มที่ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจหล่อนแต่อย่างใด ขวัญตารู้ดีว่าตนเองเป็นเพียงทางผ่านในช่วงเวลาที่ฟาโรเบื่อหน่ายสาวอื่นเท่านั้น หล่อนเข้าใจว่าเขาไม่เคยคิดจริงจังกับใครมาก่อน ทุกคนผ่านมาแล้วผ่านไปโดยไม่มีข้อผูกมัดระหว่างกัน



ทว่าข่าวคราวที่ได้เห็นจากหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ทำให้ขวัญตารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากที่ฟาโรยอมตกเป็นข่าวดังกระฉ่อนกับทายาทเศรษฐีจนนึกอยากถามไถ่เมื่อได้มาเจอกันในค่ำคืนนี้ แต่ต้องจำใจเดินจากไปเมื่อดาราชื่อดังไม่อยากเสวนากับหล่อนแม้แต่น้อย



ฟาโรขยับขึ้นนั่งด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เขาหยิบขวดเหล้าและเทบรั่นดีลงในแก้วจนเกือบเต็มพร้อมยกดื่มรวดเดียวหมด โดยความคิดยังวนเวียนอยู่กับเรื่องราวของศศิชาตลอดเวลา



“เป็นไง...เครียดมากเหรอถึงต้องตามตัวกันด่วนขนาดนี้” วรดายืนอิงมุมกำแพงด้านหลังโซฟาที่มีชายหนุ่มปั้นหน้าบึ้งตึงนั่งอยู่ หล่อนเดินสวนทางกับหญิงสาวอีกคนที่แว่วว่าพูดคุยกับฟาโรเมื่อครู่นี้



“มาช้าไปนะ” ฟาโรยกขวดเหล้ารินใส่แก้วอีกครั้งและหยิบแก้วใบใหม่รินใส่เหล้าเพิ่มเติมเพื่อส่งให้หญิงสาวซึ่งเขาโทรเรียกให้ออกมาพบเจอเพื่อถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องราวบางอย่างที่วรดาน่าจะพอรู้อยู่บ้าง



“ก็ไม่อยากรีบเดินมาขัดจังหวะขวัญตา...สาวสวยหุ่นดีที่เพิ่งถูกเธอตะเพิดกลับไปเมื่อกี้นี้”



“จำได้ด้วยเหรอ ไปอยู่เมืองนอกมาตั้งนานแถมไม่ค่อยสนใจเรื่องวงการบันเทิงไม่ใช่หรือไง”



“จำได้สิ...ผู้หญิงคนไหนที่ควงกับเธอบ้าง อยากให้วีสาธยายให้ฟังไหมล่ะ จะว่าไปเรื่องในวงการวีก็สนใจแต่เรื่องของเธอกับ...” วรดาชะงักคำพูดไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ย ‘เขานั้นล่ะ’ ออกมา หล่อนฝืนยิ้มและมองฟาโรราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ภายในหัวใจแอบรวดร้าวเบาๆ “ว่าแต่เรียกวีออกมามีเรื่องสำคัญล่ะสิ” วรดาเหล่มองดาราหนุ่มเมื่อเธอรู้ทันว่าเขาต้องการพบเจอด้วยสาเหตุใด และหากเดาไม่ผิดการเรียกหาอย่างเร่งด่วนครั้งนี้คงไม่พ้นเรื่องราวของศศิชา เพราะเท่าที่สังเกตเห็นชายหนุ่มเบื้องหน้าดูจะตึงเครียดเป็นอย่างมาก



“ญาติของวีได้ไปปรึกษาปัญหาส่วนตัวอะไรบ้างหรือเปล่า” ฟาโรเริ่มตั้งคำถามในสิ่งที่คาใจ



“นี่เธอจะถามอะไรกันแน่” วรดาชำเลืองมองชายหนุ่มและส่งยิ้มรู้ทัน โดยที่ฟาโรได้แต่เก็บอาการอยากรู้ใจแทบขาดภายใต้ความนิ่งเฉย “เรื่องของเลดี้เหรอ ใช่ที่เธอท้องหรือเปล่า” เพียงเท่านั้นฟาโรก็หันมองวรดาอย่างให้ความสนใจในทันที จากท่าทางเฉยเมยแปรเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นจนเพื่อนสาวสัมผัสได้ว่าระหว่างเขากับศศิชาต้องมีความลับบางอย่างที่หล่อนไม่เคยรับรู้มาก่อน



