2014 Northern Spain : บัสทัวร์รอบกาลิเซีย และ Procession พิธีสุดหลอน
เรามานั่งบัสทัวร์รอบกาลิเซียต่อ..
หลังจากออกมาจากน้ำตกแล้ว ก็นั่งรถมาเรื่อย ๆ วิวระหว่างทางก็จะเป็นหน้าผา เป็นทะเล มีที่หยุดรถชมวิวเป็นระยะ ๆ
เรามาหยุดกันที่โบสถ์แห่งนึง ที่เป็นจุดสุดท้ายก่อนถึงทะเล ซึ่งหากข้ามไปฝั่งโน้นนนนก็จะเป็นอีกทวีปไปเลย
มีป้ายบอกว่าเป็นเส้นทางเซ็นต์เจมส์อยู่ด้วย
ที่ยังมีป้ายบอกทางอยู่ เนื่องจากพวกพิลกริมบางคน ถึงแม้จะเดินทางมาจนถึงวิหารที่ซานเทียโก เดอ คอมโพสทิลลาแล้ว ก็ยังคิดว่าเส้นทางมันไม่จบ มันต้องมาจบที่นี่ที่โบสถ์แห่งนี้ ซึ่งในหนังเรื่อง The way ตัวเอกก็คิดเช่นนั้น และเดินทางต่อ มาจนถึงโบสถ์แห่งนี้เช่นกัน
จุดสุดท้ายของแผ่นดิน จะมีไม้กางเขนอยู่
(พออิฉันเห็นไม้กางเขน ก็มักจะนึกไปว่าคงมีใครเด๊ดซะมอลเร่ไปตรงนี้แหง ๆ แต่เปล่าฮ่ะ แค่ไปตั้งไว้เฉย ๆ )
ที่จุดตรงไม้กางเขน จะมีกองเถ้าถ่านอยู่ มาร์ตินบอกว่าพวกพิลกริม เมื่อเดินทางมาถึงนี้ เค้าจะมีความเชื่อว่าต้องทำอยู่ 3 อย่าง
1. เข้าไปไหว้ในโบสถ์ 2. เผาเสื้อผ้า หรือแม้แต่ถุงเท้าเก่า ๆ ที่สวมมา เพื่อที่จะเป็นคนใหม่ 3. ลงว่ายน้ำที่แหลมข้างล่างนั่น
มาร์ตินบอกเท่าที่เห็น พิลกริมทำแค่ข้อ 1 และ 2 เท่านั้น เนื่องจาก ที่นี่มันหนาวโคด ๆ
และที่บอกว่าเผาเสื้อผ้าที่สวม เพื่อที่จะเป็นคนใหม่นั่น จริง ๆ น่าจะเป็นทริคของบาทหลวงสมัยก่อนมากกว่า เพราะพวกนักเดินทางเดินเท้ากันมาเป็นเดือน ๆ อาบน้ำมั่งไม่อาบมั่ง กลิ่นคงจะเหลือทน บาทหลวงเลยให้เผาเสื้อผ้าเน่า ๆ ทิ้งซะ แล้วเอาของบริจาคให้ใส่แทนดีกว่า
อาคารแถวนั้นแหละ
ลมแรงม่วกกกก..
นั่งรถต่อมา เส้นทางจะขับรถบนทางคดเคี้ยวอย่างงี้ เป็นทางเลียบหน้าผา
มีที่จอดรถเพื่อชมวิวเป็นระยะ
ขับรถผ่าน โบสถ์เล็ก ๆ แห่งนึง มาร์ตินเล่าว่าโบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์ประจำหมู่บ้านแห่งนึง บาทหลวงมีความเป็นชาวกาลิเซียนสูงมาก แทบจะไม่พูดภาษาสเปนเลย และดุมากด้วย เค้าไม่ต้องการให้นักท่องเที่ยวเข้าไปในโบสถ์เลย เพราะจะเอาไว้ทำพิธีทางศาสนาเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหมู่บ้านเล็กมาก ไม่ค่อยมีคน มาร์ตินจึงไม่เคยเห็นมันเปิดเลย
เริ่มบ่ายคล้อยละ ถึงเวลาอาหารเที่ยง พวกเราเริ่มหิว ทัวร์ที่ซื้อมานี้รวมอาหารเที่ยงด้วย มาร์ตินบอกว่า ทัวร์ของเค้าไม่เคยเลือกร้านอาหารห่วย ๆ ทุกอย่างต้องดีเลิศ ถึงแม้แถบ ๆ นี้ จะมีร้านอาหารทะเลขายอยู่มากมาย แต่หลาย ๆ ร้านก็ไม่ได้เอาของสดมาปรุงให้ทุกร้าน ดังนั้น บางครั้งจะเห็นรถพยาบาลมาหามคนป่วยจากอาหารเป็นพิษอยู่บ่อย ๆ
ร้านที่เค้าเลือกมาให้ เป็นร้านอาหารในโรงแรมแบบ Local ที่ไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปเข้าไปกิน ต้องมีการจองล่วงหน้า และมีทำสัญญากันว่าอาหารทะเลที่มาทำจะต้องเป็นของที่จับได้ในเช้าวันนั้น รวมทั้งพืชผักผลไม้ด้วย ต้องเป็นของโลคอล และซื้อหาในตลาดแถบนั้นเท่านั้น จึงการันตีได้ว่าของสดโคตรจะสดจริงๆ
นั่งรออาหาร..
