Somebody's me... Nobody's know.. You are what you thinks.. and.. I am who i am.. Whatever will be, will be..
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2559
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
27 พฤศจิกายน 2559
 
All Blogs
 
ตามรักแดนตะวัน (อัมฮารา) ตอนที่ 13





บทที่ 13

                เสียงเชียร์ดังสนั่นในร้านอาหารขนาดเล็กที่ดูภายนอกคล้ายค็อฟฟี่ช็อปเพราะกระจกสีชาด้านในค่อนข้างสลัวทำให้ภูบดีเกือบเดินผ่านไปไม่สนใจ แต่เสียงผู้หญิงร้องเพลงสำเนียงคุ้นหูทำให้ภูบดีหยุดยืนมองดวงตาคมชะเง้อมองเข้าไปภายในแล้วตัดสินใจถอยกลับเข้าไปภายใน

ภูบดีแหวกวงล้อมเข้าไปหาต้นเสียงใจก็ฉุกคิด เพราะทำนองเพลงคุ้นเคยเหมือนเคยได้ยินบ่อย ๆ มันบังเอิญเกินไปที่เป็นเสียงรอสายเพลงฝรั่งเพลงเดียวกับที่เขาใช้อยู่แถมเสียงคนร้องยิ่งคุ้นหนักกว่า

            “เฮ้ย! ยายบ้าเอ้ย

นึกไว้ไม่มีผิด

ภูบดีถึงกับสบถ แหวกวงล้อมเข้าไปตะลึงยืนจังก้า ผิดจากที่คิดเสียที่ไหนเสียงที่ได้ยินจะเป็นใครไปได้นอกจากยายตัวยุ่งที่ทำให้เขาหัวปั่นเขาตะคอกทันทีที่เข้าประชิดเค้นเสียงรอดไรฟันถามคนทำท่าประหลาดยกสองมือทำท่าจีบค้างเหมือนนางรำแต่หาได้มีความอ่อนช้อยสักนิด

“มาแล้วหรือ... นายพี” ธารวารียิ้มกว้างตาปรอย เสียงยานคาง “ฉันรอตั้งนานแล้ว”

            “มาทำท่าบ้าบออะไรตรงนี้

ภูบดีคว้าแขนหล่อนเข้าใกล้แล้วกระซิบเมื่อเห็นหนุ่มผิวเข้มหลายคนลุกยืนคุมเชิงแต่ยังรีรออยู่

“ฉันกำลังสนุกอยู่ไง”หล่อนตอบคลายมือจากท่าจีบมาหยิกแก้มเขาเบาๆ

            “จะทำบ้าอะไรของคุณ

            “ฉันกำลังเผยแพร่วัฒนธรรมไทย”

             “แล้วมาหยิกแก้มผม” ภูบดีเค้นเสียง สีหน้าหงุดหงิด “เสียภาพพจน์คนไทยหมด”

            “ก็นายออกจะน่ารัก แก้มก็น่าหยิกขนาดนี้”

เสียงหล่อนยานคางโดยเฉพาะคำสุดท้ายทั้งเขย่งกระซิบตอบยืนตัวแทบไม่ตรงเอนหัวซบไหล่เขาแล้วหัวเราะตาปรือเหมือนคนเมาแต่กลับไม่มีกลิ่นเหล้า

“ทำแบบนี้มิน่า...”

“มิน่าอะไรค้า” หล่อนถามกลับลากเสียงสูงหัวเราะร่วน

ภูบดีขยับถอยห่างแต่ยังประคองหล่อนเริ่มสงสัยท่าทีที่ดูแปลกไป

“มิน่าวัฒนธรรมไทยถึงได้วิบัตินะสิ ไปได้แล้วเราต้องกลับไปพัก พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้าผมหารถพร้อมไกด์ท้องถิ่นได้แล้ว เราจะไปชายแดนจิบูติกัน”

“จริงนะ! เก่งมากเลยนายภู”

ธารวารีตั้งท่าจะเข้ามากอด ภูบดีถึงกับผงะก่อนจะลากแขนหญิงสาวถูลู่ถูกังจะพาไปให้พ้นจากกลุ่มชายหญิงที่กรูกันเข้ามารุมล้อมดูหล่อนสะบัดข้อมือพรืด พร้อมกับยิ้มกว้าง

“กำลังสนุกอยู่เลยขออีกแป๊บนึงนะ”

“ไม่ได้! นี่ใครเอาแชตให้คุณกินใช่ไหม ธารวารี

ชายหนุ่มตะคอกเรียกชื่อเต็มหล่อนเหมือนเรียกสติ ดวงตาคมจ้องเหมือนต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้ แต่หญิงสาวยังคงหัวเราะสนุกสนาน ผิดปกติจริง ๆ อย่างที่คิด แล้วก็มีเสียงตอบรับจากด้านหลังเป็นชายหนุ่มผิวเข้มร่างสูง