“อืม” แม้อยากรับฟังมากเพียงใด ทว่าสายตาจับผิดของวรดาก็ทำให้ฟาโรกลบเกลื่อนโดยการยกบรั่นดีขึ้นดื่มพร้อมรอฟังเรื่องราวต่อไป



“วีก็ไม่รู้อะไรมากหรอกนะ เรื่องมันเกิดจากเลดี้เป็นลมที่บริษัท ไม่รู้ว่าเธออยู่ด้วยหรือเปล่าตอนนั้น” ฟาโรคิดตามคำพูดของเพื่อนสาวพร้อมนึกถึงเรื่องราวเมื่อช่วงบ่ายที่เห็นไมเคิลอุ้มศศิชาส่งโรงพยาบาล “เห็นว่าไปเจอคุณพ่อที่โรงพยาบาลพอดี ท่านเลยตรวจร่างกายให้อย่างละเอียด เลยรู้ว่าเลดี้ตั้งท้องอ่อนๆ ได้เดือนกว่าแล้วล่ะ”



ฟาโรส่งสายถามไถ่ อยากให้วรดาอธิบายเรื่องราวต่อ เขาเองก็อยากรู้ว่าศศิชาจะยอมบอกหรือไม่ว่าแท้จริงแล้วใครคือพ่อของเด็กในท้องของเธอ



“ทุกคนในบ้านสงสัยกันมากว่าใครคือพ่อของเด็กคนนั้น...” วรดาหยุดคำพูดและจ้องมองคู่สนทนาอย่างอยากรู้เช่นกันว่าฟาโรจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรบ้าง ทว่าเขายังคงนิ่งเฉยได้เป็นอย่างดี “แต่ยังไม่มีใครได้ถามเลดี้หรอกนะ เพราะคุณย่าเครียดหนักจนเป็นลมหมดสติ คงต้องรอให้คุณย่าดีขึ้นก่อนถึงได้เค้นความจริง”



“วีคิดว่าเธอท้องกับใคร” คำถามของฟาโรทำให้วรดาเลิกคิ้วพร้อมยกยิ้มประหลาดใจ ในเมื่อมีเขาเพียงคนเดียวที่เข้าใกล้ศศิชามากที่สุด เหตุใดจึงตั้งคำถามเช่นนี้



“อย่าบอกนะว่าเธอไม่ได้มีอะไรกับเลดี้”



“ทำไมทุกคนต้องคิดว่าฉันทำเลดี้ท้อง ทั้งเธอและผู้จัดการก็ด้วย” ฟาโรนึกถึงนลัทขึ้นมาทันที เมื่อทุกคนพุ่งประเด็นและยัดเยียดให้เขาเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด



“ใครๆ ก็ต้องคิดอย่างนั้น เพราะเลดี้ไม่เคยใกล้ชิดกับใครนอกจากเธอคนเดียว ตอนที่พี่วินโทรคุยกับซีก่อนวีจะออกจากบ้าน ซีก็บอกว่าเจรจากับเธอแล้วไม่ใช่เหรอ” ฟาโรแค่นยิ้มพร้อมยกมือจับมุมปากเมื่อนึกถึงกำปั้นหนักๆ ที่เหวี่ยงใส่หน้าหล่อเหลาอย่างไม่ทันตั้งตัว



“ใช่ เจรจากันแล้ว แต่ก็ไม่เคลียร์อยู่ดี”



“วีถามจริงๆ นะฟาโร เธอมีอะไรกับเลดี้หรือเปล่า”



