บทเรียนจากงานศพ
ช่วงเดือนก่อน ผมมีเหตุต้องไปร่วมพิธีศพอยู่หลายงานบางงานเป็นการจากไปของคุณพ่อเพื่อน บางงานเป็นความสูญเสียของครอบครัวคนรู้จักแต่งานที่ทำให้ผมสลดใจมากสุดคือ งานศพของเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยคนหนึ่งเขาจากไปอย่างกะทันหัน ทิ้งภรรยาและลูกน้อยวัยสองขวบเศษให้อยู่สู้โลกเพียงสองคน ในงานศพคืนนั้น น้องแดงคู่ชีวิตของเพื่อนผู้ล่วงลับเล่าให้ฟังทั้งน้ำตาว่า...หนูแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยตอนรับโทรศัพท์แจ้งข่าวว่าพี่เขาเสียจากอุบัติเหตุมันเกิดขึ้นเร็วมาก.. เธอหยุดสะอื้นไห้ก่อนพูดต่อ ตอนเช้าพี่เขาเพิ่งขับรถออกจากบ้านบอกว่าไปทำธุระแถวนครปฐม เย็นๆจะกลับมาพาหนูกับลูกไปทานข้าวนอกบ้าน แต่พี่เขาไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย... เมื่อพวกเรา ซึ่งเป็นเพื่อนผู้ตายถามถึงลูกสาวตัวน้อยของเธอน้องแดงตอบว่า...หนูไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดี มันมึนงงไปหมด มันช็อกมาก ตอนแรกหนูตั้งใจพาลูกมาวัดเหมือนกันอยากให้ลูกได้ลาพ่อเป็นครั้งสุดท้าย แต่ผู้หลักผู้ใหญ่เขาห้ามไว้ บอกไม่ให้พาเด็กมางานศพ... นั่นเป็นเหตุค้างคาใจผมอยู่นาน ระหว่างสวดพระอภิธรรมศพผมอดครุ่นคิดในประเด็นเหล่านี้ไม่ได้ว่า ควรให้เด็กซึ่งเป็นลูกหรือหลานของผู้เสียชีวิตมาร่วมงานศพหรือไม่... เมื่อลองย้อนมองตนเองว่า สมัยเด็กเคยไปร่วมงานศพบุคคลในครอบครัวไหมอืม...ผมจำได้แต่เพียงว่าไปร่วมงานศพตอนคุณตาหรือที่ผมเรียกว่า อากง เสีย ช่วงนั้นผมอายุได้สัก9-10ขวบแล้ว ความผูกพันกับอากง ผู้เลี้ยงดูใกล้ชิด สนิทสนมทำให้ผมร้องไห้โฮเมื่อทราบข่าวการจากไปของท่าน ซึมเศร้าไปชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อนจะสนุกสนานร่าเริงไปตามวัย แต่เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น สมัยคุณปู่เสีย ผมจำอะไรไม่ได้เลยแม้มีภาพถ่ายเป็นหลักฐานยืนยันว่าผมไปร่วมในพิธีฝังศพด้วยก็ตาม อาจเป็นเพราะตอนนั้นผมยังเล็กอายุเพียง2-3ขวบ คืนนั้น กลับจากงานศพผมรีบค้นข้อมูลงานวิจัยเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กเพราะอยากรู้ว่าในเชิงจิตวิทยาเด็กแล้ว สมควรพาเด็กไปร่วมพิธีศพบุคคลในครอบครัวหรือไม่ ผมพบว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาร่วมของพ่อแม่ผู้ปกครองทั่วโลกแต่การตัดสินใจสุดท้ายมักอิงกับวัฒนธรรมของแต่ละสังคมบางวัฒนธรรมเด็กเป็นส่วนหนึ่งของพิธีสำคัญเช่นนี้แต่บางวัฒนธรรมจะกันเด็กไม่ให้มายุ่งเกี่ยว หรือรับรู้ความเศร้าสลดของครอบครัว กล่าวอีกนัยหนึ่ง ประเด็นนี้ไม่สามารถชี้ชัดฟันธง ลงไปว่าอย่างไหมเหมาะสม ถูกต้องกว่ากัน อย่างไรก็ตามนักจิตวิทยาเด็กจำนวนมาก มีความเห็นสอดคล้องกันว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจถึงความหมายของคำว่า ตาย อย่างถ่องแท้เด็กเล็กๆเหล่านี้มักคิดว่าการตายคือ การไม่อยู่ร่วมกับเขา หรือหมายถึง การเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง ดังนั้นคำแนะนำของนักจิตวิทยาคือบอกเด็กเล็กเพียงแค่ว่า บุคคลในครอบครัวคนนั้นๆจากเราไปแล้ว ถ้าเด็กซักว่า ไปที่ไหนเราอาจตอบว่า ...