“ขอโทษทีดูเหมือนเธอจะอยากลองรสชาติของแชต ผมเลยให้เธอเคี้ยวแค่สองใบผลออกมาเป็นอย่างที่เห็น ดูท่าทางเธอจะแพ้ ผมก็เลยรออยู่ว่าถ้าฤทธิ์แชตหมดเมื่อไหร่จะพาเธอส่งที่พัก”

ชายหนุ่มผิวเข้มรูปร่างกำยำแต่ท่าทางดูเป็นมิตรทำให้ภูบดีประเมินรูปการณ์แล้วลอบถอนใจ แต่ไม่วายส่งสายตาตำหนิเปิดเผย

“คุณก็เลยให้เธอทำท่าทางเหมือนตัวตลกให้พวกคุณหัวเราะเยาะเล่นสินะ”

“เปล่า ผมจะไปส่งเธอที่พักแต่เธอไม่ยอมท่าเดียวบอกนัดเพื่อนไว้ที่นี่ เธอจะต้องรอตรงนี้เดี๋ยวเพื่อนจะตามหาเธอไม่เจอ”

เขายักไหล่ดูธรรมดาไม่มีท่าทีหาเรื่องหรือจงใจยียวน ภูบดีถึงกับอึ้งเสียงอ่อนลง เพราะเขาเองก็ผิดที่ทำให้หล่อนต้องรอตั้งแต่แรก

“ผมคือเพื่อนของเธองั้นผมขอพาเธอกลับเลย ขอบคุณมากๆ นะครับ”

หนุ่มผิวเข้มพยักหน้ายิ้มบางเปิดทางให้ภูบดีหิ้วปีกคนเมาออกไปหล่อนหันไปโบกไม้โบกมือร่ำลาให้หนุ่มเลี้ยงไฮยีนาก่อนจะเดินคอพับคออ่อนไป

ภูบดีโอบรอบเอวธารวารีอีกมือประคองแขนหล่อนให้พาดบ่าท่าทางทุลักทุเล กลัวหล่อนจะหกล้มหกลุกตามถนนลาดเอียงขรุขระและค่อนข้างมืด แต่พอพ้นโค้งถนนตกที่เป็นทางลาดเอียงไปสู่หมู่บ้านล่างก่อนถึงที่พัก ภูบดีถึงกับสะดุ้งเมื่อโดนศอกแหลมซัดเข้าที่ท้อง

“ปล่อยได้แล้ว” หล่อนเด้งตัวออกห่าง “รัดซะแน่นเลย หายใจแทบไม่ออก”

ชายหนุ่มถึงกับงงผละออกห่างร่างบอบบางที่ยืนหน้าง้ำกอดอก

“อ้าว! นี่ไม่ได้เมาหรอกหรือ” ภูบดียื่นหน้าเข้าหามองอย่างพินิจ “ออกร้านมาปุ๊บเหมือนปิดสวิตช์ หายเป็นนางรำเลย”

“หายตั้งนานแล้ว เพราะนายคนเดียวเลยให้ฉันรอไม่บอกกันสักคำว่าจะไปที่ไหนฉันรอนายจนเกือบมีเรื่องดีที่คนเลี้ยงไฮยีนาช่วยไว้”

“แล้วทำไมคุณไม่กลับโรงแรมไปก่อนล่ะผมก็ตามหาคุณซะทั่ว แต่หาไม่เจอ”

“ก็ฉันลืมว่าโรงแรมชื่ออะไร จะกลับก็บอกคนส่งไม่ถูกว่าอยู่ที่ไหน”

หล่อนตอบหน้าเบ้หนุ่มเซอร์ถึงกับถอนหายใจส่ายหน้าหมดคำพูดได้แต่เดินนำไปปล่อยให้หล่อนเดิมตามบ่นกระปอดกระแปดไปตลอดทาง

“อย่าโกรธเลยน่าเรื่องนิดเดียวเอง”

“นิดเดียวบ้านคุณสิ” ภูบดีเสียงเขียว “คราวหน้าหัดจดจำรายละเอียดบ้างอย่าให้ต้องเป็นห่วงมากได้ไหม ถ้าผมไม่มาด้วยจะทำยังไง”

“ก็... ฉัน” หล่อนเงียบไปแล้วเงยหน้ามอง “เพราะฉันรู้ว่ามีนายมาด้วยไงยังไงนายก็ต้องหาฉันเจอ นายไม่ทิ้งฉันหรอก”

พูดจบหล่อนก็หลบตาท่าทางประดักประเดิดเดินนำไปก่อน ภูบดียิ้มกว้างความเคืองขุ่นหายไปแทบปลิดทิ้งเมื่อเจอยาหอมของหล่อนเข้าไป