“เปล่า...ฉันไม่มีวันแตะต้องเธอคนนั้น...แม้แต่ในฝัน...หรือเรื่องจริงก็ตาม” วรดามองฟาโรอย่างครุ่นคิด แววตาดุดันและเชื่อมั่นอย่างนี้ถึงจะสมเป็นฟาโรคนที่หล่อนรู้จัก ทว่าท่าทางร้ายกาจและแสนจะเย็นชาที่เคยเจอในงานเลี้ยงฉลองในคืนนั้นราวกับเป็นคนละคน ซึ่งหล่อนเองก็หาคำอธิบายไม่ได้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกเช่นนั้น



วรดายังไม่เข้าใจเหตุใดเรื่องราวจึงกลับตาลปัตรเช่นนี้ ในเมื่อเธอคิดมาโดยตลอดว่าฟาโรคือบุคคลที่อาจจะเป็นพ่อของเด็กในท้องของศศิชา ทว่าเขากลับปฏิเสธและบอกไม่ได้เป็นผู้ก่อเรื่องทั้งหมด



ทั้งสองนั่งปรับทุกข์กันอยู่ครู่ใหญ่จนหมดเวลาของสถานความบังเทิงในค่ำคืนนี้ “ฉันว่าจะไปพักผ่อนสมองที่อเมริกาสักอาทิตย์ ไปด้วยกันไหม” ฟาโรถามเพื่อนสาวด้วยอาการมึนเมาพอสมควร ใบหน้าคมคายเกลื่อนระเรื่อไปด้วยด้วยเลือดฝาดบนแก้มและจมูกเล็กน้อย



“จะหนีปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือไง อย่าลืมนะฟาโร เธอไม่มีทางหนีข่าวได้พ้นหรอก ถึงจะหนีไปอยู่ไกลแค่ไหน กลับมาก็ต้องเคลียร์ทุกเรื่องอยู่ดี หากเธอไม่ได้เป็นคนก่อก็ไม่จำเป็นต้องหลบหน้าหลบตา”



ฟาโรถึงกับผงะเล็กน้อยก่อนจะทำตัวให้เป็นปกติตามเดิม แม้ภายในใจจะทักท้วงว่าเขาไม่คิดหลบหน้าหรือหนีปัญหา แต่ความสับสนวุ่นวายพาลให้เขาอยากหนีห่างให้ไกลจากเรื่องราวบ้าบอที่เกิดขึ้น แม้จะยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าเขาก็ไม่ได้ตัดคำเตือนของอาร์ตทิ้ง รวมถึงภาพหลักฐานที่วรดาถ่ายเก็บไว้



หรือทุกอย่างจะเป็นสัญญาณบอกเหตุที่เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ ศศิชาอาจเป็นแม่มดหรือตัวประหลาดที่ทำให้เขาวุ่นวายไปด้วยเช่นนี้



=====



คืนทั้งคืนศศิชาพยายามข่มตาให้หลับแต่จิตใจกลับไม่สงบเอาเสียเลย ได้แต่นอนกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาจนรุ่งเช้า แม้จะลุกมาเปิดแผ่นซีดีเกี่ยวกับเบื้องหลังกองถ่ายของฟาโรซึ่งนลัทเคยนำมามอบไว้ตั้งแต่ช่วงที่เธอคลั่งไคล้เขาเป็นอย่างมาก ทว่าความรู้สึกที่มีกลับไม่เหมือนเดิม เธอไม่ได้หลงใหลฟาโรอย่างที่เคยชื่นชมว่าเขาเป็นดาราชื่อดังคล้ายฮีโร่เมื่อในอดีต ความรู้สึกที่มีขณะมองเห็นภาพของเขาเวลานี้มีแต่ความรวดร้าวในใจ บางจังหวะอาจหวั่นไหวไปกับดวงตาคู่สวยที่มีเสน่ห์ดึงดูดให้มองไปทางเขาได้ตลอดเวลา


เสียงเคาะประตูดึงให้หญิงสาวเจ้าของห้องหลุดจากภวังค์ความคิดทั้งหลายและกลับมาอยู่ในปัจจุบันอีกครั้ง แปรงหวีผมถูกวางบนโต๊ะเครื่องแป้งก่อนศศิชาจะลุกจากเก้าอี้และเดินไปเปิดประตูห้องเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนซึ่งพอทราบดีว่าใครที่ต้องการพบเจอเธอตั้งแต่ช่วงเช้าอย่างนี้



