ลูกคือกระจกส่องพ่อแม่
ช่วงวันหยุดยาวเมื่อเร็วๆนี้ผมพาครอบครัวไปเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังจากชื่นชมมรดกวัฒนธรรมเมืองกรุงเก่าจนอิ่มใจเช้าวันรุ่งขึ้นผมถือโอกาสพาภรรยาและลูกๆแวะทำบุญสังฆทานที่วัดเก่าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก หลังจากเสร็จสิ้นพิธีกรรม พระสงฆ์ผู้รับถวายสังฆทานกล่าวให้ศีลให้พรแล้วพูดคุยกับพวกเราอย่างเป็นกันเอง ตอนหนึ่งของการคุยพระท่านบอกว่า ...พวกโยมพาลูกๆมาวัดตั้งแต่เด็กนี่ดีแล้วนะ ให้เด็กอยู่ใกล้ของเย็นเสียบ้าง เพราะข้างนอกมันร้อน มีของเผาตัวเด็กลวกตัวเด็กเยอะไปหมด... ...โยมจำๆไว้นะว่า เด็กๆแบบนี้ ลูกคือกระจกเงาสะท้อนพ่อแม่ได้ดีที่สุดถ้าลูกทำไม่ดี ไม่งามอะไร ก็จงรู้เสียว่านั่นคือสิ่งที่เราทำ เราเป็น อย่าไปโทษลูกตีลูกเลย ถ้าจะโทษ ควรจะโทษตัวเอง ตีตัวเองมากกว่า... ฟังพระเทศนาธรรมเชิงปรัชญาแบบนี้ผมอึ้งไปเลยครับ ระหว่างขับรถกลับกรุงเทพฯ ผมครุ่นคิดถึงแต่ประโยคที่ว่า ลูกคือกระจกส่องพ่อแม่ แน่นอนครับว่า ลูกแต่ละคนล้วนมีโครโมโซมหรือลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อและแม่ ดังนั้นลูกหน้าตาอย่างไรล้วนเป็นส่วนผสมจากพ่อและแม่จะเหมือนหรือคล้ายกับพ่อหรือแม่ มากน้อยเพียงใดก็แล้วแต่ลักษณะทางพันธุกรรม เจ้าตัวโครโมโซมนี่เองครับ หลายคนเชื่อว่ามันเป็นกรรมที่ถ่ายทอดต่อๆกันมาจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง เช่นคนมีโรคประจำตัวก็ถ่ายทอดกรรมสู่ลูกสู่หลาน เรื่องเหล่านี้ผมเคยอ่านเจอและได้ยินอยู่บ่อยๆ แต่ประเด็นเรื่องลูกเป็นกระจกสะท้อนพฤติกรรมของพ่อแม่นี่ บอกตรงๆว่า เพิ่งได้ยินจากพระเป็นครั้งแรกครับ ลองมอง และขบคิดไปถึงพฤติกรรมคนรอบข้างรวมถึง อุปนิสัยใจคอ การแสดงออกของ 2 ลิงทโมนน้อยประจำบ้านคงต้องยอมรับครับว่าสิ่งที่พระพูดนั้นเป็นความจริง อย่างเพื่อนผมคนหนึ่ง ปกติเป็นคนพูดคำสบถคำ การพูดภาษาพ่อขุน หรือคำด่าหยาบคายเป็นเรื่องธรรมดาของเขา จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ยินลูกสาวตัวน้อยๆวัย 3 ขวบเศษพูดกับพี่เลี้ยงด้วยน้ำเสียงตะคอกสั่งว่า กูหิวแล้วเอาขนมมาให้กูหน่อย... ไอ้ควาย กูหิวแล้วโว้ย เพื่อนผมได้ยินลูกสาวแสนน่ารักพูดคำหยาบเช่นนี้ถึงกับสะอึกนิ่งไปเลยครับเนื่องเพราะน้ำเสียง และภาษาที่ลูกสาวใช้นั้น จำลองเลียนแบบมาจากเขานั่นเองแม้ว่าเขาไม่เคยตะคอกสั่งคนรับใช้แบบลูก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่เคยพูดคำหยาบเหล่านี้ให้ลูกได้ยิน นับจากนั้นเป็นต้นมา เขาระมัดระวังในการพูดจามากขึ้นโดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกสาว หรืออย่างกรณีลูกศิษย์คนหนึ่งของผมเขาเป็นคนขี้อาย ไม่มั่นใจตนเอง พูดจาอะไรมักพูดเบาๆพร้อมทั้งก้มหน้า ก้มตาไม่สบตาผู้คน ชอบปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียว ไม่สุงสิงกับเพื่อนฝูง จนผมต้องขอพบพ่อแม่ของเขา