เขาควรจะดีใจใช่ไหมที่ได้รับความสำคัญมีตัวตนไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่สายตาของหล่อนจะมีไว้เพื่อรุจิภพพี่ชายคนเดียวของเขา คนที่ดีพร้อมทุกอย่างและแสนดีเกินกว่าที่เขาจะเป็นได้

ภูบดีมองตามร่างบอบบางที่นำไปเกือบช่วงตึกแล้วยิ้มบางๆ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อสังเกตเห็นเงาทอดยาวของใครบางคนแวบผ่านเข้ามาที่ปลายหางตาแล้ววูบหายไปอย่างรวดเร็ว พอหันไปมองกลับพบเพียงความว่างเปล่า สังหรณ์ใจแปลกๆ รีบวิ่งขึ้นไปเดินเคียงคู่ธารวารี ที่โวยวายทันทีที่เขาแกล้งโอบเอวหล่อนท่าทางสนิทสนมหนุ่มสาวเดินเคียงกันไป ทั้งคุย ทะเลาะและบางครั้งเหมือนดูสนิทสนมกันมากกว่าความเป็นเพื่อนร่วมทาง

เขาไม่ได้บอกหล่อนว่าเห็นชายชุดดำเดินตามมาตลอดทาง ทีแรกแค่ความรู้สึกบ่งบอก แต่เมื่อสังเกตดูดีๆ จากที่ทำเป็นไม่สนใจคิดว่าไม่มีอะไรคงไม่ใช่เสียแล้ว เพราะก่อนเข้าห้องพักเขายังเห็นชายคนนั้นตามมาแต่พอเหลียวไปมองกลับไม่พบ

ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมยาวสีดำโพกผ้าคลุมหน้ามิดชิดโผล่ออกจากมุมมืด มองตามสองหนุ่มสาวลับหายเข้าไปในห้องด้วยกัน


ดวงหน้าเริ่มครึ้มไรหนวดดูเคร่งเครียดจนธารวารีแปลกใจตั้งแต่เข้าห้องพักมาเขาไม่พูดไม่จาแถมมองออกไปนอกหน้าต่างดูระแวงระวังจนหล่อนอดคิดไม่ได้ว่านายพีคนจรดูแปลกไป

“มีอะไรรึเปล่านายดูเครียดๆ นะ”

ภูบดีรู้สึกตัวรีบปิดผ้าม่านสนิทแล้วหันมาสบตาหล่อน “ไม่มีอะไรผมคงคิดไปเอง”

ไม่ได้คลายความสงสัยให้หล่อนสักนิดเพราะคำพูดกำกวมแบบนั้น

ธารวารีนั่งลงบนเตียงรื้อกระเป๋าเป้เตรียมอาบน้ำล้างเนื้อตัวหล่อนไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ที่ต้องมาพักห้องเดียวกับเขา แต่ยังดีที่มีสองเตียง ถ้าเกิดชายหนุ่มคิดจะทำรุ่มร่ามหล่อนก็ยังมีบางสิ่งที่พกติดตัวมาด้วยระหว่างรอเมื่อตอนค่ำ

มีดพับได้ขนาดสั้นถึงจะไม่ได้ช่วยอะไรมากแต่คงพอขู่ให้กลัวได้ คิดแล้วหล่อนก็พรูลมหายใจอึดอัดเกินบรรยาย

“มีอะไรรึเปล่าทำไมทำหน้าตาน่ากลัว มีเลศนัยแปลก ๆ”

“เปล่านี่ นายไปอาบน้ำสิฉันเหนื่อยอยากพักแล้วเหมือนกัน”

หล่อนเฉไฉไปอีกเรื่องเก็บมีดพับใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่งก่อนจะแกล้งทำเป็นหยิบกล้องถ่ายรูปมาเช็คดูแต่แอบเหลือบมองคู่หูจำเป็นอยู่ในที

“ผมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยนะธารวารี”

เขาไม่ไป!หนำซ้ำยังเดินเข้ามาใกล้หล่อนทั้งที่พาดผ้าเช็ดตัวไว้บนไหล่จะเข้าห้องน้ำอยู่แล้ว ธารวารีโยนกล้องลงบนเตียงถอยกรูดไปชิดริมหน้าต่างแต่ไม่ทันเมื่อชายหนุ่มพุ่งลงมาทาบมือแข็งแรงสองข้างบนเตียงค้อมตัวหล่อนไว้

“จะ... จะ ทำอะไร

หล่อนระล่ำระลักถามเงยหน้าสบตา ดวงหน้ากลมซีดเผือดแต่ทำเสียงเข้มไม่กลัวเกรงทั้งที่รู้ตัวว่ามือกำลังสั่น จะล้วงมีดพับด้านหลังก็ไม่ทันเสียแล้วนึกแล้วโมโหตัวเองที่เอาไปไว้กระเป๋ากางเกงด้านหลังซึ่งมันล้วงยากชะมัดในสถานการณ์แบบนี้

