Somebody's me... Nobody's know.. You are what you thinks.. and.. I am who i am.. Whatever will be, will be..
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2559
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
1 พฤศจิกายน 2559
 
All Blogs
 
ตามรักแดนตะวัน (อัมฮารา) ตอนที่ 11







บทที่ 11


               ไม่น่าแปลกที่ระยะทางจากแอดดิส-อบาบาไปดิเรดาวาจะกินระยะเวลานานกว่าค่อนวัน เพราะแม้บัสคันใหม่จะวิ่งตามเส้นทางหลวงหลักถนนไม่ได้แคบมากแต่ก็ยังต้องขับด้วยความระมัดระวังเพราะภูมิประเทศ ทั้งขึ้นเขา เลาะริมทะเลสาป และบางเมืองแห้งแล้งจนเกือบจะถึงขั้นทะเลทรายเรียกได้ว่ามีครบทุกรสชาติในแผ่นดินเดียว

               ธารวารีเก็บภาพตลอดการเดินทาง ไม่เว้นแม้แต่ช่วงที่ต้องลงไปจัดการธุระส่วนตัวและพักรับประทานอาหารกลางวันยังร้านที่เลิฟไลค์ทัวร์จัดเตรียมไว้ให้กว่าจะเสร็จเรียบร้อยมุ่งหน้าสู่ดิเรดาวาก็เกือบบ่ายสามโมงเย็น

  ภูบดียังนั่งประกบตลอดทางทำไมหล่อนจะไม่รู้เพราะไม่ว่าจะขึ้นรถหรือลงรถ ชายหนุ่มก็ตามติด ถึงแม้จะอึดอัดใจอยู่แต่ก็รู้สึกอุ่นใจเมื่อมีนายพีคนจรอยู่ใกล้

  ยิ่งในตอนนี้ที่เขาหลับคอพับคออ่อนตามถนนคดเคี้ยวแทนที่หล่อนจะได้มองวิวด้านนอก แต่สายตากลับจับจ้องอยู่แต่หนุ่มเซอร์คนข้างๆ คิ้วเข้มดกดำดวงหน้าค่อนไปทางเหลี่ยมแต่แก้มไม่หนาอวบขนตายาวหนากะพริบขึ้นลงตามแรงสั่นสะเทือนของท้องถนน หล่อนได้แต่ลอบมองรู้สึกคุ้นตาอย่างน่าประหลาด

  ผู้ชายคนนื้ เวลาหลับก็น่ารักดีถ้าไม่พูดมาก...

              หล่อนถอนหายใจมองไปด้านหน้าทั้งคณะเงียบกริบคงเพราะเดินทางกันยาวนาน มองไปนอกหน้าต่างฝนโปรยปรายลงมาอีกเป็นวันที่สอง ท้องฟ้ามืดครึ้มทำให้อุณหภูมิภายในรถยิ่งเย็นลงธารวารีกอดอกแน่นรู้สึกหนาวขึ้นมาจับใจยิ่งนึกถึงว่าจะต้องเจออะไรอีกเมื่อถึงดิเรดาวา ก็ยิ่งใจหาย

              ไม่น่าอวดเก่งทั้งที่จริงแล้วปอดแบบนี้เลย

  หล่อนตัดสินใจแล้วว่าจะแยกตัวเป็นการถาวรไม่ว่ากวินจะทัดทานแค่ไหน และถึงแม้ว่าคณะทัวร์จะอยู่ดิเรดาวาอีกหนึ่งคืนก็ตาม

              “คิดอะไรอยู่”

              ธารวารีหันขวับมาตามเสียงแล้วเบือนหน้าออกทางหน้าต่าง

               “คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”

               “คิดบ้างรึเปล่าว่าถ้าไม่เจอจะทำยังไง”

                ธารวารีนิ่งไปข้อนี้หล่อนไม่เคยนึกเลยด้วยซ้ำ ใจฟ้องแต่ว่า ถึงอย่างไรก็ต้องเจอ รุจิภพจะต้องรอยิ่งถ้ารู้ว่ามาหาแบบนี้ ไม่มีทางที่เขาจะทิ้งให้หล่อนเผชิญเรื่องต่างๆ เพียงลำพัง

                เว้นเสียแต่รุจิภพจะไม่รู้ หรือจดหมายจากเมืองไทยจะไม่ถึงมือเขา

    หากหาตัวไม่เจอจริงๆ ก็คงต้องตามไปจนถึงค่ายที่ชายแดนจิบูติ เพราะถึงอย่างไรที่นั่นก็คงมีคนที่พอรู้ข้อมูลล่าสุดของรุจิภพได้ดีที่สุด

                 “ว่าไงคุณ”เขาถามซ้ำ

                 “แล้วจะถามทำไม” หล่อนตอบน้ำเสียงหงุดหงิด “เซ้าซี้ยิ่งกว่าคุณกวินซะอีก ฉันก็ไปตามทางของฉันส่วนนายก็ไปกับทัวร์ก็แค่นั้น... จบ”

                “ใครบอกว่าผมจะไปกับทัวร์”

                “ก็ฉันพูดอยู่นี่ ยังจะมากวนประสาทกันอีก”

                “รับรองว่าผมตามไปกวนประสาทคุณได้อีกนานแสนนาน”

“อะไร!... อย่าบอกนะว่า”

     ภูบดียิ้มมุมปากขบขันท่าทางหล่อน  “ผมจะไปกับคุณ”

                 ธารวารีถึงกับพูดไม่ออกสองหนุ่มสาวสบตากันด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง ธารวารีหลบดวงตาคมกล้าที่มองจ้องหล่อนไม่วางตา

                  จะทำอย่างไรดีเมื่อต้องมาเจอกับสถานการณ์เช่นนี้และกับคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าแบบนี้!