ระหว่างนั่งรอ ก็ถ่ายรูปโน่นนี่นั่นไปเรื่อย ๆ
สนามหญ้าด้านนอก
นั่งซดไวน์รอ..
ไวน์สเปนราคาไม่แพง ไปกินร้านไหนก็มักจะยกมาเสริ์ฟ แทนน้ำเปล่าได้เลย
มาละออเดิร์ฟ..
หอยแมงภู่กาลิเซีย มาแบบถาดใหญ่มากกกกกกกกกกกกกก...
สี่คนรุมโซ้ยหอย 1 ถาด ยังไงก็ไม่หมดซะที..
อาหารหลัก ยังคงคอนเซปหอย สปาเกตตี้หอย
ดูแปลก ๆ เพราะจะหักเส้นมาเป็นท่อนสั้น ๆ กินง่ายดีค่ะ
ของหวาน โยเกิร์ตราดซอสสตรอเบอรี่ เบา ๆ เพราะแหลกไม่ไหวแล้ว
อาหารกาลิเซีย อร่อย ถูกปากกะเหรี่ยงอย่างอิฉันมากค่ะ อิฉันกินแล้วกินอีก เติมแล้วเติมอีก หอยสดหวานอร่อยสุด ๆ
ว่าด้วยเรื่องอาหารพื้นเมืองของแคว้นนี้ จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากสัตว์น้ำ และอาหารทะเล แต่มาร์ตินเล่าว่า มันจะมีปลาชนิดนึง ที่พิเศษมาก ๆ คนชอบก็จะชอบไปเลย แต่ถ้าไม่ชอบก็จะ อี๋แหวะ กินไม่ได้เลย เพราะปลาชนิดนี้มันจะมีกลิ่นเฉพาะตัว เนื่องจาก มันเป็นปลาที่ไม่ได้กินปลาเล็กกินพืชผักกินแพลงตอนอะไรบ้าน ๆ เหมือนปลาทั่วไป แต่พี่อุตริแดรกเลือดฮ่ะ ซดเลือดสัตว์ที่ลงไปลุยน้ำ ปลาชนิดนี้มันจะตัวยาว ๆ คล้ายงู มีฟันคมกริบ ไว้งับขาสัตว์ แล้วพี่ก็จะกัดไม่ปล่อย ดูดเลือดไปเรื่อย ๆ จนอิ่ม อิฉันว่ามันออกจะคล้าย ๆ ปลาไหลหรือเปล่าไม่รู้ แล้วพอเอามาลงหม้อ เลือดมันจะดำปิ๊ดปี๋ ก็ต้มเนื้อมันทั้งตัวกะเลือดของมันเอง คนกินก็จะเอาน้ำซุปปนเลือดปลานั่นแหละซดกิน
มาร์ตินถามว่าอยากจะลองกินดูไหม เค้าแนะนำร้านให้ได้นะ แต่ต้องไปกินเอง เพราะมันแพง และช่วงที่เราไปกันก็น่าจะมีให้กินอยู่ เพราะมันมีเป็นฤดูกาล พวกเราอาจจะชอบก็ได้ แต่มาร์ตินไม่กล้ากิน
เมื่ออิ่มหนำกันดีแล้ว เราก็ไปต่อ มาทางแถบเมอร์เซีย (Mercia)
มาแวะที่นึง จริง ๆ เป็นโบสถ์ อยู่มานานหลายร้อยปี เป็นโบสถ์ที่แสดงในหนัง The Way ด้วย (Virgen De Labrca) แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเหมือนถึงจุดจบของมันแล้ว อยู่ ๆ โบสถ์ก็โดนไฟไหม้จนเกือบวอด ขณะที่ยังรอบูรณะอยู่นั้น ดันเกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงมาซัดอีกรอบจนแทบไม่เหลืออะไรเลย ณ ขณะนี้ จึงปิดเอาไว้เฉย ๆ ล้อมเทปไม่ให้คนเข้า น่าเสียดายมากค่ะ แต่ยังไงซะ เราก็ไป ดูวิวรอบ ๆ โบสถ์ก็ได้วะ วิวสวยสุด ๆ ไปเลย