“คิดว่าผมจะทำอะไรคุณหรือไง”

“ปละ... เปล่าหล่อนเสียงสั่น “นายไม่ใช่พวกฉวยโอกาสหรอกฉันรู้”

ภูบดียื่นหน้าเข้ามาใกล้ใกล้มากจนหล่อนเอี้ยวตัวหลบหลับตาปี๋แต่ยังได้ยินเสียงหายใจ

“แน่นอนว่าผมไม่ใช่ และก็ไม่ใช่พระเอกนิยายด้วยจะได้ฉวยโอกาสกับนางเอก” เขาตอบเสียงกลั้วหัวเราะ“ถ้ากำลังฝันก็ตื่นซะ ผมจะไปอาบน้ำ เสร็จแล้วคุณก็อาบต่อ เหม็นมาก ซกมกจะตายไปทำอะไรมา”

เขาทำจมูกฟุดฟิดหน้ามุ่ยเหมือนหล่อนเป็นของเหม็นเน่าที่แค่ได้กลิ่นก็ระคายจมูก 

ธารวารีค้อนขวับก่อนตอบเสียงเข้มชัดถ้อยชัดคำ “ไปให้อาหารไฮยีนามา”หล่อนก้มดมเสื้อตัวเอง “ไม่เห็นเหม็นซะหน่อยนายมีปัญหารึไง”

“ก็เปล๊า” เขาตอบแล้วลุกขึ้นยืนเหมือนชอบใจที่ได้เห็นหล่อนกลัว ยิ่งเห็นคนปากดีเมื่อครู่ทำคิ้วขมวดเสียงอ่อย

“ถามจริงๆ นี่ฉันเหม็นขนาดนั้นเลยหรือ”

“อืม...ไม่งั้นผมจะได้กลิ่นลอยลมมาหรือไง”

“แต่กล้ามาว่าผู้หญิงซกมกยังกับนายดีตายแหละ ไอ้หนวดเอ้ย

“เอ๊า! แล้วมาขึ้นเสียงใส่กันทำไม คุณถามผมก็ตอบนะ”ภูบดีหัวเราะในลำคอ

หล่อนค้อนแรงรอบสองก่อนจะลุกหนีไปยืนหน้าประตูแล้วไล่ชายหนุ่มให้ไปจากที่นอน ภูบดีลูบคางตัวเองรู้สึกถึงไรหนวดเริ่มขึ้นเป็นแนวจนโดนว่าแล้วก็นึกขำ อดที่จะต่อล้อต่อเถียงกับหล่อนไม่ได้ กว่าจะตกลงกันได้ แยกย้ายกันไปอาบน้ำจนถึงเข้านอนก็เกือบตีสองของเช้าวันใหม่...


ธารวารีหาวหวอดตลอดทางที่รถขับเคลื่อนสี่ล้อสภาพกลางเก่ากลางใหม่แล่นออกจากฮาร์รา แม้ถนนจะขรุขระ คดเคี้ยวเป็นหลุมบ่อแต่หล่อนยังหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่ที่นั่งเบาะหลัง มีภูบดีนั่งคู่คนขับด้านหน้าเหลือบมองหล่อนผ่านทางกระจกมองหลังตลอดทางตั้งแต่ออกมา

เห็นหล่อนได้พักบ้างเขาก็หันไปสนใจคุยกับไกด์หนุ่มล่ำผิวเข้มชื่ออาชะเป็นชาวเมืองใกล้เคียงฮาร์รา พูดอังกฤษเก่งมาก เพราะเคยเรียนหนังสือที่แอดดิส-อบาบาที่เน้นสอนอังกฤษเป็นภาษาที่สองรองจากภาษาอัมฮาริค ภูบดีจึงคุยกับชายหนุ่มได้อย่างคล่องแคล่ว

“ใช้เวลากี่ชั่วโมงกว่าจะถึงชายแดนครับ”

“ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเราก็จะถึงที่หมายในเวลาไม่เกินหกชั่วโมง น่าจะไม่เกินบ่ายสามโมงเย็นครับ”

ไกด์หนุ่มตอบฉะฉานหลังจากคำนวณเวลาครู่ใหญ่คนฟังพยักหน้ารับรู้แต่อดสะกิดใจไม่ได้กับประโยคแรกที่อาชะบอก

“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหมายความว่ายังไง ที่เราไปมันอันตรายหรือครับ”

อาชะส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ ตอบ “ทุกที่ในประเทศนี้มีทั้งอันตรายและไม่อันตรายครับ อะไรย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะเรามีคนหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์”