                  เพราะธารวารีไม่ตอบและเสหลบตาทั้งยังเบือนหน้าหนีออกไปนอกหน้าต่างภูบดีได้แต่เก็บคำพูดที่คิดจะบอกหล่อนเอาไว้กับตัว

                  ดูสิว่าที่พี่สะใภ้จอมยุ่งจะว่ายังไงถ้าหากเขาจะดื้อแพ่งไปกับหล่อนให้ได้!

                  ภูบดีลอบยิ้มแล้วพักผ่อนเอาแรงอีกไม่ไกลจะถึงดิเรดาวาแล้วเขาคงต้องวุ่นกับธารวารีทุกวันทุกเวลาต่อไปอีกนาน

                  ดิเรดาวาเป็นเมืองการค้าใหญ่เป็นอันดับสองรองจากเมืองหลวงอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเกือบหนึ่งพันเมตรแต่ต่ำกว่าแอดดิส-อบาบาเกือบหนึ่งพันเมตรเช่นกัน อากาศจึงกำลังสบายไม่เย็นเกินไปและไม่ร้อนนัก

    ธารวารีลงจากรถพร้อมกระเป๋ากล้องและเป้ใบเก่งที่จุสัมภาระแน่นกว่าเดิมจนแทบล้นเพราะฝากกระเป๋าล้อลากไปกับคณะทัวร์โดยไม่ต้องห่วงเป็นภาระอีก

                 ในมือมีแผนที่พกพาที่กวินช่วยหมายเหตุสถานที่ที่หล่อนต้องการไปไว้ให้เพื่อความสะดวกนาทีนี้มีแผนที่เล่มดีกว่าจีพีเอสในโทรศัพท์มือถือเป็นไหนๆ

      เพราะแม้จะเป็นเมืองใหญ่แต่ความเจริญไม่ได้มากมายเท่าเมืองหลวงเลย สองข้างทางจากสายตาที่เห็นจึงเป็นบ้านเรือนเก่าแก่แต่ละหลังสูงไม่เกินสามชั้นล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูง

     เปรียบได้ว่า ดิเรดาวาเป็นเมืองโบราณท่ามกลางหุบเขาอย่างไรอย่างนั้น

                 “ตกลงไม่บอกคุณพีแน่หรือว่าจะแยกไป”กวินกระซิบถาม

     หล่อนยืนรีรออยู่บันไดรถตามเสียงเรียกของไกด์หนุ่ม

                 “ไม่หรอกค่ะขอบคุณมากนะคะที่เป็นธุระให้”

                 ธารวารีส่งยิ้มแล้วลงรถไปเงียบ ๆ เพียงย่างเท้าไกลจากตัวรถไม่กี่ก้าวหล่อนหันกลับไปโบกมือให้ ก็ได้ยินเสียงกวินลอยมา

                “เดินทางปลอดภัยรักษาตัวด้วยนะคุณรี มีอะไรโทรหาผมทันทีนะ”

                กวินตะโกนบอกแล้วโบกไม้โบกมือให้ที่ประตูรถธารวารียิ้มกว้างโบกมือตอบ อดไม่ได้ที่จะมองหาคนบนรถนายพีคงกำลังหลับอยู่เพราะหล่อนแอบหนีลงมาเงียบ ๆ คิดแล้วก็ใจหายแต่ถึงเวลาจากก็ต้องจาก

                 มีพบก็มีพรากเป็นเรื่องธรรมดา...

                  รถแล่นไปจนลับสายตา ธารวารีหันหลังกลับเดินไปตามทางแล้วก็ต้องตกใจแทบช็อคเมื่อใครบางคนก้าวเข้ามาขวางในระยะประชิดภูบดียิ้มแฉ่งต่อหน้าหล่อน

                 “นะ…นายพี

                “ใช่สินึกว่าผมอยู่บนรถละสิ คุณน่ะ”

                ธารวารีทำหน้างงเหมือนไม่เชื่อสายตาไม่ตอบแต่เดินเบี่ยงหลบผ่านเขาไปเฉยๆ ภูบดีเดินตามติดแต่หล่อนก็ยังเดินจ้ำเร็วไม่สนใจ

                 ก็ไม่ได้อยากสำคัญตัวนักหรอก! แต่ทำแบบนี้เพราะอะไรหล่อนไม่ได้อยากคิดเข้าข้างตัวเองจริงๆ

