เทียบกับอายุคนเราก็แค่ 6 ขวบ ก็ประมาณ ป.1 เองนะ แต่พอเทียบเป็นอายุไอดอลกลับถือเป็นรุ่นใหญ่ใกล้ถูกยกขึ้นหิ้งไปซะแล้ว ยิ่งบวกบุคลิกหน้าตาประกอบเข้าไปด้วยก็ช่างเหมาะเจาะซะจนน่าเศร้าเสียจริงให้ตายเหอะ ...ในที่สุดอายุก็มาทันหน้าตาจนได้ ถ้าเรียกเป็นอายุความผูกพันระหว่างคน มันก็เป็นช่วงรู้จักกันพอดีๆ ความสดใหม่ที่ทำให้ใจเต้นอึกทึกโครมครามแค่ได้จ้องมองหรือเอาแต่คิดถึงจนวุ่นวายใจก็แทบไม่เหลือแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่จะเกิดคำว่า seven-year itch ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันเริ่มวอกแวกนี่ล่ะนะ มันเป็นช่วงเวลาของความสัมพันธ์ของคนที่มาถึงจุดที่คิดว่าจะไปต่อหรือหยุดมันลงซะตรงนี้จะดีกว่าไหม หกปีที่มีไม่มากเกินจนน่าเสียดายเวลาถ้าจะตัดความผูกพันที่มี หรือจะเป็น หกปีที่ผ่านมาก็ไม่น้อยเกินถ้าคิดจะต่อเวลาที่มีให้แก่กัน ให้ความรู้สึกมันกลายเป็นความเคยชิน...ความเคยชินที่มีกันและกัน ความรู้สึกของเรากับบ่ายก็อยู่ในช่วงเวลาแบบนี้ล่ะ งั้นแล้วความรู้สึกที่ 6 หนุ่มมีให้กันล่ะ ระหว่างพวกเขาหกคนไม่ใช่หกปีนะ แต่เป็นแปดปีที่ย่างเข้าจะเก้าปีแล้ว แปดปีที่รู้จักกัน แปดปีที่ทำให้เด็กวัยรุ่นแปลกหน้าหกคนกลายมาเป็นเหมือนเพื่อนพี่น้องที่เติบโตมาพร้อมๆกัน หนุ่มน้อยหกคนใช้เวลาแปดปีในการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เราเคยสงสัยว่าบ่ายจะเคยทะเลาะกันบ้างไหม พี่น้องแท้ๆทะเลาะกันบ้านแตกก็ยังมีแล้วเลย แต่ผู้ชายตัวโตๆต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันตอนช่วงวัยรุ่นเลือดร้อน ต้องทำงานร่วมกันทั้งๆทีนิสัยก็ดูจะต่างกันคนละทิศละทางไม่ใช่น้อยก็น่าจะมีทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างสิน่า แต่แทคบอกว่าพวกเราก็อยู่ด้วยกันมา 8 ปี มีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมาย พวกเราไม่เคยไปถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะต่างคนต่างก็เข้าใจในความรู้สึกของกันและกันเป็นอย่างดี(โดยไม่ต้องพูดออกมา) แล้วเราว่าตรงนี้ล่ะที่น่าสนใจ ตรงที่แทคว่าไม่ว่าเรื่องจะเล็กน้อยแค่ไหนแต่เราก็จะเอามาพูดคุยกันอย่างจริงจัง ปรึกษากันในทุกๆเรื่อง ที่เราว่าน่าสนใจมันอยู่ตรงนี้ พูดตามตรงถ้าเป็นพี่น้องกันจริงๆ มักไม่ค่อยคุยกันซะทุกเรื่อง ปรึกษากันไปซะทุกอย่างหรอกนะ(หรือเป็นแค่บ้านเราบ้านเดียววะ???) บ่ายคบกันโดยไม่เคยทะเลาะกัน ทำได้ยังไงนะ หยุดการมีเรื่องกันได้ก่ิอนที่จะลุกลามเสียทุกครั้ง โอ้โห~! พอคิดแบบนี้แล้ว ผู้ชายหกคนนี้อีคิวระดับไหนกันเนี่ย วุฒิภาวะทางอารมณ์ของแต่ละคนน่าสนใจไม่น้อยเลยล่ะ ซึ่งเราว่าที่เหนือว่าอีคิวของผู้ชายพวกนี้คือ ผู้ชายหกคนนี้ต่างให้ความเคารพกันและมีความนับถือให้กันมากเสียจนยอมหยุดอารมณ์ความไม่พอใจของตัวเองให้สงบลงได้ ความสัมพันธ์แบบนี้เราว่ามันน่าสนใจมากนะ ส่วนตัวแล้วเราคิดว่าพี่น้องกันจริงๆมันจะมีกระทบกระทั่งกันมีความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆอยู่ มีปรึกษากันบ้างบางเรื่อง...ไม่ทุกเรื่อง แต่กับความเพื่อนสนิทมันจะให้อารมณ์ต่างไป ส่วนตัวเราคือเราบอกเพื่อนสนิทได้(เกือบ)ทุกเรื่อง มีเรื่องที่ไม่เล่าให้ครอบครัวฟังแต่เล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนที่มันรู้จักตัวตนเราจริงๆเสียยิ่งกว่าคนในครอบครัว เราว่าอารมณ์ระหว่างบ่ายด้วยกันน่าจะเป็นแบบนี้ซะมากกว่า Band of Brothers เพื่อนที่ฝ่าฟันทุกอย่างมาด้วยกัน ก็อย่างที่คิมมินจุนบอกไว้ว่าที่พวกเขาคบกันมายาวนานขนาดนี้ทำให้แม้ไม่พูดออกมาก็เข้าใจในความรู้สึกผิดที่มีต่อกันได้ คือประมาณถึงไม่ต้องออกปากขอโทษก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายรู้สึกผิด แต่ควรปรึกษากันก่อนตอบดีไหม เพราะก่อนหน้านั้นด้งกลับว่าจุนเคนี่มีเรื่องให้ต้อง(ออกปาก)ขอโทษนะ อิปู่จอมลื่นก็ทำเป็นทำหน้่างงว่าอินี่ฉานมีเรื่องอะไรให้ต้องขอโทษใครหรือคุณจ๋า แล้วก็ค่อยทำเป็นอิดๆออดๆยอมสารภาพว่าก็พอมีเรื่องต้องขอโทษเยอะอยู่ จนไม่รู้จะขอโทษไหนก่อนดี เลยโดนหนุ่มซื่อๆใสๆอย่างชานเสนอด้วยความหวังดีไปว่า "พี่จะขอเวลาหน่อยไหม" ชานน้องรักนี่หวังดี๊ หวังดีกับพี่เนอะ ไม่รู้ว่ากลัวพี่ชายคนนี้มีเวลานึกไม่พอหรือมีเวลาขอโทษไม่พอก็ไม่รู้ พูดถึงมีเรื่องขอโทษอะไรกันเนี่ย มีอยู่เรื่องที่นึกถึงทีไรก็ขำทีนั้น จุนบรานี่เคยแชร์ห้องด้วยกัน แล้วเล่นสนุกส่งเสียงดังมากจนเพื่อนข้างห้องนอนไม่หลับ แต่(โชคดี)มาแยกห้องกันแล้ว จุนโฮก็ทำหน้ายุ่งมาบ่นกับชานว่าไม่รู้จะแยกห้องทำไม อยู่ด้วยกันสนุกจะตาย พอต้องแยกแล้วก็เหงาจะแย่ ชานคนใสซื่อก็ถือโอกาสขยายความว่าตอนขึ้นลิฟท์ไปกับพี่มินจุนแล้วบอกให้พี่มินจุนรู้ว่าต้องแยกห้องกับโฮ พี่มินจุนก็พูดขึ้นมาว่า "โอ๊ย โล่งอกไปที พี่จะได้แต่งเพลงได้สักทีั" พอหันไปดูโฮ (ขอโทษนะนุ้งโฮ พี่ปล่อยก๊ากพร้อมอิบ่ายเลย) โฮกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ตีหน้าปุเลี่ยนๆแล้วสุดท้ายหันมาฟาดพี่มินจุนที่หันมากอดรับผิดดังเพี๊ยะ! จากนั้นอิปู่ก็แก้ตัวโน่นนี่นั่นว่าตอนนั้นป่วยอยู่เลยไม่อยากให้ติดหวัดไง(พี่ออกจะปรารถนาดีนะ) โฮก็ำทำหน้าแบบว่ากัดฟันเชื่อก็ได้นะไอ้เหตุผลข้างๆคูๆที่พี่แก้ตัวปากคอสั่นเนี่ย คงเพราะรักกันแบบนี่ล่ะมั๊ง ตอนที่มินจุนโผล่ไปเซอร์ไพรส์ที่โซโล่ โฮถึงกับออกปากว่า "ผมคิดถึงพี่มินจุน" ไม่รู้คิดถึงกันแบบไหน แปดปีที่รู้จักกันมาคงทำให้ผู้ชายหกคนนี้ต่างก็เข้าใจกันเป็นอย่างดี อย่างด้งเองก็ยังสามารถพูดอย่างมั่นใจแทนเพื่อนทุกคนเลยว่า 2PMทุกคนจะทำเหมือนกันเมื่อตอบคำถามว่าจะให้กำลังใจเพื่อนยังไงถ้าเกิดปัญหาขึ้น ด้งตอบว่าจะรับฟังปัญหา การรับฟังสำคัญกว่าการพูดอะไรออกมา การที่ด้งย้ำว่า 2PMทุกคนจะทำแบบนี้เหมือนกันอย่างมั่นใจโดยไม่ต้องถามไถ่ความเห็นอะไรก่อนเลย เราว่ามันคือการบอกว่าพวกเขาหกคนรู้จักกันดีจนมั่นใจว่าสามารถพูดแทนกันได้ ซึ่งคุณกับชานก็มาตอบว่าจะคอยอยู่ใกล้ๆ คอยรับฟัง คอยให้กำลังใจ ด้งพูดไว้ไม่ผิดเลยสินะ ที่เราชอบบ่ายมากๆ สาเหตุหนึ่งก็คือบรรยากาศเวลาพวกเขาอยู่ด้วยกัน มันทำให้เรายิ้มได้ทั้งๆที่มันเหมือนไม่มีอะไรเลย บางทีแค่มองกัน บางคำพูดที่เราฟังไม่เข้าใจแต่ก็อดนั่งขำตัวงอไม่ได้ แม้กระทั่งตัวหนังสือก็ยังทำให้เราขำได้ ตัวหนังสือเปล่าๆเรียงเป็นพรืดที่ทำให้เรานึกหน้าตาท่าทางคนพูดตามไปด้วยได้นี่ีมัน.... ลองดูไหม แทค: รักไม่ใช่เกมนะ! ที่เหลือ: โอ้ววววว!! จุนโฮ: เอ๋~ สำหรับนายแล้วรักไม่ใช่เกมงั้นเหรอแทค ที่เหลือปล่อยหัวเราะพร้อมกัน (เห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์แต่ละคนไหม) อีกที จุนเค: (หากย้อนอดีตได้)ผมจะกลับไปตอน ป.2 จุนโฮ: พี่จะกลับไปทำอะไร จุนเค: จะกลับไปใช้ชีวิตให้เต็มที่ จุนโฮ: นักเรียน ป.2 นี่นะ (จักรพรรดิวายร้ายชัดๆ) มาที่คุณบ้าง คุณ: ผมอยากย้อนไปดูไดโนเสาร์ ที่เหลือระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน จุนเค: การสนทนาครั้งนี้ทะลุจากสี่มิติไปแปดมิติแย้ว แทค: นายคิดจะย้อนไปไกลแค่ไหนล่ะคุณ เราเหมือนได้เห็นสีหน้า ได้ยินน้ำเสียงของแต่ละคนเลยให้ตายเหอะ นี่มันคือผลของระยะเวลา 6 ปีที่เรารู้จักกันสินะ เราไม่คิดว่าเรารู้จักตัวตนผู้ชายหกคนนี้มากหรอก แต่ที่พอรู้ก็พอแล้ว คำตอบของคำถามจะทำให้เราพอมองเห็นตัวตนลางๆของคนเราได้ คำตอบจากคำถามย้อนอดีตนี้ของแต่ละคนก็ไม่ทำให้เราแปลกใจ แต่ละคนก็เป็นแบบที่เราเคยคิดว่าพวกเขาเป็นแบบนั้นมาโดยตลอด จุนเคอยากกลับไปตอนป.2 เพราะเจ้าตัวคิดว่าคงดีไม่น้อยถ้าตอนนั้นรู้ในสิ่งที่รู้ในตอนนี้ ผู้ชายที่ขี้โกงนิดๆที่ไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด คุณที่อยากกลับไปดูไดโนเสาร์ ผู้ชายที่ระวังตัวและคิดมากไปทุกอย่างกับแม้คำถามที่ดูเหมือนไม่มีอะไร เราไม่คิดว่านี่จะเป็นคำตอบที่แท้จริงของคำถามนี้นะ ถ้าเป็นภาษาไทย เราอาจได้คำตอบที่แตกต่างไปจากนี้ที่ทำให้คุณสามารถพูดอธิบายไดัชัดเจน แทคที่ไม่คิดจะย้อนกลับไป ถ้ามีสิ่งที่ยังทำไม่สำเร็จ แทนที่จะมานึกเสียใจ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการเรียนรู้มันซะแล้วทำตอนนี้ให้เต็มที่เพื่ออนาคตที่จะมาถึง ผู้ชายคนนี้จะไม่มีวันคร่ำครวญถึงอดีตที่ล้มเหลว ความมุ่งมั่นในตัวเองชนิดไม่มีวันยอมแพ้อะไรง่ายๆ ด้งเองก็ไม่คิดย้อนกลับไปเพราะตอนนี้ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ไอ้ความยากลำบากที่ต้องเจอมาถึงทำให้เจอกับความสุขอย่างทุกวันนี้ ถ้าวัดระดับความรัก2PMแล้ว ความรักที่ด้งมีให้กับความเป็น 2PMจะต้องพุ่งทะลุปรอทอย่างแน่นอน หาตัวตนตัวเองให้เจอเร็วๆนะด้งนะ โฮเองก็เหมือนกันไม่คิดย้อนกลับ แต่กลับบอกว่าขอแลกไปดูอนาคตแทนสักหนึ่งวันละกัน ถ้าตอนนั้นมีชีวิตที่ดีจะได้มีกำลังใจ แต่ถ้าไม่ดีจะได้พยายามให้มากขึ้น จะมีคำตอบที่สมเป็นจักรพรรดิผู้ต้องการครอบครองทั้งจักรวาลมากกว่านี้อีกไหม ชานอยากย้อนกลับไปตอนที่แปดขวบที่เอาแต่เรียนเทควันโดกับยูโดจนไม่ยอมสนใจเรียนเปียโนกับแม่ เรารู้สึกว่าชานกดดันเยอะกับความเป็นคนดนตรีของตัวเองก็เลยพยายามมากๆกับเรื่องนี้ ยังจำความดีใจผ่านแววตาของหมีทุกครั้งที่ตอบคอร์ดเปียโนถูกในรายการตอน 2PM Show ได้อยู่เลย ดูแล้วรู้เลยว่าหมีต้องฝึกตัวเองมาเยอะมากถึงมากที่สุด 6 ปี(ไม่ถึงดี) ความรู้สึกที่เรามีต่อ 2PM ก็เท่ากับอุณหภูมิร่างกายปกติไปแล้ว ความรุ่มร้อนแบบ 14 อีกครั้งนั่นก็ดูจะสงบลงไปแล้ว เราว่าเราชอบนะความรู้สึกแบบนี้ มันดูมั่นคงและยั่งยืนดี อยู่กันไปอย่างสบายใจไม่กระวนกระวาย พอหมดความคลั่งไคล้ก็คือการวัดใจกันล่ะว่าจะเดินขนานไปกันได้อีกไกลแค่ไหน ซึ่งเราคงไม่มีโอกาสจูงลูกไปคอนบ่ายหรอกมั๊ง แต่กลับกันอาจเป็นบ่ายจูงลูกขึ้นเวทีแทนซะมากกว่า จนกว่าจะถึงวันนั้นล่ะนะ |