“เหมือนเมืองไทย ถึงเราจะเชื้อชาติเผ่าพันธุ์เดียวกันแต่มักขัดแย้งกัน” ภูบดียักไหล่ก่อนจะถอนหายใจ

“คนมาก เรื่องมากสังคมอยู่ยาก เพราะคนเอาแต่ชนะระรานกัน เป็นธรรมดาโลกครับ”

อาชะพูดเป็นปริศนาจบภูบดีถึงกับคิ้วขมวด รู้สึกทึ่งกับแนวคิดและขัดหูกับน้ำเสียงแปร่งของไกด์หนุ่มอย่างไรพิกล แต่ก็ต้องหยุดคิดเพราะได้ยินเสียงลั่นชัตเตอร์รัวจากด้านหลัง

“นิ่งเป็นหลับตื่นมาก็จับกล้องเลยนะคุณ”

เขาไม่วายแซวหล่อนเมื่อมองจากกระจกหลังเห็นธารวารีขะมักเขม้นถ่ายภาพโดยไม่สนใจจะฟังหรือร่วมวงสนทนา

“ฉันก็ฟังอยู่แต่นายดูสิวิวสวยมากเลย ตรงโน้นเขาเรียกว่าอะไรคะคุณ”

หล่อนชักชวนให้เขามองตามแล้วหันไปถามไกด์หนุ่ม อาชะยิ้มกว้างเหลือบมองวิวด้านข้างแล้วตอบอย่างภูมิใจ

“อาเล็มมายาบ้านเกิดผมเอง ส่วนนั่นคือทะเลสาปฮารามายา หรือเรียกอีกชื่อว่าทะเลสาปอารามีครับ”

“วิวสวยมากเลยค่ะไม่น่าเชื่อนะคะว่าเอธิโอเปียจะมีวิวที่มองจากมุมสูงสวยสุดลูกหูลูกตาขนาดนี้”

“เพราะเรากำลังลงจากฮาร์ราที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากต่างหากครับถ้าเดินทางต่อไปใกล้จิบูติ คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว”

ขาดคำของไกด์หนุ่ม ภูบดีก็มองสบตาหญิงสาวผ่านกระจกมองหลังด้วยดวงตาหวั่นวิตก เพียงไม่กี่ชั่วโมงถัดมาจากพื้นที่เขียวชอุ่มของต้นไม้ภูเขาสูง อากาศเริ่มเพิ่มอุณหภูมิขึ้นเรื่อย ๆ ตามภูมิประเทศที่เปลี่ยนไป

หลังออกจากดิเรดาวาสีเขียวที่เห็นสุดลูกหูลูกตาเริ่มหายไปทีละน้อย จนเหลือต้นไม้เป็นหย่อม ๆและในที่สุดก็เหลือแต่ทะเลทรายและหุบเขาสีน้ำตาลกว้างไกลสุดสายตา 

“อีกไกลไหมอาชะ” ภูบดีเหลือบมองหญิงสาวผ่านกระจกมองหลังด้วยสีหน้าวิตก “หวังว่าจะไม่ค่ำเกินนะ เรายังไม่มีที่พักคืนนี้เลย”

“ไม่ถึงสองชั่วโมงเราก็จะถึงดีเวลเมืองที่ติดชายแดนจิบูติที่สุดครับ ถ้าเจอคนที่คุณตามหาก็คงมีที่นอน”

ภูบดีขมวดคิ้วที่ได้ยินอาชะพูดแปลก แต่เขาไม่มีเวลาใส่ใจนักเพราะมัวแต่ดูแผนที่แต่ไอร้อนอบอ้าวทำให้สมาธิกระเจิงจนต้องเพ่งมองไปหน้ารถถนนดินแดงยาวไกลชนิดมองไม่เห็นปลายทางแล้วได้แต่ทอดถอนใจ

“รู้สึกเหมือนเคว้งคว้างหาจุดบรรจบไม่เจอ”

“พวกเราที่นี่ชินซะแล้วครับ วันดีคืนดีก็จะมีชาวเผ่าที่ย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ มาปิดกั้นถนนเพราะทับเส้นทางอพยพกันบ้างบางทีก็แย่งที่กันเลี้ยงสัตว์บ้าง เป็นเรื่องปกติมากครับ”

“แล้วทำไมต้องปิดถนนผมนึกว่ามีแต่เมืองไทยซะอีก” ภูบดีพูดกลั้วหัวเราะแต่เมื่ออาชะทำหน้างงจึงปฏิเสธ “ผมพูดเล่นครับ”

อาชะพลอยหัวเราะไปด้วย บรรยากาศยังดีต่างจากอากาศร้อนด้านนอก รถยิ่งเก่า แอร์เริ่มรับกระแสความร้อนไม่อยู่ภูบดีรู้สึกเหมือนกับว่าไอร้อนระอุออกจากเนื้อตัว พอๆ กับแอร์ที่โอบอุ้มความเย็นเริ่มเบาบางลงเรื่อยๆ