“ทำไมตาบวมอย่างนั้น เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยหรือไง” วศินถามอย่างห่วงใยจนลืมคำถามว่าเธอพร้อมพูดคุยกับเขาหรือไม่เวลานี้ แต่ถ้าน้องสาวยังไม่พร้อมคุยเขาคงต้องรั้งไว้เพื่อให้เธอช่วยคลี่คลายปัญหาคาใจจนเขาเองก็นอนไม่หลับทั้งคืนเช่นกัน



“พี่วินมีเรื่องจะคุยกับดีใช่หรือเปล่าคะ มีอะไรก็ถามมาได้เลยค่ะ ดี้พร้อมจะตอบทุกอย่างแล้ว” ศศิชาก้าวออกจนพ้นเขตห้องเพื่อยืนประจัญหน้ากับพี่ชายพร้อมดึงประตูห้องปิดไว้ ความคลางแคลงใจคงทำให้วศินร้อนรนตั้งแต่เมื่อคืนนี้ และเธอก็พร้อมอธิบายทุกอย่างให้เขารับรู้แม้จะบอกได้ไม่หมดทุกเรื่องก็ตาม



“เลดี้คงรู้ว่าคุณย่าและคนอื่นๆ รวมทั้งพี่รู้เรื่องที่...”



“ค่ะ ดี้ทราบแล้วว่าคุณลุงหมอส่งข่าวเรื่องที่ดี้ตั้งท้อง พี่วินและคนอื่นๆ คงอยากรู้ใช่ไหมคะว่าใครคือพ่อของเด็ก” ศศิชามองพี่ชายอย่างสู้สายตา ในเมื่อความจริงเปิดเผยก็ไม่จำเป็นต้องหลบหลีกอีกต่อไป เธอสูดลมหายใจสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง “ดี้ผิดที่ทำตัวเหลวไหลจนเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างนี้ แต่ดี้คงบอกไม่ได้ว่าใครคือพ่อของเด็กคนนี้ ในเมื่อเขาเป็นลูกของดี้ ดี้ก็จะเลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุดค่ะ”



“ทำไมถึงบอกพี่ไม่ได้ว่าใครคือพ่อของเด็ก” วศินถามเสียงอ่อน ในใจรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดคิด ศศิชาไม่คิดจะเปิดเผยหรือยอมรับว่าใครคือผู้ชายที่อยู่ในความลับของเธอ แม้ทุกอย่างยังคงคาใจ ทว่าเขาก็มีสิทธิ์ได้ทำสมใจในสิ่งที่ต้องการ หากน้องสาวยินดีและเปิดโอกาสให้เขารับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้น



“ดี้ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ค่ะ ดี้ขอร้องนะคะพี่วิน อย่าถามในสิ่งที่ดี้ตอบไม่ได้อีกเลย”



“แล้วเราจะทำไง นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะเลดี้ จะให้เด็กคนนี้จะเกิดมาโดยไม่มีพ่องั้นเหรอ”



“ก็ในเมื่อมันเป็นอย่างนั้น ดี้ก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ดี้คงต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับเด็กคนนี้เอง”



“พี่ไม่เข้าใจ ทำไมเราถึงปกป้องผู้ชายคนนั้น ไม่ให้เขารับผิดชอบในปัญหาที่ก่อไว้ ทำไมเราต้องรับผิดชอบทั้งหมดคนเดียวแบบนี้” แม้ไม่อยากเซ้าซี้ให้มากความ ทว่าเขาก็ยังอยากรู้ความจริงอยู่ดี วศินมองน้องสาวอย่างคาดคั้นจนรู้สึกถึงความกดดันที่ส่งผ่านจากแววตาคมโต โดยเขาเองต้องหยุดคำถามทั้งหมดในทันที