ไปดินแดนไกลแสนไกล บนสวรรค์ชั้นฟ้าโน่นไง หากเด็กถามอีกว่าแล้วขึ้นเครื่องบินไปหาได้ไหม เราคงตอบได้เพียงว่า ดินแดนนี้ไกลกว่าเครื่องบินจะไปถึงแต่ไม่ต้องห่วง วันหนึ่งเราทุกคนก็ต้องไปยังดินแดนแห่งนั้น สำหรับเด็กโตนักจิตวิทยาแนะนำว่าควรอธิบายให้พวกเขารับรู้ว่า ความตาย เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความตาย เกิดขึ้นกับทุกคน เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้และความตายไม่ได้เรียงลำดับด้วยว่า คนอายุมากกว่าต้องตายก่อนคนอายุน้อย สำคัญคือเราจะเตรียมตัวก่อนตาย อย่างไรต่างหาก นั่นหมายถึง เราจะใช้เวลาในช่วงมีชีวิตให้เป็นประโยชน์ต่อครอบครัวต่อสังคมให้เต็มที่ได้อย่างไร นั่นคือการอยู่อย่างไม่ประมาท แต่การอธิบายถึงเรื่อง ความตาย กับลูกหลานตัวน้อยต้องค่อยเป็นค่อยไปนะครับต้องดูด้วยว่าเด็กสามารถรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่ไปพูดตอกย้ำจนทำให้เด็กวิตกกังวลประเภทตั้งคำถามซ้ำไป ซ้ำมาว่า ...ลองคิดดูสิ ถ้าตอนนี้พ่อกับแม่ตายไปลูกจะอยู่คนเดียวได้อย่างไร.. นั่นเกินไปครับ ดีไม่ดี คืนนั้นลูกอาจนอนร้องไห้ฝันร้าย จิตตก เพราะกลัวพ่อแม่ชิงตายหนีจากเขาไปก่อน เอาละครับ...ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองตัดสินพาเด็กโตไปร่วมพิธีศพบุคคลในครอบครัวสิ่งหนึ่งที่นักจิตวิทยาเตือนคือการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเด็กด้วยเพราะบางครั้งเด็กอาจเสียใจมากกับการสูญเสีย ผู้ใหญ่ไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพังควรอยู่ใกล้เด็กโดยเฉพาะช่วงพิธีฝังหรือเผาศพเพราะเป็นช่วงแห่งความสะเทือนใจยิ่งนัก นอกจากนั้นในช่วงพิธีศพต้องอย่าลืมว่าเด็กอาจอยู่ไม่นิ่ง โดยเฉพาะเด็กเล็กอาจวิ่งซุกซนไปมา จึงควรมีผู้ใหญ่ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดมิเช่นนั้นเด็กอาจพลัดหลง หรืออาจถูกล่อลวง หรือได้รับอันตราย จากสัตว์ร้ายในบริเวณใกล้เคียง ผมเคยอ่านข่าวเจอกรณีเด็กไปงานศพที่วัดแห่งหนึ่งกับพ่อแม่ระหว่างพระสวด เด็กหลบไปวิ่งเล่นแถวลานวัด ปรากฏว่าโชคร้ายเจอคนหลอกลวงไปฆ่าข่มขืน เราคงไม่อยากเห็นข่าวร้ายทำนองนี้เกิดซ้ำในงานศพอีกดังนั้นถ้าพาเด็กเล็กไปร่วมพิธีศพ นอกจากจะมีผู้ดูแลใกล้ชิดแล้วยังควรมีของเล่นหรือหากิจกรรมให้เด็กได้เพลิดเพลินด้วย บทเรียนจากงานศพเพื่อนในคืนนั้นทำให้ผมหวงแหนการใช้เวลาอยู่ร่วมกับครอบครัวมากขึ้น ทุกนาที ทุกชั่วโมงที่อยู่ร่วมกับภรรยาและลูกมีคุณค่ามากขึ้น ผมกอด หอมและบอกรักลูกเมียบ่อยมากขึ้น เพราะผมไม่รู้ว่า เมื่อไหร่เราจะจากกันไปสู่ดินแดนอันแสนไกล ....................................................................................................................................................................... บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Mother & Care ฉบับที่ 82 เดือน ตุลาคม 2554
Create Date : 26 มีนาคม 2557 |
Last Update : 26 มีนาคม 2557 9:43:07 น. |
|
1 comments
|
Counter : 2845 Pageviews. |
|
|
เด็กว่า ไปไกลโพ้นไม่กลับมาหาเราแล้ว
เด็ก ๆ จะได้เห็นเป็นเรื่องธรรมดาของการ เจ็บ แก่
ตาย