Group Blog
 
All Blogs
 
ชัยชนะอันแสนภูมิใจ..ถึงพ่ายแพ้ก็ไม่เป็นไร

สมัยเด็กผมไม่เคยเข้าร่วมประกวดแข่งขันอะไรเลยนอกจากการสอบวัดระดับวิชาความรู้ตามระดับขั้นปกติ จะมีอย่างมากก็ตอนสอบเข้าโรงเรียนใหม่เท่านั้นแหละครับที่ดูเป็นการแข่งขันครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต จำได้แม่นว่าทั้งตื่นเต้นและเครียดขนาดนอนไม่หลับอยู่หลายคืนแถมหลังสอบยังเก็บไปฝันร้ายอยู่นานทีเดียว

แต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่อย่างลูกชายผมการประกวดแข่งขันดูเป็นเรื่องปกติของพวกเขา

ส่วนหนึ่งคงเพราะโรงเรียนปลูกฝังเรื่อง“การกล้าแสดงออก”ตั้งแต่ระดับอนุบาลยกตัวอย่างเช่น ช่วงเช้า ตอนเข้าแถว คุณครูมักให้เด็กๆผลัดเวียนกันเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆไม่ว่าจะเป็นการออกมาหน้าแถวนำสวดมนต์ นำร้องเพลงชาติ ชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา หรือแม้กระทั่งขึ้นไปบนเวทีนำเพื่อนๆออกกำลังกายซึ่งดูไปเหมือนนำเพื่อนๆกระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะเพลงเสียมากกว่า หรือแม้กระทั่งช่วงการเรียนการสอนในห้องคุณครูมักจัดกิจกรรมให้เด็กๆต้องออกไปพูดนำเสนออยู่หน้าห้องเรียนเป็นประจำ

ไม่เพียงเท่านั้นนะครับทางโรงเรียนยังจัดการประกวดแข่งขันอยู่ทุกปี อย่างเช่นการแข่งขันกีฬาสีคุณครูเปิดโอกาสให้เด็กๆทุกคนเข้าร่วมการแข่งขันทั้งประเภทแข่งคนเดียว หรือประเภทแข่งขันกันเป็นหมู่คณะ

ผลการแข่งขันเป็นเรื่องรองครับ เพราะเด็กทุกคนต่างสนุกสนานและได้รับเหรียญรางวัลกลับมาอวดโชว์พ่อแม่ผู้ปกครอง แตกต่างกันบ้างว่า บางคนอาจได้เหรียญทอง บางคนได้เหรียญเงินหรือเหรียญทองแดง แต่เด็กๆเขาไม่สนใจอะไรหรอกครับ เพียงแค่ได้เหรียญรางวัลก็ยิ้มหน้าแป้นคุยโม้จนผลอยหลับไปในยามดึก

ด้วยเหตุเหล่านี้กระมังทำให้ลูกชายผมไม่กลัวการประกวดแข่งขัน แหะ..แหะ...แข่งทั้งที่รู้ว่าแพ้แน่นอนยังแข่งเลยครับ

อย่างครูดนตรีจัดกิจกรรมประกวดร้องเพลงเป็นประจำทุกปีเจ้า“สายน้ำ” ไม่เคยพลาดการแข่งขันเลยสักครั้ง ยกมือน้อยๆสมัครเข้าแข่งตั้งแต่ยังเรียนอยู่อนุบาล1 จนกระทั่งตอนนี้เรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่ 2 ไม่เคยผ่านรอบแรกเลยสักครั้งแต่เจ้าหนูไม่เห็นยี่หระ จนแม่ของเขาแซวว่า “สุดท้ายตอนป.6 คุณครูคงแจกรางวัลความพยายามยอดเยี่ยมให้แน่ๆ”พูดพลางหัวเราะ ขำกลิ้งกันไปทั้งแม่และลูก

แหม...จะผ่านรอบแรกได้อย่างไรละครับผมฟังเจ้าหนูร้องเพลง ทั้งเสียงเพี้ยน ทั้งร้องแบบไม่สนใจจังหวะ มิหน่ำซ้ำบางทียังลืมเนื้อร้องร้องแบบด้นสดอยู่เป็นประจำ

อืม..ช่างเป็นลูกไม้หล่นใต้ต้นเสียจริงๆ

พูดง่ายๆคือเจ้าหนูไม่มีพรสวรรค์หรือพรแสวงด้านดนตรี หรือเสียงเพลง คงคล้ายกับผู้เป็นพ่อแม่เขานั่นแหละครับดังนั้นผมและภรรยาไม่ได้ซีเรียจเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่ยังคงให้พวกเขาเรียนพิเศษด้านดนตรีหลังเลิกเรียนสัปดาห์ละครั้งเพียงเพื่อให้เด็กๆได้สนุกสนานกับบทเพลงและเสียงดนตรีที่คุณครูสอนไม่ได้มุ่งหวังเอาเป็นเอาตายให้เล่นดนตรีให้เก่ง

นอกจากดนตรีแล้ว ผมยังให้ลูกชายทั้งสองลองทำกิจกรรมหลากหลายทั้งกีฬาว่ายน้ำเตะฟุตบอล ตีแบดมินตัน วาดรูป ระบายสี ฯลฯ เนื่องเพราะอยากช่วยพวกเขาค้นหาความถนัดความสนใจ แต่ดูเหมือนกิจกรรมเหล่านี้บางอย่างพวกเขาแค่ทำได้แต่ไม่ได้ชอบอะไรมากมาย เล่นครั้งสองครั้ง..เลิก หรือกิจกรรมบางอย่างดูไม่มีแววเสียเลย