                “นี่ไม่พูดไม่จา โกรธหรือ” เขาถามเดินตามไม่ลดละ

                  หล่อนก็ยังเดินเฉยมองแผนที่ในมือสลับกับบ้านเรือนสองข้างทางจนเข้าสู่ถนนตามที่ระบุในกระดาษปริศนาหญิงสาวจึงหยุดยืนอยู่หน้าตรอก

       สภาพตึกเก่าสีชมพูอ่อนซอมซ่อยิ่งในตรอกด้วยแล้วไม่แคบมากแต่เป็นถนนดินแดงและถึงแม้จะเป็นตอนกลางวันแบบนี้ก็ยังค่อนข้างเปลี่ยวอยู่ดี

                 “จะใช่รึเปล่านะ”

       หล่อนพึมพำแล้วกระชับกระเป๋าให้อยู่ในท่าพอเหมาะก่อนจะเดินเข้าไปภูบดีเดินตามห่าง ๆ อยากรู้ว่าจะไปได้แค่ไหน จู่ ๆ หล่อนก็หันมาแล้วถามเสียงเข้ม

                 “คือ...ฉันไม่เข้าใจนะ ว่านายจะตามมาด้วยทำไม เราก็ไม่ได้รู้จักกันมากมายจนต้องมาร่วมทางกันสักหน่อย”

                 “ก็ผมบอกคุณแล้วว่ามากับคุณสนุกกว่าไปทริปกับคุณตาคุณยายเป็นไหนๆ”

                  หล่อนเข้มมาเขาก็เข้มกลับ!

      ภูบดีจ้องหน้าหญิงสาวที่ได้แต่ยืนนิ่งฟังก่อนจะเดินขึ้นมาเคียงกัน

                  “พูดไม่ออกเลย...โถ่ เหม็นขี้หน้าผมมากละสิท่า”

       เขาทำหน้าล้อเลียนเพราะคิดว่าหล่อนต้องปรี๊ดแน่แต่คำตอบของธารวารีก็ทำเอาผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาใจอ่อนยวบ

                  “ใครบอกฉันกำลังจะบอกว่าดีใจที่นายมาด้วยต่างหาก”

                  “เดี๋ยว! เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ”

                  “ก็นายบอกเอง... สองหัวดีกว่าหัวเดียวไง”

                    หญิงสาวทิ้งประโยคเด็ดแล้วเดินนำลิ่วไปปล่อยให้เขายืนตะลึงกว่าจะรู้ตัวไม่รู้รอยยิ้มผุดขึ้นมาตอนไหน รีบเดินแกมวิ่งตามไปติดๆ หัวใจพองโตอย่างบอกไม่ถูก

                     “เดี๋ยว!คุณพูดจริงนะ ที่ให้ผมไปด้วย”

                     “ถ้าไม่ให้ไปจะฟังรึเปล่าล่ะ”หล่อนหันกลับมาทำเสียงดุใส่

                     “ไม่ฟัง” ภูบดีส่ายหน้า “ผมชอบไปกับคุณมากกว่า”

                      “งั้นก็อย่ามาทำรุ่มร่ามห้ามคิดอะไรกับฉัน เพราะฉันมีคู่หมั้นแล้ว” หล่อนบอกเงื่อนไข

           ดวงตาเด็ดเดี่ยวไม่ต่างกับน้ำเสียงเข้มจัดภูบดียิ้มกว้าง นึกรู้ว่าหล่อนกำลังปกป้องตัวเอง ได้แต่บอกให้สบายใจ

          “ตกลงผมจะไม่วุ่นวาย ไม่รุ่มร่าม ไม่คิดอะไรกับคุณ”

            ธารวารีฟังแล้วยิ้มออกหันหลังเดินนำไปทางเดิม โดยไม่ได้สนใจประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่มทำปากขมุบขมิบ

           แน่นอน! เขาจะไม่ยุ่งกับหล่อน... ถ้าไม่จำเป็น แต่ถ้าจำเป็นก็ไม่แน่

           ภูบดีวิ่งตามไปเมื่อเห็นหญิงสาวเดินนำไปจนเกือบถึงบ้านหลังที่ปรากฏตามที่อยู่ในแผ่นกระดาษปริศนานั้น

                      สุดถนนมีเพียงบ้านตึกหลังใหญ่สีเหลืองนวลลักษณะเป็นอิฐแดงก้อนใหญ่ก่อเป็นหลังรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสูงสามชั้นตั้งอยู่บนเนินสูง นอกจากบ้านหลังนี้แล้วที่ดิเรดาวาก็คงมีแต่โรงแรมเท่านั้นที่มีตึกสูงเกินสองชั้น

          ภูบดีเดินนำเข้าไปถึงหน้าประตูรั้วที่เปิดเอาไว้ราวกับรอต้อนรับการมาเยือนไม่มีกริ่งหรือแม้แต่ใครสักคนที่อยู่ตรงนั้น สองหนุ่มสาวลังเลแต่ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในบริเวณบ้าน