ธารวารีถึงกับเอาเศษกระดาษพัดไล่ความร้อนพร้อมปาดเหงื่อที่ไหลเป็นทางอดใจไม่ไหวถามไกด์หนุ่มอีก

“ถนนจะเป็นแบบนี้ไปตลอดเลยหรือคะฉันไม่เห็นบ้านคนเลย ดีนะที่ได้คุณนำทาง ไม่งั้นพวกเราแย่แน่ ๆ ค่ะ”

“เส้นทางนี้ส่วนมากรัฐบาลจะใช้ขนส่งสินค้าทางรถไฟไปออกทะเลที่จิบูติครับ ไม่ค่อยมีใครมาหรอก มันแห้งแล้ง เลี่ยงได้เป็นเลี่ยงยิ่งตอนนี้ภัยแล้งมาเร็วกว่าที่คิด ชาวบ้านแถบนั้นอพยพขึ้นเหนือกันหมดบางแห่งแทบจะเป็นเมืองร้างเลยครับ”

อาชะเล่าสีหน้าเรียบเฉยแต่สองหนุ่มสาวมองหน้ากันใจคอไม่ค่อยดี คำพูดของไกด์หนุ่มทำให้ธารวารีนึกเป็นห่วงคนรักจับใจ

เพราะอย่างนี้หรือไม่นะ ทำให้รุจิภพไม่ติดต่อหล่อนอาจเพราะการคมนาคมไม่สะดวก หรือไม่ก็อาจจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ก็เป็นได้ คิดแล้วก็สลดใจจนคนมองสงสัย

“คุณ... คุณภูบดีเรียก

“อะไร”

“นึกว่านั่งทางในเห็นเงียบไปเลย" เขาไม่วายค่อนขอด 

หญิงสาวสะบัดหน้าพรืดลืมความร้อนไปชั่วขณะ เพราะใจที่ร้อนกว่าเป็นเหตุ ร่างบอบบางในชุดทะมัดทะแมงขยับถอดแจ็กเกตออกเหลือเพียงเสื้อยืดแขนกุดธรรมดาก่อนจะเอาเสื้อที่ถอดออกบังแดดริมกระจกที่แสงส่องหล่อนตะครั่นตะครอแปลก ๆ เหมือนจะจับไข้ จนภูบดีต้องถามซ้ำ

“ไม่สบายรึเปล่าคุณหน้าแดงมาก”

“ฉันไม่เป็นไร คงเพราะเหงื่อออกเยอะก็เลยสะบัดร้อนสะบัดหนาวแปลกๆ”

หล่อนส่ายหน้าแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเหนื่อยหรือไม่อยากพูดต่อภูบดีหันกลับไปมองหนทางข้างหน้าไม่ได้ถามอะไรให้มากความ ธารวารีได้แต่ถอนใจเริ่มรู้สึกอย่างที่เขาถามได้สักครู่ใหญ่ อยู่ดี ๆอาการไข้มันก็มาเยี่ยมกรายทั้งที่หล่อนไม่ต้องการ

“นอนพักเอาแรงก่อนถึงแล้วผมจะบอก”

เขาหันมองด้วยความกังวลหล่อนพยักหน้าแล้วหลับตา

ครู่ใหญ่หลังจากที่เผลอหลับไปภูบดีตกใจตื่นเมื่ออาชะเบรครถกระทันหันเสียงดังจนเขาสะดุ้ง หันไปมองไกด์หนุ่มเห็นสีหน้าเข้มออกอาการแปลกๆ จึงหันมองตามสายตาแล้วถึงกับตาเบิกโพลง

ภาพชายผิวดำสามคนในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยใบหน้าแต้มสีขาวเป็นจุดใหญ่ ๆ เต็มหน้าซีกซ้ายเหมือนกับลายอะไรสักอย่างทรงผมสีน้ำตาลแดงขอดหยิกติดหนังหัวมันลื่นคล้ายฉาบน้ำมัน หูยาวเกินปกติถ่วงด้วยหินสีดำก้อนเท่านิ้วหัวแม่มือ คอประดับตกแต่งด้วยลูกปัดหอยและกระดูกสัตว์นับสิบเส้น ยาวเกือบถึงเอวในมือถือหอกยืนจังก้าอยู่หน้ารถ หน้าตาขึงขังเสียจนน่าตกใจ

“มีอะไรหรืออาชะ”

“ไม่แน่ใจ” อาชะตอบสีหน้าไม่ค่อยดี “แต่คงไม่มาร้าย”

