|
เริ่มต้นที่หัวใจ ผู้เขียน : สิริมา อภิจาริน ผู้พิมพ์ : โพสต์บุ้ก (พ.ค. 58) 367 หน้า ราคา 295 บาท
โปรยปก...
ในวันที่ "ความรัก" เดินเข้ามาหา "รัก" ไม่ได้เลือกหรอกว่าเราเป็นใคร แค่ได้รัก...ก็เพียงพอแล้ว ................... ความรักเกิดขึ้นได้ตลอดเวลากับทุก ๆ คน บางครั้งเราอาจไม่รู้ว่า ความรักเกิดขึ้นเมื่อใด มารู้อีกทีก็รักไปแล้ว แต่กับบางคนอาจต้องใช้เวลาเพื่อบ่มเพาะความรัก ความรักไม่เคยเลือกเพศสภาพหรือเผ่าพันธุ์ บางครั้งจะทำให้ต้องเจ็บปวด แต่คนก็ยังไม่หมดศรัทธาใน "รัก" แม้อาจต้องยอมปล่อยวางและกอบกู้ขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม
(บางส่วน)จากคำนำ
"เริ่มต้นที่หัวใจ" ของ สิริมา อภิจาริน บอกเล่าหลายบทบาทของความรัก "รัก" ที่เกิดขึ้นและอยู่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ "รัก" ที่ต้องตามมาตรฐานและครรลองของสังคม "รัก" ที่เป็นการเสียสละ และ "รัก" ที่ให้ได้แม้ชีวิต
แม้บางครั้ง ความรู้สึกหวานปนขมจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน แต่หลาย ๆ คนก็ใช้ทั้งหัวใจแลกมา เราเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้า "รัก" และทำทุกอย่างที่ตั้งใจด้วยหัวใจแล้ว ไม่ว่าผลออกมาเป็นเช่นไร แค่ได้พยายามอย่างสุดใจ... ก็เพียงพอแล้ว
เล่าเรื่องย่อๆนิดนึงนะคะ
'เริ่มต้นที่หัวใจ' เป็นเรื่องราวความรักของหญิงสาวอารมณ์ไหวสองคน ที่ต่างก็มีบาดแผลในชีวิตที่แตกต่างกัน
มนตราเป็นเด็ก"บ้านแตก" พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่เธออายุเพียงเจ็ดขวบ แม่พามนตรากลับมาอยู่บ้านตากับยายและแต่งงานใหม่หลังจากนั้นไม่นาน แม่มีลูกกับพ่อเลี้ยง น้องชายของมนตราอีกหนึ่งคน ครอบครัวของเธอ...ของแม่กับพ่อเลี้ยงดูจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ดี ทุกคนมีความสุข แม่รักและตามใจมนตราทุกอย่าง พ่อเลี้ยงของเธอร่ำรวยและไม่มีท่าทีรังเกียจลูกเลี้ยงแม้แต่น้อย แต่มนตรากลับรู้สึกว่างเปล่าและต้องการการเติมเต็มอยู่เสมอ เธอแยกตัวเองออกมาอยู่ตามลำพังตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จนเรียนจบเธอก็ทำงาน เปลี่ยนงานไปเรื่อย ๆ เพราะยังหาที่เติมเต็มใจไม่ได้ กระทั่งล่าสุด มนตราก็มาสมัครงานใหม่ที่บริษัททัวร์แห่งหนึ่ง...เป็นทัวร์เพื่อการศึกษา และที่นี่ เธอก็ได้พบกับ'งาม'...