มุมนี้ดูดีสุด แต่เหลือแต่ผนังนะก๊ะ
พวกเราชอบที่นี่มาก ๆ สวยสุดๆ เสียดายมันต้องปีนป่ายหิน และลมแรงหนาวมาก ๆ หม่าม๊าเลยไม่ยอมลงมาดู
ดูเวื้งว้างเหมือนกันแฮะ
อันนี้ ขับรถต่อมาอีกนิดมันมีจุดให้แวะถ่ายรูป เฮียรีบลงไป โดยไม่ทันได้ใส่เสือหนาว หนาวยะเยือก อีกนิดเดียวตรูเกือบเป็นม่ายละ
ขากลับ เริ่มเหนื่อย พวกเราก็หลับกันบนรถ มาร์ตินปลุกบอกว่าแวะที่สุดท้ายละ
เป็นป่าและแม่น้ำที่คนแถวนี้นิยมมาตกปลากันมาก แต่ตอนที่ไปไม่มีใครมาตก มีแต่คู่รักมานั่งมุ้งมิ้งกัน
กลับมาจนถึงโรงแรมด้วยความอิ่มเอม แต่ไม่อิ่มพุง เมื่อส่งป๊าม๊าไป Siesta ที่โรงแรมแล้ว เราก็ออกมานั่งชิมชูโรสจิ้มช็อคโกแลตที่ร้านอาหารตรงข้ามโรงแรมกัน มาสเปนไม่กินชูโรส ถือเป็นบาปอย่างหนึ่ง
หลังอาหารเย็น (มื้อนี้ไม่ได้ถ่ายรูป เราไปกินกันทาปาสกันร้านเดิม) ป๊าม๊าเดินกลับห้อง อิฉันกะอาเฮียเดินย่อยอาหาร ตั้งใจว่าจะเดินไปถึงโบสถ์ซานเทียโกแล้วค่อยเดินกลับโรงแรม เราเดินกันในย่านเมืองเก่า ฟ้ามืดตื๋อ เดินผ่านตรอกซอกซอยเล็ก ๆ บนพื้นก้อนหิน อากาศหนาวยะเยือก
อยู่ ๆ เราก็ได้ยินเสียงกลอง ตึง ๆ ตึง ๆ ตึง ๆ เป็นจังหวะ เสียงแตรโหยหวน ฟังดูหลอน ๆ ก็เลยเดินไปดู
ปรากฎว่าเจอขบวนแห่ แต่งตัวเหมือนพวกคลู-คลัก-เคลน คลุมหัวคลุมตัว เดินช้า ๆ โยกตัวซ้ายขวาเป็นจังหวะเข้ากับเสียงกลอง ตึงๆ ตึงๆ ตึงๆ น่ากลัวมากๆ
ทั้งที่อากาศหนาวมาก บางคนเดินเท้าเปล่า
กลาง ๆ ขบวนจะมีการแบกรูปปั้นเท่าคนจริง ของพระแม่มารี
พิธีกรรมนี้ที่สเปนจะจัดกันช่วง Holy week หรือช่วงอีสเตอร์ ไม่รู้จะเรียกเป็นไทยว่ายังไงนะคะ แต่ภาษาอังกฤษเค้าเรียก Procession หรือสเปนเรียก Semana Santa อิฉันเคยได้ยินป๊าม๊าพูดถึงอยู่นานแล้ว เพราะป๊าม๊าอยู่ทางตอนใต้ของสเปน ซึ่งทางแถบนั้นจะอยู่กันเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ คนแก่เยอะ ก็จะค่อนข้างเคร่งศาสนากัน ป๊าม๊าเคยเล่าให้ฟังว่า เออ.. มันค่อนข้างน่ากลัวนะ ดูหลอน ๆ แต่อิฉันก็มิได้นำพา เพราะไม่เคยเห็น คราวนี้มาเจอเองขนลุกเลยฮ่ะ
พิธีนี้ จะจัดแบบตั้งขบวนกันที่โบสถ์ วนรอบเมืองแล้วไปจบที่โบสถ์ โดยคนที่จะไปร่วมเดินด้วยนี่จะมีการคัดเลือกกันอย่างเคร่งครัด ว่าจะต้องมาจากครอบครัวที่เคร่งศาสนา เป็นคนดี ในขบวนจะประกอบไปด้วย ทีมแรกเป็นพวกขบวนเครื่องดนตรี ตีกลองตึง ๆ ตึง ๆ ตึงๆ เป่าแตร และเครื่องดนตรีอื่น ๆ หลายสิบคน