“จะรู้ได้ยังไง”ภูบดีหน้าเครียดเหลือบมองธารวารีที่ยังหลับ เป็นห่วงหล่อนจับใจ

“ถ้ามาร้ายเราคงไม่ได้มานั่งคุยกันแบบนี้พวกเขาจะจู่โจมไม่ให้ตั้งตัว”

อาชะเปิดประตูจะลงไปภูบดีคว้าแขนหนุ่มเข้มไว้ สีหน้าหวั่นวิตก

“เดี๋ยว แน่ใจนะว่าจะลงไป”

อาชะพยักหน้าคว้าเป้สัมภาระของตัวเองลงจากรถคุยท่าทางพินอบพิเทาในขณะที่ชายสามคนผู้มาใหม่ล้อมหน้าล้อมหลัง

ท่ามกลางถนนเป็นหลุมเป็นบ่อเลียบทางรถไฟไปจิบูติ สองข้างทางเต็มไปด้วยเนินดินแดงสูงต่ำไร้ต้นไม้ไกลสุดตาไม่ใช่ทะเลทรายก็เหมือนทะเลทรายหากเกิดอะไรขึ้นใครจะรู้เห็น 

ภูบดีนึกเป็นห่วงเปิดประตูลงไปสมทบแต่ฟังไม่รู้เรื่องและสามหนุ่มดูระแวงระวังมองเขาแบบไม่ไว้ใจ ไม่นานอาชะก็หันมาคุยหลังจากสามหนุ่มปีนขึ้นเนินดินแดงจากไป

“ผมจะเอารถเข้าจอดข้างทางก่อนคุณสองคนรอตรงนี้สักครู่ใหญ่ ๆ นะครับ”

“ทำไม มีอะไรงั้นหรือ”ภูบดีถาม สีหน้าไม่ค่อยดี

“มีปัญหานิดหน่อยพวกเขาต้องการคนท้องถิ่นที่พูดอังกฤษสื่อสารกับอีกเผ่าได้ ผมคงต้องไปดูไม่งั้นไม่เผ่าใดก็เผ่าหนึ่งมีหวัง”

“เดี๋ยว! คนละเผ่าคุยกันคนละภาษาหรือไง ทำไมต้องมีล่าม”

“พวกลุ่มน้ำโอโมกับพวกทางเหนือน่ะครับ ต่างคนต่างภาษา”

อาชะทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วผลุนผลันปีนขึ้นเนินดินแดงฝั่งเดียวกับชาวเผ่าทั้งสามไปภูบดีมองตามหน้าตื่นสงสัยที่ไกด์หนุ่มเอากระเป๋าเดินทางของตัวเองไปด้วย แต่เขาก็ได้แต่สงสัย

“เกิดอะไรขึ้น”

ภูบดีหันขวับมาทางต้นเสียงธารวารีในชุดเสื้อยืดแขนกุดกางเกงสี่ส่วนสีน้ำตาลผ้านิ่มลงยืนข้างตัวรถพร้อมกระเป๋ากล้องคู่ใจเขาพยักเพยิดไปทางที่ไกด์หนุ่มจากไปก่อนจะเดินมาหาหล่อน

“อาชะขอไปธุระตรงโน้นให้เรารอที่นี่”

“ขอโทษนะ ฉันเผลอหลับไป”

หล่อนหน้าเครียดมองไปทางเนินดินที่อาชะข้ามไปแล้วป้องมือบังแดดมองตามถนนไปสุดลูกหูลูกตา

“อีกไกลไหมจะถึงดีเวล”

“ไม่น่าจะไกลแล้วนะอาชะบอกว่าพ้นเนินตรงโน้นไปนิดหนึ่งก็จะถึง”

ธารวารีถอนใจหน้าเครียด ที่ผ่านมาถนนยังลาดยางดี ๆ แต่พอยิ่งใกล้ถึงชายแดนกลับเป็นดินแดงขรุขระมากขึ้นเรื่อยๆ และแคบลงเรื่อย ๆ เช่นกัน

“แล้วเราต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าอาชะจะกลับมา ฉันร้อนใจกลัวจะมืดซะก่อน”

“ตอบไม่ได้เดี๋ยวผมปีนขึ้นไปดู คุณรอในรถก่อนก็แล้วกัน” ชายหนุ่มตอบแล้วเอาหลังมือแตะหน้าผาก

“ทะ... ทำอะไร!” หล่อนอุทานแล้วผงะออกห่าง

“ไข้ขึ้นจริงๆ ด้วยถึงว่าตาลอยๆ มียาแก้ไข้ติดมารึเปล่า”เขาถาม

หล่อนส่ายหน้าทันทีแทบไม่ต้องคิดชายหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวาแล้วนึกได้ เอื้อมหยิบกระเป๋าเดินทางเปิดหยิบเอาผ้าขนหนูผืนเล็กและยาแก้ไข้หวัดยื่นให้หล่อนพร้อมขวดน้ำที่พร่องไปกว่าครึ่ง