         ประตูบ้านเป็นประตูคู่เปิดไว้เพียงหนึ่งบานมองเข้าไปในตัวบ้านเต็มไปด้วยจานประดับหลากสีใหญ่เล็กเต็มฝาบ้านแทบไม่มีส่วนไหนว่างเว้นเป็นผนังเปล่า กรอบประตูหน้าต่างตกแต่งลายคล้ายตัวหนังสือโบราณแจกันทรงสูงขนาดใหญ่แทบจะเท่าตัวคนตั้งเด่นเป็นที่เห็นชัดเจน ธารวารีลูบคลำแจกันสีแดงสดด้วยความตื่นเต้น

                   “นี่มันบ้านหรือพิพิธภัณฑ์อะไรกันแน่ ดูอีกทีก็อย่างกับที่ประกอบพิธีทางศาสนาเลย”

                   “แปลกจริงๆด้วย คุณแน่ใจนะว่าที่อยู่นี่ใช่แน่”

                   “ฉันก็ไม่รู้” ธารวารีส่ายหน้าแล้วนึกได้ “เดี๋ยวขอดูอีกที”

                    ไม่ทันที่จะล้วงหยิบแผ่นกระดาษออกมาดูเสียงใครบางคนก็ดังขึ้นผ่านม่านมู่ลี่ไม้ที่คั่นกลางระหว่างห้องกับตัวบ้านชั้นใน

                   “พวกคุณมาหาใคร”

                    สองหนุ่มสาวหันขวับไปตามเสียงธารวารีถึงกับตะลึงเมื่อพบหญิงสาวในชุดพื้นเมืองคลุมยาวสีสันสดใสโพกหัวด้วยผ้าพันสีเดียวกันยืนหลังมู่ลี่ไม้ แม้จะมองเห็นไม่ชัดเจนแต่ดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่แปลกตาแล้วเหมือนกับชุดประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

         “ฉันถามว่ามาหาใคร”

          เสียงหล่อนห้วนนักจนภูบดีนิ่วหน้า

          “ขอโทษครับเราพูดภาษาถิ่นไม่ได้” ภูบดีออกหน้า “คุณฟังผมออกไหม”

           ชายหนุ่มถามกลับเป็นภาษาอังกฤษธารวารีแตะแขนจะเจรจาแทน แต่หญิงสาวหลังมู่ลี่ไม้เดินออกมาเสียก่อน

           ภูบดีถึงกับมองตะลึงด้วยชุดคลุมสีสดนั้นช่างเน้นรูปร่างอกเป็นอก เอวเป็นเอวคอดกิ่ว สะโพกผายรับกับดวงหน้าคมเข้ม ดวงตาประดุจเหยี่ยวของหล่อนดูโดดเด่นน่ามองมากจนสะกดสายตา

                    “คือ...เรามาตามหาคนตามที่อยู่ที่ได้มา”หันกลับไปหยิบรูปถ่ายจากมือธารวารี “คุณรู้จักผู้ชายคนนี้รึเปล่าครับ”

                    ภูบดียื่นให้หญิงสาวเจ้าบ้านหล่อนรับไปดูสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดธารวารีลุ้นคำตอบอยู่แต่สิ่งที่ได้รับคืออาการเฉยเมยสีหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึกของหล่อน

                    “คุณรู้จักไหมคะ”ธารวารีถามย้ำเมื่อเห็นหล่อนนิ่งไป

                    “ฉันไม่เคยเห็นเขาคงไม่ใช่คนบ้านเรา”

                     หล่อนตอบสั้นเป็นภาษาอังกฤษฉะฉานแล้วภาพถ่ายคืนให้ ช่างภาพสาวรับกลับมาถึงกับหน้าเสีย

                    “คุณไม่เคยเห็นจริงๆหรือคะ มีคนให้ที่อยู่นี้กับเรามา ช่วยนึกดูอีกทีได้ไหมคะ เผื่อจะนึกออก”

                     “คงเข้าใจผิดแล้วถ้าตามที่อยู่ที่ให้มานี้ก็คือที่นี่ แต่ที่บ้านเราไม่มีผู้ชาย”

         หล่อนปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดและเชิญทั้งสองให้ออกจากบ้านแต่ก่อนที่สองหนุ่มสาวจะได้ทักท้วง หล่อนก็เรียกไว้

         “คุณลองไปตามหาที่ฮาร์ราดูสิที่นั่นเป็นตลาดกลางแช็ต บางทีอาจจะเจอคนที่คุณรู้จักก็ได้”หล่อนยิ้มมุมปาก แต่ท่าทางไม่เป็นมิตรเหมือนรอยยิ้ม

          ดูมีเลศนัยแปลกๆ ภูบดีได้แต่คิดในใจและป่านนี้หญิงสาวข้างกายคงเก็บฮาร์ราไว้ในสารบบความทรงจำของหล่อนเรียบร้อยแล้ว

          จู่ๆก็มีเสียงทุ้มดังมาจากด้านในบ้านเป็นภาษาท้องถิ่นภูบดีฟังไม่เข้าใจแต่เสียงนั้นช่างคุ้นหูนักในขณะที่หญิงสาวเจ้าบ้านถึงกับสะดุ้งและปิดประตูทันทีที่สองหนุ่มสาวยังก้าวไม่ทันพ้นออกจากประตูด้วยซ้ำไปภูบดีเอามือกั้นบานประตูไว้ก่อนจะโพล่งขึ้น