ต่อมาก็จะเป็นพวกใส่ชุดหัวแหลม ๆ โผล่มาแต่ตาเหมือนพวกคลู-คลัค-แคลน ถือคบไฟ แต่ละภูมิภาคทั่วสเปนเค้าก็จะใส่สีต่าง ๆ กันไป ทีมที่อิฉันเห็นนี้ใส่ชุดสีม่วง แต่เท่าที่เสริชหาในเน็ต มีหลากสีสันมาก สีขาว สีแดงก็หลอนไม่เบา ซึ่งพวกนี้บางคนที่เคร่งมาก ๆ จะเดินถอดรองเท้ากันด้วย
ต่อมามีกลุ่มแม่ม่ายดำ อันนี้จริง ๆ ไม่รู้เรียกไร แต่หม่าม๊าเรียกงี้ คือจะเป็นกลุ่มผู้หญิง ทั้งสาวและไม่สาว แต่งชุดดำยาว คลุมผมด้วยลูกไม้ถักสีดำ เดินหน้าซึม หน้าถมึงทึงไม่ยิ้มไม่พูดเดินรวมกลุ่มไปกับขบวน
ถัดมาจะเป็นกลุ่มที่แบกแท่นรูปปั้นพระแม่ ซึ่งที่หาข้อมูลมา บางที่จะแบกพระเยซูด้วย บ้างก็แบกกางเขน ซึ่งขนาดนั้น จะเป็นขนาดเท่าคนจริง ซึ่งบางทีหนักกันเป็นตัน ๆ เลยทีเดียว รูปปั้นเหล่านี้จะเป็นของเก่าโบราณ ดังนั้น คนแบกต้องล่ำสันแข็งแรงกันพอดู และหากเมืองใดฝนตก รู้สึกว่าเค้าจะยกเลิกการเดินไปเลย ถึงแม้จะมีการเตรียมการมาเยอะแยะขนาดไหนก็ตาม
การเดินขบวนนี้ เค้าจะเดินกันถมึงทึงมาก ตั้งอกตั้งใจไม่มีใครเล่นหรือยิ้มหัวกันเด็ดขาด ดูแล้วเครียดมาก ประกอบกับเสียงกลองตึงๆ ตึง ๆ ตึง ๆ กระแทกหัวใจน่าดู
ที่มาที่ไปของการเดินนี้ เค้าทำช่วงอีสเตอร์ เนื่องจากเป็นช่วงที่พระเยซูคืนชีพ และที่มาเดินแบกอะไรต่อมิอะไรหนัก ๆ รวมทั้งการเดินเท้าเปล่านั้น เพราะจะทำเพื่อให้เข้าใจความรู้สึกของพระเยซูตอนที่ต้องเดินแบกกางเขนไปรอบเมืองนั่นเอง หลาย ๆ ที่จะแบกแต่รูปปั้นพระแม่ ก็เพราะจะแสดงถึงความรู้สึกเจ็บปวดของพระแม่มารีแม่ของพระเยซูที่สูญเสียลูกชายไป
(อิฉันรับฟังมาจากป๊าม๊านะคะ ไม่แน่ใจว่าถูกต้องทั้งหมดหรือเปล่า หากใครเห็นว่าข้อมูลที่อิฉันมีมันผิด รบกวนแจ้งด้วยเน้อ.. จะเป็นพระคุณมากๆ เลยค่ะ )
เผื่อใครสนใจอ่านเพิ่มเติม //en.wikipedia.org/wiki/Holy_Week_in_Spain
บล็อกถัดไป Castropol เมืองเล็กรายทางและฟาร์มเฮ้าส์แสนน่ารัก
Create Date : 20 กรกฎาคม 2557 |
Last Update : 13 กันยายน 2557 20:18:36 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1308 Pageviews. |
|
|