จนกระทั่งวันหนึ่งหญิงข้างกายผมพบว่าไม่ไกลจากบ้านพักมีโรงเรียนสอนประดิษฐ์หุ่นยนต์สำหรับเด็กจึงลองพาลูกชายคนโตไปทดลองเรียนปรากฏว่าเจ้าหนูชื่นชอบชนิดที่เรียกว่าคลั่งไคล้เลยครับ ทุกสัปดาห์เฝ้ารอเรียนการประดิษฐ์หุ่นยนต์เฝ้าอ้อนวอนผมและแฟนขอไปเรียนทุกอาทิตย์ ทุกวันหยุด

สำหรับ “สายน้ำ”เวลา 2-3ชั่วโมงในการเรียนต่อหุ่นยนต์หมดไปอย่างรวดเร็ว หลายครั้งเวลาไปรับกลับบ้านเจ้าหนูมักขอต่อเวลาในการประดิษฐ์โน่นต่อเติมนี่อยู่เป็นประจำ

แม้ผมเห็นว่าเขาชอบและพอมีแววในทักษะการต่อหุ่นยนต์อยู่บ้างแต่ไม่คิดว่าจะโดดเด่น เหนือกว่าเด็กอื่น จนเมื่อเร็วๆนี้โรงเรียนจัดประกวดประดิษฐ์หุ่นยนต์ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ โดยมีโจทย์ให้เด็กอายุไม่เกิน8 ขวบประกอบหุ่นยนต์เพื่อเลี้ยวหลบหลีกเครื่องกีดขวางแล้วตรงไปเก็บลูกปิงปอง และกระบอกท่อพีวีซี

แค่เห็นโจทย์ผมก็มึนแล้วละครับถามเจ้าหนูว่าเอาไง ลงสมัครแข่งขันไหม แน่นอนว่า คำตอบที่ได้รับคือ “ลงแข่งสิป๊า”เอ้า...แข่งก็แข่งครับ

หลังจากวันกรอกใบสมัครแข่งขันชีวิตของเจ้าหนูพลันหมกมุ่นคิดแต่การออกแบบหุ่นยนต์เพื่อใช้แข่งขัน เขาฝึกต่อหุ่นยนต์เซ็ทค่า ตั้งโปรแกรมหุ่นยนต์กับครูในโรงเรียนครั้งแล้ว ครั้งเล่า เดี๋ยวต่อเข้าเดี๋ยวถอดออก ซ้ำไปซ้ำมา

ผมเห็นความมุ่งมั่นของเจ้าหนูจนอดหวั่นใจไม่ได้ว่าถ้าพ่ายแพ้ในการแข่งขันแล้วเขาจะยอมรับได้หรือไม่

คืนก่อนแข่งผมคุยกับลูกว่า “พรุ่งนี้ถ้าแข่งแพ้จะรู้สึกอย่างไร”เขาอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนตอบว่า “แพ้ก็ไม่เป็นไร คราวหน้าแข่งใหม่ได้”พลันที่ได้ยินคำตอบ ผมดึงเจ้าหนูข้ามาสวมกอด พลางกระซิบข้างหูว่า“งั้น..พรุ่งนี้ลูกทำให้เต็มที่ สนุกกับการต่อหุ่นยนต์นะครับ”

วันรุ่งขึ้นผมและคู่ชีวิตพาลูกชายทั้งสองไปร่วมการแข่งขันที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดยเจ้าน้องชายคนเล็กขอตามมาเป็นกองเชียร์พี่ชาย

การแข่งขันจัดขึ้นภายในบริเวณยิมเนเซี่ยมของมหาวิทยาลัยผู้แข่งขันซึ่งนอกจากเด็กอายุไม่เกิน 8 ขวบแล้วยังมีการแข่งขันระดับเด็กโต ทั้งระดับประถมศึกษาตอนปลายและในระดับมัธยมศึกษาอีกด้วย

บ่ายวันแข่งขันผมจำต้องเดินทางไปสอนที่จังหวัดพิษณุโลกจึงได้แต่ส่งกำลังใจให้ลูกสนุกกับการแข่งขันอย่างเต็มที่

ระหว่างรอเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิผมโทรศัพท์สอบถามผลการแข่งขันกับภรรยา เพราะใจหนึ่งยังกังวลว่า ลูกอาจไม่ยอมรับความพ่ายแพ้แต่คำตอบที่ได้ทำให้ผมอึ้ง

“สายน้ำชนะเลิศการแข่งขัน”

หลังจากซักถามรายละเอียดการแข่งขันจึงทราบว่า หุ่นยนต์ของเจ้าหนูปฏิบัติภารกิจไม่สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่สามารถเก็บอุปกรณ์ได้ครบตามโจทย์แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งคนอื่นแล้วเขาทำได้ดีที่สุด เพราะหุ่นยนต์อื่นไม่สามารถหลบเครื่องกีดขวาง

หลังจากผู้เป็นแม่เล่าเหตุการณ์ให้ฟังผมบอกกับเจ้าหนูทางโทรศัพท์ว่า

“ป๊าภูมิใจในตัวลูก มันเป็นชัยชนะที่แสนภูมิใจครับ...”


.......................................................................................................................................................................
บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Mother & Care ฉบับที่ 87 เดือน มีนาคม 2555





Create Date : 02 กรกฎาคม 2557
Last Update : 2 กรกฎาคม 2557 9:23:28 น. 0 comments
Counter : 1001 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สายน้ำกับสายเมฆ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Locations of visitors to this page

Tracked by Histats.com
Friends' blogs
[Add สายน้ำกับสายเมฆ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.