          “ไหนคุณว่าบ้านนี้ไม่มีผู้ชาย”ภูบดีแย้งมือยังคาประตูรั้ว “แต่เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงผู้ชาย

          “แล้วไง”หล่อนถามกลับหลังบานประตู “ไม่ใช่คนที่คุณตามหาหรอก”

           “เสียงคุ้นหูผมมากแน่ใจนะว่าไม่ใช่คนที่เราตามหา” ภูบดีหันไปหาธารวารี “คุณได้ยินไหมเมื่อกี้”

          ธารวารีถึงกับตาโตหล่อนไม่ทันได้ฟังเลยด้วยซ้ำเพราะมัวแต่ตกใจที่โดนไล่แบบไม่ใยดี

          “หมายความว่ายังไงนายพี”

         “เดี๋ยวคุณเงียบก่อน” ภูบดีกระซิบข้างหูหล่อน หันหาหญิงเจ้าของบ้าน

           “ผมขอเจอผู้ชายคนนั้นได้ไหม”

           ภูบดีต่อรองแต่ไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไปอีกรอบคราวนี้หญิงสาวผิวเข้มถึงกับล็อคกลอนประตูแน่นหนา แล้วตะคอกกลับมา

           “เขาเป็นพ่อของฉันพูดอังกฤษไม่ได้ ไม่ใช่คนที่คุณถามหาหรอก”

          “งั้นก็ยิ่งไม่น่ามีปัญหาเราแค่ขอเจอหน้า”

         “ไม่ได้!มีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่งที่บ้านคนอื่น อยากหาคนไปโน่นเลย สถานีตำรวจ

           สีหน้าหล่อนไม่สู้ดีเหลือบมองธารวารีด้วยสายตาแปลกๆ แล้วสะบัดหน้าเดินหนีกลับเข้าไปภายในสองหนุ่มสาวมองหน้ากันเลิ่กลั่กมืดแปดด้านเพราะที่นี่คือเบาะแสเดียวที่มี

           ธารวารีทรุดนั่งข้างถนนจ้องภาพถ่ายคู่หมั้นด้วยความเสียใจกระเป๋าหนักจนหล่อนโยนทิ้งข้างตัวแบบไม่ใส่ใจเหลือไว้ก็แต่กระเป๋ากล้องสุดหวงชายหนุ่มเห็นแล้วจึงยกขึ้นมาแบกไว้เองอีกตามเคย ธารวารีมองนายพีคนจรตาละห้อย

“แบกกระเป๋ามาจนไหล่จะหลุดนั่งพักสักหน่อยนะ ฉันเศร้ามากตอนนี้”

“ไม่ต้องมาทำหน้าเศร้ากระเป๋าคุณผมแบกให้เองก็แล้วกัน” ภูบดีถอนใจนั่งข้างกัน “แล้วทีนี้จะเอายังไงต่อเบาะแสอะไรก็หายวับไปหมดแล้วนี่”

ภูบดีถามเสียงกึ่งประชดคนอวดเก่งธารวารีถึงกับหน้ามุ่ยตอบประชดไปเช่นกัน

“ไปแจ้งตำรวจดีไหมตามคำแนะนำสาวสวยคนนั้นไง”

“แน่ใจนะจะถามหาใครล่ะ ใครจะรู้จักไหม”

เขาพูดกลั้วหัวเราะซึ่งทำให้หล่อนยิ่งฉุน

“ไปหาข้าวกินดีกว่ากองทัพเดินด้วยท้องเสร็จแล้วค่อยคิดก็แล้วกัน”

หล่อนพูดจบก็เดินตัวปลิวทิ้งภาระกระเป๋าใบใหญ่ให้คนอยากอาสาตามมาโดยที่ไม่ได้ร้องขอภาพทั้งหมดอยู่ในสายตาของสาวสวยเจ้าของบ้านหลังเมื่อครู่ตลอดเวลาหญิงสาวเรียกเด็กรับใช้ในบ้านมาพูดคุยสองสามคำก่อนจะยื่นบางสิ่งบางอย่างให้และยิ้มหมายมาด

“ฉันว่าจะเช่ารถกับไกด์ท้องถิ่นไปค่ายชายแดนจิบูตินายว่าดีไหม”

ธารวารีโพล่งถามหลังจากตัดสินใจแน่วแน่ ในเมื่อไม่ได้เรื่องตามที่คิดจุดหมายเดียวที่เหลือพอจะมีเบาะแสของรุจิภพก็คงไม่พ้นสถานที่ที่คู่หมั้นตั้งใจจะมาตั้งแต่แรก

อันที่จริงหล่อนไม่น่าเสียเวลาเชื่อแค่แผ่นกระดาษใบเดียว!