งาม... หญิงสาวมาดเฉี่ยวอารมณ์ดีที่มนตรารู้สึกปิ๊งตั้งแต่แรกเจอ... (เรื่องของงามมีที่มาจาก"มาลัยดอกหญ้า" ซึ่งเคยอ่านแล้วเมื่อหลายปีก่อน) มนตรากับงามมีวัยที่ใกล้เคียงกัน จบมาจากสถาบันเดียวกัน ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว แม้ในช่วงหลัง งามจะไม่ได้ทำงานที่เดียวกับมนตราแล้วเพราะมีงานอื่นที่มั่นคงกว่า แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเมื่องามย้ายไปอยู่ร่วมบ้านกับมนตรา
งามช่วยต่อเติมความพร่องในใจของมนตราให้เต็มตื้น ในขณะที่มนตราก็มีบางสิ่งบางอย่างที่เข้ามาชดเชยและเยียวยาหัวใจที่แตกร้าวของงามได้
นอกจากเรื่องราวของงามกับมนตราแล้ว ก็ยังมีเรื่องราวชีวิตของตัวละครสำคัญคนอื่น ๆ จากมาลัยดอกหญ้าอีกหลายคน... อย่างวจี...น้าจีของงามผู้ต้องเลิกลากับสามีที่รักและแต่งงานกันมาเนิ่นนาน... แต่ยังใช้ชีวิตโสด ๆ อย่างเข้มแข็งและรื่นรมย์ ทั้งยังคงมีสายสัมพันธ์ทีดี กับอดีตสามีที่กลายเป็นเพื่อนเก่ากันไปแล้ว น้าจีมีเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องอย่างศิลามาช่วยดูแลเรื่องต้นไม้ให้... เข้านอกออกในบ้านของวจีจนงามเข้าใจผิดคิดว่าเขามาปิ๊งน้าสาวของเธอ... เขาดูแลน้าจีแล้วเลยเผื่อแผ่มาช่วยเหลืองามหลายอย่าง
นิ้ง...หลานสาววัยรุ่นของงามที่ในที่สุดก็ได้พบหลักแหล่งที่จะวางตัววางใจตัวเองลงพักพิงได้เสียที
กระทั่งเรื่องราวของชาญ...ผู้ชายที่คนอ่านอย่างเรานึกรังเกียจมาตั้งแต่ตอนอ่านมาลัยดอกหญ้า... ก็ยังมามีบทบาทขับเคลื่อนเรื่องราวในเล่มนี้ด้วย และยังคงเหมือนเดิมทีความรู้สึกที่มีต่อเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป เขายังคงเป็นชาญ ผู้ชายลูกแหง่ มักง่าย เห็นแก่ตัวและไม่รักงามได้ดังเดิม...
(แต่อย่างน้อยก็มีเพิ่มเติมคือรู้สึกเข้าใจ และโล่งใจที่งามสามารถปลดปล่อยเขาออกจากใจได้สำเร็จ)
มีพระเอกค่ะ แต่บทบาทอาจจะน้อยไปสักหน่อย แต่ชีวิต ความคิดและความรักของเขาก็น่าสนใจไม่น้อย เขาสะดุดตาและประทับใจในตัวงามตั้งแต่แรกเจอ แต่เขาใจเย็นพอที่จะไม่รุกเร้า ไม่แสดงออก เพียงแต่คอยดูแล ช่วยเหลืองามอยู่ห่าง ๆ แม้งามจะเข้าใจผิดถึงความสัมพันธ์ของเขากับวจีเขาก็ไม่เร่งร้อนแก้ความเข้าใจผิดนั้น...
เป็นความเรียบเรื่อยที่สุขุมลุ่มลึก มีจุดมีมุมให้ครุ่นคิดคล้อยตาม
ชอบมากกกก... ชอบแนวการเล่าเรื่องที่เหมือนจะเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ แต่บอกเล่าถึงตัวละครแต่ละตัวได้ลึกซึ้งละเอียดลออ มีที่มาที่ไปสมเหตุสมผล สมจริง ตลอดถึงฉากและบรรยากาศเบื้องหลังของเรื่องราว ที่มีประเด็นทางสังคมและการเมืองแทรกแซมอยู่ประปราย
รวมทั้งแง่คิดมุมมองต่อชีวิตที่เรียบง่าย คมคาย
ขออนุญาตหยิบยกคำพูดของศิลามาปิดท้ายรีวิวนี้ก็แล้วกันค่ะ
"ชีวิตมันไม่เคยว่างเปล่า...มันมีอะไรๆให้เราค้นหาเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา บางทีอาจเป็นตัวเราเองที่ลืมให้เวลามองดูชีวิตของเราว่า จริงๆแล้วมันมีอะไรเยอะแยะ... บ่อยครั้ง คนเราสนใจสิ่งที่เราขาด จนลืมคิดถึงสิ่งที่เรามี มีแล้วเก้าอย่าง ขาดอย่างเดียว ก็เศร้าใจ ทุกข์ใจกับสิ่งเดียวที่มันขาด จนลืมเก้าอย่างที่มีอยู่แล้ว ขาดความชื่นชมในชีวิต"
|