“กินขนมปังที่เหลือซะจะได้กินยาแล้วก็นั่งรอในนี้แหละ ถ้าร้อนมากเอาผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดลดไข้ไปก่อน”

ธารวารีมองตามหลังร่างสูงปราดเปรียวปีนเนินดินแดงข้ามไปอีกฝั่งจนลับสายตา ถนนโล่งจนน่าใจหายไม่มีรถแล่นผ่านมาแม้สักคัน หยิบขนมปังฉีกกินสองสามคำตามด้วยยาและน้ำหวังให้ดีขึ้น หล่อนต้องแข็งแรงเพื่อจะได้ตามรุจิภพได้ตลอดรอดฝั่ง

นึกสงสัยคู่หูจำเป็นที่เขาช่างรู้มากรู้ได้อย่างไรว่าหล่อนซ่อนอาการเจ็บไข้เอาไว้ หรือมันบ่งบอกทางสีหน้า ได้แต่คิดสงสัยไม่ทันดูว่าภูบดีกลับมาและส่งเสียงเรียกหล่อนจนสะดุ้ง

“คุณ! แย่แล้วละ”

“เกิดอะไรขึ้น”

“อาชะไปแล้ว! เขาฝากจดหมายนี้ให้คนเอามาให้”

ขาดคำของชายหนุ่มที่ยืนโบกแผ่นกระดาษไหวๆอยู่นอกหน้าต่าง หล่อนถึงกับพรวดลงจากรถวิ่งขึ้นเนินดินไปดูให้เห็นกับตา

ภาพที่เห็นคือทุ่งดินแดงเต็มไปด้วยหินก้อนเล็กก้อนน้อยแห้งแล้งแทบไม่มีต้นไม้ มีเพียงบึงน้ำเล็ก ๆดสีขุ่นใช้ดื่มกินหรือแม้แต่อาบก็ไม่ได้ดกลุ่มชนเผ่าสองกลุ่มแยกย้ายกันไปคนละทางด้วยพาหนะอูฐและลาเทียมสิ่งของหล่อนไม่เห็นอาชะอยู่ในขบวนใด หรือเพราะมันไกลเกินไปจนมองแทบแยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นใคร

“เป็นไปได้ยังไง!ทำไมทิ้งกันแบบนี้”

“ผมจะไปตาม” ภูบดีตั้งท่าวิ่ง “คุณรอตรงนี้นะ”

ธารวารีคว้ามือชายหนุ่มไว้มือของหล่อนเย็นเฉียบจนภูบดีหันกลับมามอง

“อย่าไป” หล่อนค้าน “อันตราย”

“แต่ผม”

ภูบดีแย้งแต่เมื่อเห็นท่าทางหล่อนดูแย่กว่าที่คิด ชายหนุ่มตรงเข้าโอบไหล่ปลอบเมื่อเห็นธารวารียืนโงนเงน

“คุณจะไหวไหม”

“ฉันยังไหว แต่ทำไมเขาทิ้งเราได้” ธารวารี ถามหน้าเครียด “ไม่ห่วงเรา ฉันยังเข้าใจ แต่นี้เขาไม่ห่วงรถเลยหรือไงถึงทิ้งไปเฉยๆ แบบนี้”

“ผมก็ไม่รู้ เขาอาจจะมีเรื่องจำเป็นถึงบอกที่อยู่ที่จะให้เราเอารถไปคืนตอนขากลับไว้ในจดหมายด้วย” ภูบดีก็หน้าเครียดไม่ต่างกัน

“เราสองคนต้องไปดีเวลกันเองแล้วละ”

ธารวารีคว้าจดหมายแผ่นเล็กตัวหนังสืออังกฤษหวัดอ่านแทบไม่ออกแล้วหันมามองชายหนุ่ม สีหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วทรุดนั่งกับพื้นดินหมดแรง... 


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เลือกโจทย์ลุยล่าท้าเขียน โจทย์ที่สองไว้แล้วแต่ยังขี้เกียจเขียนอยู่เลย

ขอลงนิยายก่อนแล้วค่อยลุยต่อโจทย์สองหลังงานตะพาบค่ะ

หมู่นี้อินดี้ผิดปกติ อิอิ เขียนไม่ค่อยออกเลยค่ะ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณของแต่งบล็อกจากคุณยายเก๋าและคุณญามี่ค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ

บล็อกนิยายขอปิดคอมเมนต์ก่อนนะคะ

ค่อยมาใหม่งานตะพาบค่า

^______^




Create Date : 27 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2559 20:45:53 น. 0 comments
Counter : 1129 Pageviews.

lovereason
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 76 คน [?]









+ ++
Friends' blogs
[Add lovereason's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.