“ก็ดีเหมือนกันไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาไงเอากัน”

คราวนี้ชายหนุ่มไม่ค้านอย่างที่คิดช่างภาพสาวยิ้มพอใจก่อนจะจัดการเอนเจราจิ้มแกงไข่รสกลมกล่อมตรงหน้าอย่างคุ้นเคยภูบดีมองหล่อนแล้วนึกขำ

“คุณนี่ปรับตัวเร็วนะดูสิเมื่อวานยังบอกเหมือนของบูด ดูวันนี้กินซะท่าทางอร่อยเชียว”

“ก็ทำไงได้ล่ะต้องอยู่อีกหลายวัน หัดเป็นคนอยู่ง่ายกินง่ายมันดีกว่าเยอะไม่ใช่หรือ” หล่อนชี้นิ้วไปที่จานตรงข้าม “นายก็ด้วยรีบกินเข้าเถอะจะได้ไปติดต่อหารถเช่ากัน”

ภูบดีก้มมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วคิดหนัก

“นี่มันก็เกือบเย็นแล้วนะยังไงเราค่อยออกเดินทางพรุ่งนี้เถอะ”

“ก็ดีเหมือนกันหาที่นอนเอาแรงก่อนไปลุยต่อพรุ่งนี้” หล่อนถอนใจ

“ไปรวมกับคณะทัวร์ดีไหมพวกเขาอยู่อีกคืน”

“เอาสิแต่ว่าไปหารถเช่ากันก่อนนะพรุ่งนี้จะได้เดินทางแต่เช้า” หล่อนตอบแล้วนิ่งไปอึดใจ“ฉันคิดว่าจะไปฮาร์ราก่อนจิบูติ”

นึกแล้วไม่ผิด! ภูบดีส่ายหน้าทันที

“อย่าเลยผู้หญิงคนนั้นก็แค่เดา ผมว่าคุณไม่น่าเสียเวลาแล้วนะ”

“แต่ในแผนที่ก็แค่สี่สิบแปดกิโลจากที่นี่ไม่ได้ไกลมากซะหน่อย” หล่อนเสียงอ่อน “นะ...คู่หู”

ธารวารีหยอดคำหวานหน้าละห้อย ภูบดีถึงกับใจอ่อนอีกคราว

หลังจากอิ่มท้องสองหนุ่มสาวก็ออกเดิน ภูบดีถามหาบริษัทรถเช่าจากร้านอาหารที่เพิ่งจากมาได้ความว่าต้องเดินทางไปที่ฮาร์ราถึงจะได้ไกด์ท้องถิ่นที่ชำนาญทางไปชายแดนจิบูติเพราะที่ดิเรดาวานี้ไม่มีไกด์แถบนั้น

ธารวารีถึงกับงงตืท่าทางลิงโลดเพราะถึงอย่างไรเขาก็รู้ว่าหล่อนหมายใจจะไปฮาร์ราอยู่แล้ว แต่จากที่คุยกับกวิน ดิเรดาวาเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศจะไม่มีไกด์สักคนที่ชำนาญทางไปชายแดนจิบูติก็ไม่น่าเป็นไปได้เช่นกัน

“คุณไม่คิดว่ามันแปลกๆรึไง” ภูบดีหน้านิ่วคิ้วขมวด “อะไรเหมือนจะบังเอิญให้เราต้องไปฮาร์รา”

“ฉันก็...ไม่รู้สิ เอาตามนั้นแหละ”

“ผมว่าเราควรโทรไปปรึกษาคุณกวิน”

“เขาจะยิ่งห่วงนะสิเผลอๆ ก็บังคับให้ฉันไปพักกับคณะทัวร์คืนนี้อีก บอกตรงๆ ถ้าต้องไปที่ฮาร์ราอะไรนี่ ฉันก็ไม่อยากย้อนไปมาให้เสียเวลาแล้ว”

“แต่ดูจากแผนที่แล้วมันคนละทางกับจิบูติเลย”ภูบดีถอนใจ “เราอาจจะต้องค้างที่ฮาร์ราแล้วค่อยออกเดินทาง”

ธารวารีพยักหน้าถอนหายใจหนักหน่วงสุดท้ายก็ตัดสินใจไปตามคำแนะนำของเจ้าของร้านอาหาร โดยไม่รู้ว่ากำลังโดนลวงเพราะใครบางคน

เพียงระยะทางไม่ถึงห้าสิบกิโลเมตรแต่ภูบดีรู้สึกเหมือนไกลลิบโลก เกือบสองชั่วโมงที่เสียไปในการเดินทางทั้งหนทางขรุขระขุนเขาคดเคี้ยว ไม่น่าเชื่อว่าฮาร์ราจะอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลขึ้นไปจากดิเรดาวาอีกนับพันเมตรเพียงรถประจำทางแล่นเข้าจอดเทียบท่า ทั้งเขาและหล่อนถึงกับตกตะลึง

“นี่มันเมืองโบราณหรือไงเมืองอะไรสีหวานน่ากินขนาดนี้” ธารวารีหมุนตัวมองรอบๆ “ฉันขอถ่ายรูปหน่อยเถอะ”

ภูบดีเลิกคิ้วมองท่าทางกุลีกุจอหยิบกล้องออกมาถ่ายเก็บภาพหลายต่อหลายภาพแล้วได้แต่ส่ายหน้า