ในวันนัดพบ ผู้เป็นพ่อของศิษย์มาถึงก็เอะอะโวยวายส่งเสียงดัง พยายามแสดงออกถึงอำนาจ คุยโอ้อวดว่ารู้จักคนใหญ่คนโตสนิทกับนักการเมืองคนนั้นนายทหารคนนี้ พยายามบอกว่าลูกไม่มีปัญหาอะไรในขณะที่ผู้เป็นแม่นั่งเงียบ มือบิดหน้าเช็ดหน้าไปมา ก้มตาก้มตาไม่ต่างจากลูกชาย ผมพยายามถามคนเป็นแม่เพราะอยากรู้ว่าเธอคิดว่าลูกมีปัญหาอะไรหรือไม่ แต่ไม่ทันที่เธอจะพูดจบประโยคคนเป็นพ่อชิงพูดแทน ...อาจารย์อยากรู้อะไรถามผมดีกว่าแม่มันไม่รู้เรื่องอะไรหรอก มันเรียนน้อย จบแค่ม.6 เอง แต่ผมจบเอ็มบีเอเลยนะครับลูกผมมันไม่มีอะไรหรอก มันสำออยแบบแม่มัน ผมอยากให้มันเก่งได้เสี้ยวหนึ่งของผมก็พอแต่มันเลือดแม่ สอนเท่าไหร่ก็โง่... หลังจากพบผู้ปกครองของศิษย์คนนี้ผมพออนุมานได้ว่า อุปนิสัยของเขาคงคล้ายกับแม่ ยิ่งอยู่ในบ้านที่พ่อบ้าอำนาจ ข่มทุกคนในบ้านเช่นนี้ทำให้เขาขาดความมั่นใจในตนเอง ไม่กล้าคบเพื่อน...น่าสงสารอย่างยิ่ง เอาละครับ...คราวนี้เป็นเรื่องครอบครัวผมเอง หลายๆครั้งที่ผมสังเกตเห็นลูกๆแสดงออกไม่ว่าจะเป็นการพูดจา หรือการกระทำ สะท้อนถึงพฤติกรรม อุปนิสัยใจคอของผมและภรรยาอย่างมิอาจปฏิเสธ แหะ..แหะ..หลายครั้งที่ดุด่าว่ากล่าวหรือตักเตือนลูก มันเหมือนกำลังดุว่าตัวเองอย่างไรไม่รู้สิครับ ยกตัวอย่างผมเป็นคนชอบนอนเหยียดยาวอ่านหนังสือ ลูกก็เลียนแบบไม่แตกต่างกันกับผมหรืออย่างดูนอนดูโทรทัศน์ลูกๆทำตามไม่ผิดเพี้ยน ยิ่งท่านอนไขว่ห้างกระดิกขานี่เป็นท่าประจำของแม่เขาเลยครับ หรือมีอยู่วันหนึ่งลูกคนเล็กวัย 5 ขวบเล่าให้ผมฟังว่าเขาไปทัศนศึกษากับครูที่สวนสัตว์เจอสัตว์แปลกประหลาดมากเขาพยายามอธิบายแต่ผมยิ่งฟังยิ่งงง เดาว่าเป็นสัตว์ตัวโน้น ตัวนี้ก็ไม่ใช่จนเจ้าหนูส่ายหน้า ทำหน้าเหมือนเอือมระอาสิ้นดี พลางพูดว่า ..อธิบายแบบนี้ทำไมไม่เข้าใจอีกปาป๊ามีสมาธิฟังหน่อยสิ... โหย...ทั้งน้ำเสียงทั้งประโยคคำพูดก๊อปปี้มาจากแม่ของเขาตอนสอนพี่ชายทำการบ้านเลยครับ ผมเชื่อว่าเด็กเล็กๆแทบทุกบ้านล้วนเรียนรู้จากการเลียนแบบคนรอบข้างของเขา พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตายาย หรือแม้แต่เลียบแบบการแสดงในโฆษณาโทรทัศน์ หรือในละคร ในการ์ตูนที่พวกเขาดู เหล่านี้ค่อยๆสั่งสมหล่อหลอมสร้างพฤติกรรมอุปนิสัยส่วนตัวทีละเล็กทีละน้อย ดังนั้นหากเราอยากให้ลูกเป็นแบบไหนพูดอย่างไร แสดงออกเช่นไร คงต้องเริ่มแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงที่ตัวเราผู้เป็นพ่อแม่ก่อน ....................................................................................................................................................................... บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Mother & Care ฉบับที่ 88 เดือน เมษายน 2555
Create Date : 28 กรกฎาคม 2557 |
Last Update : 28 กรกฎาคม 2557 8:43:15 น. |
|
0 comments
|
Counter : 4645 Pageviews. |
|
|