การตลาด>>ปฐมบท "อัลตร้าโน้ตบุ๊ก"

ผู้ประกอบการแบรนด์เอเซอร์เลือกที่จะพัฒนา “อัลตร้าบุ๊ก”
เพื่อตีไปยังจุดอ่อนของแท็บเลตใน 2 ประเด็นคือ รูปแบบ
การใช้งานด้านเอกสาร และความสะดวกในการถ่ายโอน
และจัดเก็บข้อมูลกับอุปกรณ์ไอทีอื่นๆ ทำให้ไม่สอดคล้อง
กับพฤติกรรมการใช้งานของกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการ
ประสิทธิภาพการใช้งานในรูปแบบเดียวกับโน้ตบุ๊ก และ
ต้องตอบสนองเรื่องของการพกพาที่สะดวกเช่นเดียวกับ
แท็บเลต ซึ่งผู้บริโภคได้เรียนรู้มาแล้วว่าแท็บเล็ตจะเหมาะ
กับการใช่เล่นเกม เพื่อความบันเทิง พักผ่อน มากกว่า แต่
ไม่สามารถใช้ทำงานได้อย่างจริงจัง

ดังนั้นหลังจากเก็บข้อมูลการใช้งานและความต้องการของ
ผู้บริโภคแล้ว เอเซอร์จึงทำการคลอดอัลตร้าบุ๊กที่มีหน้าจอ
แบบสัมผัสเช่นเดียวกับแท็บเล็ตได้

เอเซอร์ถือเป็นบริษัทแรกในเมืองไทยที่เริ่มทำตลาด
อัลตร้าบุ๊กด้วยการจับมือกับทางอินเทลเปิดตัวเอเซอร์ แอสไปร์
อัลตร้าบุ๊ก ซึ่งถือเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์บาง เบา

เอเซอร์ มองว่าแอสไปร์ คืออัลตร้าบุ๊กที่เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์
ใหม่ที่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความบาง เบา รวดเร็ว และ
ประหยัดพลังงาน รวมถึงการใช้งานด้านคอนเทนต์ได้อย่าง
ดี ด้วยการผสมผสานคุณสมบัติของแท็บเลตและโน้ตบุ๊ก
เอาไว้ด้วยกัน



หลังการเปิดตลาดของเอเซอร์แล้วจึงมีคู่แข่งขันอีก 2 แบรนด์
คือ โตชิบา และเอชพี ที่ส่งอัลตร้าบุ๊กเข้าสู่ตลาดตามมา

อย่างไรก็ดี จุดอ่อนของอัลตร้าบุ๊กคือราคาค่าตัวที่สูงกว่า
แท็บเลตกว่า 1 เท่าตัวขึ้นไป ทำให้ผู้บริโภคต้องชั่งใจในการ
ซื้อเพื่อแลกมาด้วยความสะดวกและประสิทธิภาพในการใช้
งาน

ประกอบกับการเป็นสินค้าใหม่จึงต้องใช้เวลาในการสร้าง
ความเข้าใจกับผู้บริโภคเกี่ยวกับอัลตร้าบุ๊กเนื่องจากใน
ช่วงแรกพบว่าผู้บริโภคไม่ได้มองว่าอัลตร้าบุ๊กเป็นอีก
แพลตฟอร์มหนึ่ง แต่มองว่าเป็นโน้ตบุ๊กทั่วไป

ดังนั้นในช่วงแรกตลาดอัลตร้าบุ๊กยังเล็กมาก โดยมีส่วน
แบ่งตลาดเพียง 1-2% ของตลาดรวมโน้ตบุ๊กเท่านั้น แต่
ในปี 2556 ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการต่างระบุว่าเซกเม้นต์นี้
เติบโตจนมีสัดส่วนถึง 40% ของตลาด โดยได้เริ่มเข้ามา
แทนที่โน้ตบุ๊ก 13-14 นิ้ว ในกลุ่มสินค้าหลัก หรือกลุ่ม
เมนสตรีม (Mainstream) มากขึ้น

กระทั่งหลังปี 2555 เป็นต้นมา ผู้ประกอบการไอทีจึง
สามารถพัฒนาไฮบริดโน้ตบุ๊กได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยเลือก
ที่จะพัฒนาต่อยอดจากอัลตร้าบุ๊กที่เดิมเป็นจอทัชสกรีน ให้
สามารถทำงานเลียนแบบแท็บเลตได้อย่างสมบรูณ์มากขึ้นทั้ง
การหมุนจอภาพ หรือการสไลด์จอ

ประกอบกับการที่ไมโครซอฟต์ได้เปิดตัว OS นวัตกรรมใหม่
คือ  Windows 8 ที่ถูกออกแบบให้รองรับการทำงานแบบ
หน้าสัมผัสได้ดียิ่งขึ้น จึงเป็นทั้งแรงกระตุ้นและขับดันให้
แต่ละแบรนด์ผลิตไฮบริดโน้ตบุ๊กออกมาเพื่ออุดช่องว่างของ
ตลาดได้สมบรูณ์แบบมากขึ้น

ดังนั้นกลยุทธ์ต่อไปที่ผู้ประกอบการโน้ตบุ๊กเริ่มนำมาใช้คือ
การวางแผนจัดการให้ต้นทุนของโน้ตบุ๊กแบบไฮบริดต่ำลง
โดยปัจจุบันโน้ตบุ๊กไฮบริด มีช่องว่างห่างจากโน้ตบุ๊กทั่วไป
ประมาณ 3-4 พันบาท ซึ่งผู้ประกอบการบางแบรนด์
พยายามบีบช่องว่างดังกล่าวให้เหลือประมาณ 2 พันบาท 
โดยคาดหวังว่าระดับราคาดังกล่าวจะช่วยให้ผู้บริโภค
ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น  และช่วยกู้ชีพจรของตลาดโน้ตบุ๊ก
ให้ฟื้นกลับมายืนในแดนบวกได้อีกครั้ง

         สนับสนุนข้อมูลโดย         
นิตยสารแมกเก็ตติ้ง (Magketing)



        สามารถดาวน์โหลดนิตยสารฉบับเต็ม...ฟรี...ได้ที่       
//www.ebooks.in.th/ebook/28689/magketing_vol.5/
//www.ebooks.in.th/ebook/26863/magketing_vol4/
//www.ebooks.in.th/ebook/25119/magketing_vol3/
//www.ebooks.in.th/ebook/22753/magketing_vol2/
//www.ebooks.in.th/ebook/20270/magketing_vol1/
(วิธีดาวน์โหลดไฟล์ให้ Click ปุ่ม >> คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดไฟล์)




Create Date : 22 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2557 19:03:40 น.
Counter : 664 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เปปซี่ตัวดำ
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



Group Blog
All Blog