“ได้ยินว่าจะมาหารถเช่ากับตามหาแฟน”ภูบดีมายืนขวาง “ผมว่าเราช่วยกันคิดก่อนดีไหมว่าจะหารถเช่าที่ไหนพักที่ไหน ก่อนจะค่ำซะก่อน”

ธารวารีค้อนขวับเอาสายกล้องคล้องคอแล้วออกเดินนำ

“นายนี่ฉันไม่ได้เสียเวลามากซะหน่อย”

“ผมคิดว่าเราน่าจะได้ข้อมูลผิดแล้ว”ภูบดีหยุดยืนมอง สายตาสอดส่องสองข้างทาง “เป็นไปได้ยังไงที่จะต้องมาหาเช่ารถที่นี่ไกลก็ไกล เมืองก็เล็ก”

“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้น”ธารวารีทำหน้างง

“ก็เพราะนี่มันทั้งขึ้นเขาและเส้นทางมันย้อนมาไกลเกินไปผมถึงว่าแปลก”

ภูบดีกางแผนที่แล้วชี้ให้ดูธารวารีคิ้วขมวดใช้ความคิดตาม

“ฉันคิดว่าอาจจะหมายถึงไกด์ที่ชำนาญจิบูติเป็นพิเศษ”

“ผมก็หวังให้เป็นแบบนั้น”ภูบดียังคงจดจ้องอยู่กับแผนที่ “นี่คุณ... คุณ”

พอจะหันไปปรึกษากับคนต้นคิดก็เห็นหล่อนลั่นชัตเตอร์รัวอีกตามเคยท่าทางเอาการเอางานจนชายหนุ่มได้แต่มองเพลินไม่คิดขัดจังหวะ จนหล่อนรู้ตัวตอบเสียงอ่อยเมื่อเห็นเขามอง

“ขอโทษทีนะฉันมัวแต่เก็บรูปจนไม่ได้ฟังนายเลย” หล่อนหน้าเสียลดกล้องลงจากระดับสายตา

“ฉันแค่กลัวว่าเราจะไม่ได้ย้อนกลับมาทางนี้มันน่าเสียดายถ้าจะปล่อยภาพดีๆ หลุดมือไปโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อให้ได้มันมาใส่ในบันทึกความทรงจำของเรา”

“ก็ไม่ได้เสียเวลาเท่าไหร่”เขาตอบพลางจ้องตาหล่อน “ผมว่าเราคงต้องหาที่พักกันก่อนเพราะลงเขาไปคงไม่ทันแน่ แล้วค่อยออกมาหาเช่ารถกับหาอะไรกิน คุณว่าไง”

“ก็แล้วแต่คู่หู” หล่อนตอบสั้นๆ

ภูบดีฟังแล้วนึกกระหยิ่มที่ถูกยกให้เป็นคู่หูจำเป็นสองหนุ่มสาวเดินหาที่พักตามตรอกซอกซอยเล็กที่เดินไปมารอบเมืองเหมือนเขาวงกตมีโรงแรมอยู่หลายแห่งแต่ดูสภาพแล้วธารวารีได้แต่ส่ายหน้าลูกเดียว

ไม่ใช่เพราะหล่อนเรื่องมากแต่ธารวารีคงขยาดกับเมื่อวานที่ถูกทำร้าย ดูหล่อนตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเดินผ่านกลุ่มคนพื้นเมืองท่าทางน่ากลัวในตรอกแคบๆและตลาดที่ผู้คนพลุกพล่านวุ่นวาย

“ไหวไหมคุณเหนื่อยมากแล้วสิ ผมว่าเลือกเอาสักที่เถอะ”

“ก็ดีนะ”หญิงสาวปาดเหงื่อ “เดินจนขาลากรองเท้าจะกลายเป็นสีน้ำตาลอยู่แล้ว”

หล่อนก้มมองสภาพตัวเองคลุกฝุ่นขมุกขมอมชายหนุ่มตบหลังปลอบใจแล้วชี้ชวนให้มอง

“ตรงนั้นมีเกสต์เฮาส์เล็กๆแต่ดูสะอาดดีเหมือนกันนะ มีรั้วรอบขอบชิดด้วย”

หล่อนมองตามแล้วพยักหน้าเห็นด้วยดวงหน้ากลมดูซีดเผือด ท่าทางเหนื่อยมากจนเขาต้องเดินประกบด้วยกลัวว่าหล่อนจะทรุดลงไป

“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า”ธารวารีเบี่ยงตัวห่าง” ฉันยังไหว”

“แต่ดูการกระทำสวนกับคำพูดยังไงพิกล”เขาตอบรู้ทันจนได้รับค้อนงามๆ ตอบแทน

เกสต์เฮาส์ชั้นเดียวลักษณะเป็นกระโจมหลังเล็กหลายหลังตั้งห่างกันแต่อยู่ภายในรั้วบ้านเดียวกันดูเป็นเอกเทศและค่อนข้างสะอาดเมื่อเทียบกับหลายแห่งที่ดูมาตัวบ้านพักอยู่ท่ามกลางต้นไม้สูงใหญ่เป็นธรรมชาติอยู่มาก

ธารวารีนั่งรอที่เก้าอี้ไม้ตรงล็อบบี้ปล่อยให้ภูบดีจองที่พักเอง ชายหนุ่มเจรจาสลับกับชำเลืองมองหล่อนเป็นระยะท่าทางแปลก ๆ จนหญิงสาวลุกตามมา พอฟังแล้วหล่อนก็ตาโต

“ว่างหลังเดียวหรือคะแล้วจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง ฉันต้องการสองหลังหรือหลังเดียวแต่สองห้องก็ได้ค่ะ”

“ไม่ต้องกลัวหรอกว่าผมจะทำอะไรคุณ”ชายหนุ่มโพล่งขึ้น “ทำเป็นตื่นเต้นไปได้”

“ฉันไม่ได้ตื่นเต้นนะ”หล่อนตาขวางใส่ “ฉันเป็นผู้หญิงจะเสียหายนายก็น่าจะรู้”

“ก็รู้ถึงกำลังคิดอยู่นี่ไง”

ธารวารีหน้ามุ่ยหันไปหาพนักงานต้อนรับหญิงร่างอวบผิวเข้ม สองสาวคุยกันหน้าเครียดพอได้ฟังเหตุผลของพนักงาน ธารวารีก็ได้แต่ถอนหายใจ ถอยออกมายืนครุ่นคิดหน้าเครียด

“ตกลงว่ายังไง”

“เธอบอกว่า”ธารวารีอึกอักก่อนจะพรูลมหายใจหนักหน่วง

ภูบดีรอฟังคำตัดสินใจของหล่อนแต่มันช่างยากเย็นเพราะไม่มีทางเลือกมากนักสำหรับค่ำคืนนี้กับสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย

“จะเอาก็เอาไม่เอาก็ให้ไปหาที่อื่น ค่ำแล้วคงหายากเพราะอีกสองวันที่นี่จะมีงานประจำปี ที่มุสลิมจากทั่วโลกมารวมกันทำพิธีทางศาสนาเพราะที่นี่เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์หนึ่งในสี่ของโลก รองจากเมกกะ เมดินาและเยรูซาเล็ม”

“โธ่เอ๊ย!นึกว่าอะไร ก็แค่คืนเดียวนอนๆ ไปเถอะพรุ่งนี้เราก็ต้องเดินทางกันแล้ว ผมเหนื่อย อยากพัก หิวด้วย”

เขาร่ายยาวเป็นชุดท่าทางรำคาญ ธารวารีชักสีหน้าแถมโวยวายจนคนได้ยินกันทั้งล็อบบี้

“แต่ฉันว่ามันไม่เหมาะนี่ฉันมีคู่หมั้นแล้ว ส่วนนายก็เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้”

“อ่อ...ผมมันคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าสินะ” เขาตอบรวนตวัดหางตามองอย่างงอน ๆ

“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อยไม่เห็นต้องพูดแรง”

ภูบดีถึงกับทอดถอนใจเขาควรจะโกรธหล่อนหรือก็ไม่ใช่! ก็ในเมื่อว่าที่พี่สะใภ้ภักดีต่อพี่ชายของเขาขนาดนี้หล่อนยังรู้จักผิดชอบ ไม่ทำอะไรที่ดูไม่ดีให้ใครต่อใครซุบซิบนินทาเรื่องล่อแหลม

แต่นี่มันใช่ที่หรือ! คิดแล้วก็โมโหจนตอบรวนไป

“ผมไม่ได้ตั้งใจพูดแรงแต่บอกแล้วไงผมจะไม่ยอมให้คุณคลาดสายตาอีกคืนนี้เราสงบศึกกันก่อนนะผมเหนื่อยอยากพักผ่อน ไม่มีแรงสู้กับคุณแล้ว”

ภูบดีตอบเสียงหนักแน่นจนคนฟังอึ้ง ในที่สุดก็ได้ที่ซุกหัวนอนเป็นกระโจมหลังเดี่ยวหนึ่งห้องนอนสองเตียงโดยที่ไม่ฟังหญิงสาวอิดออดแม้สักคำ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เดือนที่แล้วห่อเหี่ยวจนไม่อัพบล็อกเลย 

วันนี้เริ่มเดือนใหม่ กลับมาอัพบล็อกเหมือนเดิมค่ะ 

รอบนี้ตะพาบงด หนังสืออ่านจบหลายเล่มแล้วก็ไม่ได้อัพจนหมดกิจกรรมเล่มนี้ดียังไงไปก่อน เอาไว้ค่อยทยอยอัพที่ดองๆ ไว้ค่ะ

ขอบคุณของแต่งบล็อกสวยๆ จากคุณยายเก๋าและคุณญามี่ค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ

ค่อยตามไปบล็อกพี่ๆ พรุ่งนี้นะคะ





Create Date : 01 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2559 8:14:10 น. 0 comments
Counter : 1033 Pageviews.

lovereason
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 76 คน [?]









+ ++
Friends' blogs
[Add lovereason's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.