05-04-15 Bottom Line

ศราวุธ สุ with Wassana Su and 2others.

April 5, 2015

Bottom Line

บรรทัดสุดท้ายของบทสรุปผลการดำเนินงานเป็นผลลัพท์ที่ผู้บริหารต้องรับผิดชอบและผลลัพท์ที่ได้นั้นจะต้องเอาไปเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเสมอ

เป้าหมายมีขาดทุน มีกำไร มีเท่าทุน มีขาดทุนหรือ อื่นๆ นอกเหนือจากผลกำไรขาดทุนก็มีเพิ่มได้

A : ตั้งแต่บรรทัดแรกที่เป็นรายได้ซึ่งอาจเกิดจากการขาย การบริการ หรืออื่นๆ

B : บรรทัดต่อมาเป็นต้นทุนทางตรงที่เกิดจากรายได้ที่เกิดขึ้น

C = A - B : ต่อมาคือกำไรหรือขาดทุนขั้นต้นตรงส่วนนี้หากแยกกิจกรรมออกเป็นส่วนย่อยๆ แยกเป็นเรื่องๆสรุปผลการดำเนินงานขั้นต้นเป็นส่วนย่อย ( Segment ) เราก็จะมองเห็นผลตอบแทนที่ได้จากกิจกรรมต่างๆได้อย่างชัดเจน

กิจกรรมบางอย่างอาจมีกำไรมากบางอย่างอาจมีกำไรน้อย บางเรื่องขาดทุนบ้าง และบางเรื่องขาดทุนมากแต่ผลขาดทุนในบางเรื่องไม่ใช่บทสรุปสำหรับการวัดความสามารถในการบริหารเพราะบางเรื่องที่เรายอมรับผลขาดทุนนั้นมันอาจจะช่วยให้กิจการลดค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้มากกว่าหากไม่ทำกิจกรรมนั้นก็ได้

D : บรรทัดต่อมาเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารทั่วไปส่วนนี้ส่วนมากจะเป็นค่าใช้จ่ายประจำ เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้และเป็นส่วนที่ลดค่าใช้จ่ายได้ยากมากที่สุดเป็นส่วนที่มีอิทธิพลต่อกิจการสูงที่สุด(แล้วทำไมเราไม่วัดผลตอบแทนจากส่วนนี้หากต้องการให้ทุกกิจกรรมขององค์กรต้องทำกำไร)

E = C - D : บรรทัดต่อมาเป็นผลกำไรขาดทุนจากการดำเนินงานตรงนี้เป็นจุดที่วัดประสิทธิภาพขององค์กรว่าสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้หรือไม่เป็นจุดที่วัดความสามารถของผู้บริหารว่ามีความสามารถเพียงพอต่อการเป็นผู้นำในองค์กรมากน้อยเพียงใดและตรงจุดนี้เป็นจุดที่ชี้วัดว่าผู้บริหารสมควรจะได้รับความเห็นชอบให้ #ไปต่อหรือไม่

F : บรรทัดต่อมาคือรายการสุทธิทางการเงินต่างๆซึ่งมีทั้งรายได้ทางการเงิน รายจ่ายทางการเงิน และรายการอื่นๆทางการเงินที่ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการดำเนินการในอดีตแล้วมีภาระที่ต้องจัดการบริหารในปัจจุบันให้กิจการมีสภาพคล่องเพียงพอมีความมั่นคงทางการเงิน ฯลฯ ส่วนนี้มักจะเป็นความรับผิดชอบของ CFO มากกว่าCEO แต่ถึงอย่างไร CEO ก็ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้อยู่ดี

G = E - F : บรรทัดต่อมาคือกำไรขาดทุนก่อนรายการพิเศษซึ่งถือเป็นผลประกอบการปกติที่ควรจะเป็นหากไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น

H : คือรายการพิเศษซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นตามปกติ และต้องไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นถ้ามีรายได้หรือค่าใช้จ่ายที่พิเศษเกิดขึ้นก็ต้องแยกออกให้เห็นเป็นส่วนๆ ไปจะมาบันทึกรวมกับค่าใช้จ่ายหรือรายได้ตามปกติไม่ได้ไม่อย่างนั้นจะทำให้ผลการดำเนินงานถูกตีความผิดไป

I = G - H : บรรทัดต่อมาคือกำไรขาดทุนก่อนภาษีที่ต้องเอาไปคำนวณภาษีแต่ต้องเอาไปปรับปรุงรายการต้องห้ามที่เป็นเงื่อนไขของการคำนวณภาษีก่อนเรื่องนี้เป็นเรื่องยากๆ ที่ขอไม่อธิบายตรงนี้

J : บรรทัดต่อมาคือภาษีที่ต้องจ่ายถ้าเป็นบริษัทก็ต้องมีภาษีต้องจ่ายหากมีกำไรแต่บางกิจการอาจจะไม่ต้องเสียภาษีก็ได้หากมีสิทธิประโยชน์ที่ได้รับยกเว้นภาษีจาก BOIส่วนการบริหารราชการแผ่นดินไม่มีเรื่องภาษีส่วนนี้

K = I - J : บรรทัดสุดท้าย ตรงที่เราได้ยินกันบ่อยๆว่า Bottom Line ตรงนี้แหละที่เป็นบทสรุปความสามารถของผู้บริหารจริงๆซึ่งต้องเอาไปเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ เช่น ถ้าตั้งเป้าว่าจะกำไร 100แต่ได้จริงน้อยกว่า 100 ก็ต้องไปดูว่ามีรายการพิเศษใดๆที่ไม่ควรเอามารวมคิดเพื่อการประเมินผลบ้าง

มันไม่ใช่เรื่อง คิดกันง่ายๆ ชุ่ยๆที่จะเอาเรื่องบางเรื่องมาตัดสินผู้บริหารที่เขาไม่ได้รับผิดชอบแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งแต่เขารับผิดชอบที่ Bottom Line ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมมากมาย

ยิ่งผู้บริหารในระบบการเมืองด้วยแล้วการตัดสินด้วยวิธีการทางบัญชี หรือทางการเงิน แต่ไม่เอาเรื่องทางเศรษฐศาสตร์ทางสังคม ทางการบริหารอื่นๆ มาร่วมพิจารณาด้วยเป็นเรื่องการตัดสินที่ชุ่ยที่สุด

------------------------------------------------------------------------

ในฐานะที่ผมเป็นคนรวบรวมผลการดำเนินงาน //ในฐานะที่เป็นคนสรุปตัวเลขเพื่อวัดผลการปฏิบัติงานของฝ่ายบริหาร //ในฐานะที่เป็นตัวแทนของเจ้าของกิจการเพื่อตรวจสอบ เพื่อควบคุมเพื่อให้คำปรึกษาแนะนำฝ่ายบริหาร ----> ผมบอกได้เลยว่าวิชาบัญชี และวิชาการเงิน#ไม่ใช่เครื่องมือที่ดีที่สุด ที่จะใช้ตัดสินผู้บริหาร

ด้วยความเคารพ

ศราวุธ สุ

Create Date : 05 เมษายน 2559
Last Update : 8 เมษายน 2559 11:08:38 น.		1 comments
Counter : 307 Pageviews.
Share Tweet