ศศิชาลอบถอนใจ เธอไม่ได้ต้องการปิดบังความจริง แต่เพราะหาคำตอบไม่ได้ต่างหาก จึงไม่รู้ว่าต้องอธิบายหรือบอกอย่างไรว่าใครคือพ่อของเด็กในท้อง ในเมื่อเธอเองยังสับสน ทำให้ฉุกคิดถึงซันเซ็ทพร้อมกับต่อว่าเขาในใจ เป็นเพราะซาตานงี่เง่าเอาแต่ใจ เข้ามาบงการชีวิตของเธอโดยไม่ได้ถามสักนิดว่าต้องการหรือไม่ และเรื่องทั้งหมดก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับข้อแลกเปลี่ยนที่เคยตกลงกันไว้ด้วยซ้ำ



“พี่วินคิดซะว่าดี้เกเรและทำตัวเหลวแหลกก็ได้ค่ะ แต่อย่าถามดี้อีกเลยว่าเพราะอะไร”



“เอาล่ะ พี่สัญญาจะไม่ถามถึงเรื่องนี้อีก แต่พี่อยากบอกเราว่า พี่จะขอรับผิดชอบต่อเด็กในท้องโดยเป็นพ่อบุญธรรมก็ได้หากเลดี้ไม่รังเกียจพี่ชายคนนี้”



“พี่วิน...” ศศิชาหลุดเรียกชื่อพี่ชายพร้อมกับยืนตะลึงอยู่อย่างนั้น ไม่คิดว่าเขาจะยอมทำเพื่อเธอได้อย่างนี้



“ไม่ได้! แม่ไม่ยอมให้แกต้องรับผิดชอบในสิ่งที่แกไม่ได้ทำหรอกนะตาวิน” ทิพปภาเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินลูกชายเอ่ยปากขอรับผิดชอบต่อปัญหาของเด็กใจแตกที่พลาดพลั้งทำให้เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองหนัง แต่กลับเอากระดูกมาแขวนคออย่างนั้นเหรอ แกโง่หรือบ้ากันแน่!” ทิพปภาตวาดเสียงแข็งใส่ลูกชายที่แสดงความสิ้นคิดให้ได้ยิน



“คุณแม่ครับ มันเป็นปัญหาที่ผมยอมรับและต้องการอย่างนี้ คุณแม่ไม่มีสิทธิ์สั่งห้ามหรือออกความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น ผมตัดสินใจแล้วครับ”



“นี่แกกล้าพูดกับแม่อย่างนี้เลยหรือตาวิน!”



“พี่วินคะ” ศศิชาเห็นแววไม่สู้ดีระหว่างแม่ลูกทำให้เธอยอมตัดบทเพื่อจบเรื่องวิวาทต่อกัน “ขอบคุณนะคะที่ช่วยคิดแก้ปัญหาให้ดี้ แต่ดี้คงรับข้อเสนอของพี่วินไม่ได้ค่ะ ยังไงก็อย่าทะเลาะกับคุณป้าเลยนะคะ”



ทิพปภาเหยียดมองหลานสาวอย่างดูแคลนและคิดว่าศศิชากำลังใช้มารยาหลายร้อยเล่มเกวียนดึงวศินให้ติดกับความน่าสงสารและไร้เดียงสาของเธอ



“ดี้ขอตัวนะคะ พอดีนัดกับซีไว้ที่สวนหน้าบ้าน ป่านนี้คงมารอดี้แล้วค่ะ” ศศิชามองพี่ชายพร้อมกับฝืนยิ้มก่อนชำเลืองมองทิพปภาและหลบออกจากตรงนั้นอย่างนอบน้อม ปล่อยให้วศินมองตามด้วยสายตาเว้าวอนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเนื่องจากมารดายืนจ้องเขาตาเขม็ง



เมื่อศศิชาเดินลงบันไดหินอ่อนจากไปจนพ้นสายตา มารดาและบุตรชายก็หันมองหน้ากันราวกับเป็นศัตรูโกรธแค้นกันมาหลายปี วศินเป็นฝ่ายหลบสายตาเกรี้ยวโกรธของมารดาและเดินเลี่ยงจากไปโดยไม่ใส่ใจทิพปภาที่โกรธเคืองจนแทบจะพ่นไฟออกมาเดี๋ยวนั้น



To be continued...
โดย: มาโซคิส วันที่: 24 เมษายน 2557 เวลา:8:40:59 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments