'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)
~ บทสนทนาว่าด้วยเรื่อง "ความตาย" กับท่าน'เขมานันทะ' ~




บทสนทนาว่าด้วยเรื่อง "ความตาย" กับท่าน'เขมานันทะ'
จากคอลัมน์ Secret of Life
นิตยสาร Secret ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๘๖ , ๒๖ มกราคม ๒๕๕๕
เรียบเรียงโดย นภ





สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับแวดวงวรรณกรรม "เขมานันทะ"
หรือ อาจารย์โกวิท อเนกชัย คือศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์
(กวีนิพนธ์ บทความ นวนิยาย)
ประจำปีพุทธศักราช พ.ศ.๒๕๕๐

ท่านเป็นผู้เขียน “ลิงจอมโจก”, “จากดักแด้สู่ผีเสื้อ”, “ดวงตาแห่งชีวิต” ฯลฯ

ส่วนผู้ที่ชอบงานศิลปะ ท่านคือผู้ปั้นอวโลกิเตศวร ประติมากรรมชิ้นสำคัญที่สวนโมกข์
และในวันนี้ วันที่เวลาของชีวิตท่านล่วงเลยเข้าสู่เลข ๗๓
ท่านเขมานันทะได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากมาย และเคยเป็นอะไรมาหลายๆ อย่าง
พอๆ กับการ "เลิกเป็น" ใน "ปัจจุบัน"
ทว่าสิ่งที่มั่นคงอยู่ในตัวท่านไม่เคยเปลี่ยนคือ ความเรื่นเริงในธรรม ความเป็นครู
และการให้เกียรติกับทุกสรรพสิ่ง





ถาม :ด้วยอาการป่วยและอายุที่มากขึ้น อยากทราบว่าอาจารย์มองความตายอย่างไรบ้าง?
(เท่าที่ทราบอาจารย์จะใช้ชีวิตประจำวันเหมือนผู้ป่วย
แต่เป็นผู้ป่วยที่มีกำลังใจดี ถ้าลุกไหวก็อาจจะรับแขก อ่านและตรวจแก้ไขต้นฉบับหนังสือที่จะออกใหม่
ดูโทรทัศน์และเดินจงกรมอยู่เป็นกิจวัตร)


"ผมคิดว่าวาระแห่งความตาย ไม่น่าเป็นวาระที่เคร่งเครียดเกินไปนัก
เพราะถึงอย่างไรความตายก็มาเคาะประตูอยู่แล้ว
และความแก่เฒ่าก็เป็นสัญญาณที่ดี เพราะช่วยเตือนให้เราเร่งจัดการ
เรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำ และยังอยากทำอยู่ ก็จงทำ
ยกเว้นเรื่องที่เหลือกำลัง อย่างผมเองที่จริงชอบวาดรูป แต่ไม่มีโอกาสทำอย่างจริงจังสักที
เวลานี้ก็น่าจะเป็นเวลาที่วินิจฉัย หรือเฝ้าสังเกตในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น

ถ้าถามว่ากลัวตายไหม ผมตอบได้ว่า รู้สึกกลัวเล็กน้อยครับ คือกลัวเมื่อคิดขึ้นมา
สาเหตุที่กลัวเล็กน้อย เพราะผมอบรมตัวเองมาตั้งแต่ตอนบวช
สิบหกปีนับเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่ทำให้ผมเผชิญหน้ากับความตาย
เพราะพระสงฆ์ต้องปฏิบัติ พินิจพิเคราะห์ต่อความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดา
ไม่ว่าโลงศพหรือป่าช้าอย่างโดดเดี่ยวอยู่เสมอ

การพิจารณาให้ได้ดีคือต้องทำบ่อยๆ เหมือนกับการสวดมนต์
เมื่อทำบ่อย เรื่องยากก็จะง่ายเข้า ความตายก็อยู่ในเกณฑ์นี้
เมื่อเราคิดถึงเรื่องความตายบ่อยๆ แทนที่จะกลัวก็เกิดความคุ้นเคย"







ถาม : คนที่ศึกษาธรรมะ เมื่ออายุมากขึ้นก็อาจจะค่อยๆ ทำความสนิทสนมกับความตายได้
แต่สำหรับคนที่ไม่เคยสนใจธรรมะเลย แล้วเรารักเขาอยากให้เขาสนใจธรรมะจะต้องทำอย่างไรคะ?



"ที่เรามองด้วยความห่วงใยว่า เขาห่างไกลกับธรรมะนั้น ต้องถามว่า เรามองข้ามอะไรไปรึเปล่า?
เพราะลึกๆ แล้วเขาอาจจะรู้อะไรดีๆ เกินกว่าที่เราคิดก็ได้

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมจัดแสดงภาพวาดหาทุนช่วยมูลนิธิเด็ก
แต่หลังจบงาน ทางผู้จัดไม่คืนภาพที่เหลือให้ผม ในจำนวนนั้นมีภาพที่ผมรักมากรวมอยู่ด้วย
ในช่วงนั้นผมรู้สึกโกรธ แต่ไม่รู้ว่าจะถูกครอบงำด้วยความโกรธ
จึงได้เขียนจดหมายต่อว่าต่อขานตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น
แต่พอจะส่งไปรษณีย์ ผมมาถามตัวเองว่าทำถูกรึเปล่า เขาอาจมีความจำเป็นบางอย่างก็ได้
สุดท้ายจึงไม่ได้ส่งไป ซึ่งโชคดีมาก เพราะหลังจากนั้นหลายวัน
ผู้จัดการแกลเลอลี่ก็นำภาพมาคืนผม ผมมานึกขอบใจตัวเองที่ไม่ได้ส่งจดหมายฉบับนั้น
ถ้าผมยั้บยั้งชั่งใจไม่ทันในตอนนั้น ผมก็คงสูญเสียเพื่อนที่ดี
และข้อสำคัญคือ ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน กรณีนี้คือเขาสอนผมแล้ว

ย้อนกลับไปที่คำถาม หากเราปรารถนาดี
อยากให้คนอื่นที่เรารักเข้าใจธรรมะ ควรทำอย่างไร ?
ผมไม่สามารถให้คำตอบเดียวกับทุกคนได้ แต่อยากให้เราหันกลับมาถามตัวเองว่า
เรามองอะไรพลาดไปรึเปล่า และอย่าเพิ่งสรุปเร็วนัก
นี่คือ "สิ่งพื้นฐานของความเป็นมนุษย์"





ถาม : โดยส่วนตัวแล้ว อาจารย์คิดว่าอาจารย์ประสบความสำเร็จในชีวิตมากน้อยแค่ไหนคะ?

"ผมไม่รู้ตัวเองว่าประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ผมเพียงแต่ทดลองชีวิต
ลองผิดลองถูกไปตามเรื่องและก็ไม่ได้มีความสุขอะไร
เพราะผมไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อแสวงหาความสุข
แต่ผมมีสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากความสุข คือ ค ว า ม พึ ง พ อ ใ จ
ความพึงพอใจกับความสุขเป็นคนละตัวกัน


ผมเคยเห็นชาวสวนชาวนาทำงานหนัก ชีวิตแบบนั้นไม่ใช่ชีวิตที่มีความสุข แต่เขาก็พอใจ
ซึ่งตรงกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า “ฉันทะ”
รู้จักฉันทะแล้วก็ต้องรู้จักวิริยะด้วย
วิริยะมีรากศัพท์มาจากคำว่า "วีระ" วิริยะ คือ ความบากบั่น ขยัน
ต่อมา คือ จิตตะ คือมีความมุ่งมั่น มีเป้าหมายคือมีความหวังนั่นเอง
เพราะเมื่อเป้าหมายเกิด ความหวังก็เกิดด้วย
สุดท้ายคือมี วิมังสา หมายถึง การทบทวน ไตร่ตรอง ตรวจสอบชีวิตให้เกิดปัญญา
สี่ประการนี้เป็นหมวดธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่าเป็นเลิศ
รวมเรียกว่า อิทธิบาทสี่ ซึ่งเราจะเห็นพลังของธรรมบทนี้
แม้เพียงแค่ใช้ความคิดคิดเอาก็ตาม
เช่น ถ้าอยากอายุยืนก็ต้องรักชีวิตให้มากๆ (หัวเราะ)
ต้องขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเพื่อให้ร่างกายได้ออกกำลัง
ต้องมีความหวังอยากทำอะไรสักอย่างในชีวิต ไม่ใช่อยู่ลอยๆ
และสุดท้ายที่ผมทำมาตลอด คือใช้ชีวิตด้วยปัญญา
ทำนองเดียวกันกับนักบุญหรือนักพรตเต๋า ที่ยอมยากจนทางโลกเพื่อให้เจริญปัญญาได้ดีที่สุด"





ถาม : ทราบว่าอาจารย์ให้ความสำคัญในเรื่องที่เราควรมีต้นแบบของชีวิต
อย่างชีวิตช่วงเด็กๆ อาจารย์ก็จะมี “ป้าหมา” เป็นไอดอล
ขอให้อาจารย์เล่าเรื่องป้าหมาสักนิด?


"ป้าเป็นคนธรรมดาๆ ครับ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมจำไม่ลืม
คือป้าเป็น "ค น จ ริ ง" เสมอ เรื่องขี้โกรธ ปากร้ายนี่เป็นธรรมดาของคน
ยิ่งอายุมากขึ้นการควบคุมคำพูดก็ยิ่งน้อยลง
และสิ่งที่ผมไม่ลืมคือ ความเป็นคนใจเด็ดของป้า
ศูนย์กลางชีวิตตอนเด็กๆของผมอยู่ที่ป้า คล้ายกับป้าเป็นคนแนะนำให้ผมรู้จักโลก
ซึ่งไม่ใช่โลกที่สมบูรณ์แบบอะไร แต่เป็นโลกธรรมดาๆ ที่ทุกคนต้องเผชิญ ..

ป้าพาไปดูหนังตะลุงตอนกลางคืน ซึ่งสมัยนั้นโอกาสที่ชาวบ้านจะได้ดูหนังตะลุงมีไม่มาก
เพราะชาวไร่มีชีวิตที่เหน็ดเหนื่อย แต่ป้าก็ยังรู้จักแสวงหาความบันเทิง
ป้าสอนให้ผมรู้จัก "นกทึดทือ" ซึ่งจะร้อง ทึดทือๆ ดังจากยอดไม้ตอนกลางคืน
จะว่าน่ากลัวก็น่ากลัวมาก ทว่าแทนที่บรรยากาศจะทำให้ผมรู้สึกหวาดเสียว
ผมกลับรู้สึกอบอุ่น ป้าสอนทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า
ซึ่งเมื่อโตขึ้นเรียนชั้นมัธยม ผมจึงรู้ว่าป้าเข้าใจอะไรผิดตั้งเยอะแยะ
แต่เจตนาที่ดีของท่านนั้นลบล้างความอ่อนด้อยในข้อเท็จจริงได้หมดสิ้น
หมดสิ้น หมายความว่าเราให้อภัยได้หมด

ผมเชื่อว่า ความจริงที่เหนือจริง มีบทบาทต่อมนุษย์เราอย่างสำคัญ
เช่น การที่เด็กคนหนึ่งคิดว่าว่าแม่ตัวเองเก่งที่สุดหรือสวยที่สุด
นี่เป็นความจริงที่เหนือจริงใช่ไหมครับ?
สำหรับผม ป้าก็เป็นเช่นนั้น สามีของป้าเป็นพระธุดงค์
แต่หลังจากสึกก็ไม่เคยเข้าวัด ลุงบอกว่า วัดอยู่ที่ใจ จะไปเข้าทำไม
แต่ป้าไม่เป็นอย่างนั้น ป้าไปวัดทุกวันพระไม่เคยขาด วันที่ผมประทับใจที่สุดคือ
วันที่รู้ว่าป้าจะสิ้นบุญ ป้าสั่งลูกชายนิมนต์พระมา 9 รูป
เพื่อสวดชยันโตให้ พอสิ้นกระแสเสียงสวดมนต์ ป้าก็ดับ
ผมมองว่านี่เป็นความงามอย่างหนึ่งซึ่งสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์"






ถาม : จำเป็นไหมคะที่เด็กๆ ควรจะมีต้นแบบในการดำเนินชีวิต?

"จำเป็นครับ เพราะถ้าไม่มีต้นแบบเสียเลย
จิตใจจะไม่สามารถสถาปนาความรู้สึกรักหรือแหนหวงขึ้นมาได้
ถ้าเรารักใครไม่เป็นเลย ...รักเป็นในที่นี้หมายความว่าต้องไม่ทอดทิ้งให้เปล่าเปลี่ยว
ต้องไม่กระทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ ฯลฯ
ฟังเผินๆเหมือนจะเข้าใจได้ไม่ยาก
แต่ถ้าเราไม่เคยได้รับสิ่งเหล่านี้เลย เราจะทำไม่ได้"



ถาม : ถ้าครอบครัวและคนรอบข้างเป็นต้นแบบให้ไม่ได้ เรายังต้องถามหาต่อไปไหมคะ?

"เราคงเจอสักวันแน่ครับ นี่เป็นความหวัง .. ความหวังที่จะได้เจอคนดี
เป็นความดีอย่างหนึ่ง ซึ่งดีกว่าความหวังจะได้เจอคนร่ำรวยหรือผู้มีอิทธิพล
ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่เจอคนดี เว้นแต่ว่าเราสิ้นหวังแล้ว
เพราะถ้าสิ้นหวัง เราอาจมองข้ามอะไรไปหลายๆอย่าง
ที่เป็นสัญญาณของชีวิตที่ดี เช่น มิตรที่คบกันยืนยาว ความดื่มด่ำในความเป็นเพื่อน ฯลฯ
คุณค่าเหล่านี้เป็นสิ่งซ่อนเร้นครับ ต่อมาเมื่อมีปัญญาแก่กล้า เราจึงจะเข้าใจ
อีกอย่างสภาพแวดล้อมปัจจุบันนี้มีการแข่งดีกันทุกทิศทุกทาง
คนรุ่นใหม่ก็อาจเข้าใจสิ่งนี้ยากขึ้น"





ถาม : เป็นเพราะเราไม่รู้รึเปล่าคะว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ?


"แต่ก่อน คำถามประเภทเกิดมาเพื่ออะไร? นิพพานคืออะไร? ฯลฯ
เหล่านี้เป็นคำถามยอดเท่เลย ผมเองตั้งคำถามไว้มากมาย
แต่ถึงตอนนี้มันหายไปไหนหมดไม่รู้
ถ้าถามว่าอุดมการณ์ที่เคยอยู่กับผมมาเป็นสิบๆปี ทำไมจึงหายไปได้ ?
คือเราเลิกสนใจมันเท่านั้นเองครับ แต่แค่เลิกสนใจ มันก็หายไป
อุดมการณ์เป็นสแตนดาร์ดที่เราสร้างขึ้น แล้วพยายามบรรจุตัวเองลงในนั้น
ซึ่งเป็นการสร้างทุกข์ซ้อนทุกข์ขึ้นไปอีก

ผมว่าเราเพียง อยู่เฉยๆ วันต่อวัน และทำอะไรพอเพียงกับสิ่งที่ธรรมชาติเกื้อหนุน
จะดีกว่าพยายามถามตอบ เรื่องความคิด
ผมเชื่อว่า ชีวิตเองมีอุปการคุณพอเพียง ที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตไปได้อย่างพอสบายๆอยู่แล้ว
ไม่ต้องมัวไปตั้งคำถามอะไร คำตอบต่างๆจะพรั่งพรูออกมาเองเมื่อถึงเวลา

ดูอย่างนก สังเกตว่าเวลามีภัยพิบัติใหญ่หลวงเกิดขึ้น นกจะตื่นตัวก่อน
ซึ่งผมเชื่อมั่นว่ามนุษย์เรามีสัญชาตญาณนั้น
เพียงแต่ว่ามันสลบซบเซาอยู่ มัวแต่เพลิดเพลินอยู่
ความจริงง่ายๆของชีวิต เช่น เราทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องตายกลับถูกบดบังไว้
ดังนั้นจะมัวแข่งกันทำไม? อาการไหวอ่อนว่องไว (sensitivity) จึงไม่ได้แสดงตัว

การที่หลวงพ่อเทียนสอนให้ยกมือ(การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ)
ที่จริงคือการปลุกเร้ากลไกอัตโนมัติ เป็นการสร้างจังหวะให้เราจับสังเกต
(อาจารย์ยกมือวาดไปข้างตัวและหยุด)
ทุกครั้งที่ตรงกับจังหวะหยุดจะมีอะไรบางอย่างพรูพรายขึ้นมาในสมอง
สำหรับผม การหยุดมีความหมาย หยุดเหมือนโลกหยุดไปด้วย..
แม้มีความคิดวนเวียนอยู่ในหัว แต่เมื่อเราสัมผัสได้ถึง "การหยุด" .... "ความรู้สึกตัว" จะกลับมา
ซึ่งการสร้างจังหวะนี่เอง คือจุดที่หลวงพ่อเทียน เน้นมากที่สุด"





ถาม : การสร้างจังหวะอย่างนี้ช่วยให้เราติดตามความคิดของตัวเองได้ทันมากขึ้นใช่ไหมคะ?


"ความคิดเปรียบเหมือนคู่เต้นรำของเรา เต้นไปพร้อมกันก็จริง แต่ไม่ใช่ตัวเรา
เมื่อเรามีสติ ความคิดจะเกิดไม่ได้ แต่การไม่ได้คิดนานๆ จะส่งผลเสียต่อชีวิต
ดังนั้นเราต้องปล่อยวางให้คิดบ้าง เมื่อมีการงานก็ทำงานของเราไป
การจดจ่อในงาน ทำให้ความรู้สึกตัวเกิดขึ้น แบบนี้คิดได้
เพราะเท่ากับเราควบคุมคลองความคิดไว้เรียบร้อยแล้ว
แต่ส่วนที่ต้องระวังคือ ค ว า ม คิ ด ที่ เ ร า คิ ด โ ด ย ไ ม่ รู้ สึ ก ตั ว โดยเฉพาะเวลาโกรธหรือเกลียดนี่ เรามักจะคิดๆ โดยที่ไม่รู้สึกตัวเลย

และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ไม่ต้องไปตัดสิน
เพราะพอเราตัดสิน มันก็จะเป็นอีกความคิดหนึ่ง
ความคิดเรื่องการตัดสินที่ปรากฏตัวขึ้นจะบังความตื่นตัว ..
ตลอดเวลาเราถูกความคิดบดบังทุกช่วงทุกระยะไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม

เมื่อมนุษย์ใช้ความคิดเป็นตัวชี้ขาด มนุษย์ก็มักเอามาตรฐานด้านจริยธรรมเข้ามาจับ
ซึ่งอันที่จริงมาตรฐานนี้มีมาตั้งนานแล้ว ก่อนพระพุทธเจ้าจะประสูติเสียอีก
แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราพ้นทุกข์ และทันทีที่เอามาตรฐานนี้มาครอบ
เราก็จะตกอยู่ในอำนาจของความคิดทันที
ทั้งที่ธรรมชาติของความคิดเกิดขึ้นแล้วก็สลายไปเอง
เหมือนน้ำแข็งขั้วโลกที่สลายตัวด้วยอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น
เราไม่จำเป็นต้องกลับเข้าไปจัดการกับมัน
ปัญหาของคนเราอยู่ที่ความคิดนี้เอง เมื่อความคิดถูกจับตัวได้ เรื่องก็จบ!

แต่ตลอดมาเรามัก "ใ ช้ ค ว า ม คิ ด จั บ ค ว า ม คิ ด"
ขุดพลิกแผ่นดินเพื่อหาแผ่นดิน และพอเราเริ่มต้นคิดเท่านั้นแหละ
เรื่องเดิมก็จะกลับมาซ้ำๆ สิบปีผ่านไป ยี่สิบปีผ่านไป เราก็ยังก้าวไม่หลุดจากวงจรนี้
เพราะฉะนั้น ผู้รู้จึงแนะนำอุบาย ให้ "จับความรู้สึกตัว" ให้ได้ก่อน
เพราะความรู้สึกตัวมีอำนาจในการเข้าไป "แทน" ความคิด
ตราบใดที่เรารู้สึกตัว ความคิดก็เข้ามาไม่ได้
เหมือนเรานอนอยู่หน้าบ้าน
ตราบใดที่เรายังไม่หลับ ขโมยก็เข้าไม่ได้ครับ
แต่ถ้าเราเผลอหลับเพียงแวบเดียว ขโมยตัวร้ายก็จะจู่โจมเข้ามาทันที"





*บทความนี้ได้รับ share มาจากเฟสบุ้ก
ขออนุญาตคัดตัดตอนมาแบ่งปันไว้ตรงนี้ ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ









Create Date : 04 กรกฎาคม 2557
Last Update : 4 กรกฎาคม 2557 21:55:42 น. 5 comments
Counter : 3544 Pageviews.

 
คนไทยสมควรปรับแนวหลักของการใช้เหตุผล และความคิด จงตรองเถิดว่า สิ่งที่เข้ามาในสมองนั้น มีโอกาสเป็นไปได้ และอาจเป็นไปได้ ส่วนเรื่องเป็นไปไม่ได้ ไว้สักร้อยปีค่อยสรุปออกมาเช่นนั้น เพราะหากฟันธงว่า เป็นไปไม่ได้ก็จะไม่ต่อยอดใดๆกับเรื่องนั้น ทำให้ขาดการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้น สุดท้ายก็ต้องเป็นผู้เสพนวัตกรรมจากหมู่ชนอื่นมาเรื่อยไป

การที่มนุษย์ส่วนใหญ่เขากล่าวด้วยความกตัญญูว่า มนุษย์กำลังเดินทางไปหาพระเจ้าของเขานั้น ตายไปแล้วจะได้พบพระเจ้าตามสัญญา แน่นอน เป็นไปได้ หรือ อาจเป็นไปได้ แล้วอย่างนี้ จะรีบเนรคุณต่อผู้มีพระคุณที่สุดที่จะเปิดเผยตัวตนในวันภาคหน้ากันอยู่หรือไม่ล่ะ

กตัญญูไปพลางก็ยังจะเยี่ยมกว่าเนรคุณปิดกั้นการกตัญญูใช่มั้ย


โดย: อาจเป็นไปได้ IP: 124.120.144.145 วันที่: 5 กรกฎาคม 2557 เวลา:5:02:43 น.  

 
เป็นบทความที่ดี น่าอ่านมากเลยค่ะ
ท่านเขมานันทะ มีเพื่อนบล็อคเอามาลงประกอบภาพบ่อยๆ
แต่ไม่เคยเห็นภาพท่านเลย

ขอบคุณมากๆค่า



โดย: lovereason วันที่: 5 กรกฎาคม 2557 เวลา:23:13:32 น.  

 
จริงที่ว่าเราวาดหวังขึ้นมา แล้วก็ด้นดั้นไปคว้าสิ่งที่ใจอยาก ความสำเร็จทำให้ตัวตนของคนใหญ่ขึ้น เราจะผ่านชีวิตแบบง่ายๆเช่นที่ท่านอาจารย์ว่าได้ยากเต็มที


โดย: krish chaiyasate IP: 49.230.130.138 วันที่: 2 มิถุนายน 2558 เวลา:21:13:20 น.  

 
จริงที่ว่าเราวาดหวังขึ้นมา แล้วก็ด้นดั้นไปคว้าสิ่งที่ใจอยาก ความสำเร็จทำให้ตัวตนของคนใหญ่ขึ้น เราจะผ่านชีวิตแบบง่ายๆเช่นที่ท่านอาจารย์ว่าได้ยากเต็มที


โดย: krish chaiyasate IP: 49.230.130.138 วันที่: 2 มิถุนายน 2558 เวลา:21:13:31 น.  

 
เป็นเหมือนอีกหนึ่งความรู้สึกตัว
ที่ท่านฯ ได้ถ่ายทอดให้ฟัง
โมทนาสาธุการ แด่ ท่านเขมา นันทะ
ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง
สาธุ....สาธุ....สาธุ


โดย: I 209 IP: 1.46.44.178 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2558 เวลา:9:12:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.